บิล วิเทอร์ส (Bill Withers) ศิลปินโซลระดับตำนาน เจ้าของบทเพลงสุดไพเราะ เรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจในท่วงทำนองและน้ำเสียงอันอยู่ในความทรงจำของผู้ฟังมาตลอด อาทิ “Lean on Me” “Ain’t No Sunshine” “Use Me” “Lovely Day” และ “Just the Two of Us” ได้เสียชีวิตด้วยภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจด้วยวัย 81 ปี
วิเทอร์ส ออกอัลบั้มแรก “Just as I Am” ในปี 1971ในอัลบั้มนี้มีเพลงฮิตอย่าง “Ain’t No Sunshine” ที่ติด Top 10 ของชาร์ตบิลบอร์ด อีกบทเพลงที่ตามมาฮิตติดชาร์ตด้วยก็คือ “Lean on Me” บทเพลงเชิดชูมิตรภาพที่ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในปี 1972
นอกจากนี้ยังมี “Use Me” (1972), “Lovely Day” (1977) และ “Just the Two of Us” (1981) ที่เป็นเพลงฮิตของวิเทอร์ส แต่หลังจากอัลบั้มในปี 1985 “Watching You Watching Me” ความไม่ลงรอยกันกับโลกแห่งธุรกิจดนตรีก็ได้ทำให้วิเทอร์สหันหลังให้กับมันและไม่กลับมาออกผลงานใหม่อีกเลย
บิล วิเทอร์ส หรือ วิลเลียม แฮริสัน วิเทอร์ส จูเนียร์ เกิดในวันชาติอเมริกา 4 กรกฎาคมในปี 1938 ในเมืองแห่งเหมืองถ่านหิน Slab Fork ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกทั้ง 6 คนของ วิลเลียม วิเทอร์ส พนักงานเหมืองถ่านหินและ แมตตี (กัลโลเวย์) วิเทอร์ส
ชีวิตในวัยเด็กของวิเทอร์สเป็นไปอย่างอัตคัดขัดสน ด้วยความเป็นเด็กที่พูดติดอ่างทำให้เขาไม่ค่อยมีเพื่อน พออายุ 13 ปีพ่อของเขาก็เสียชีวิต ย่าคือคนที่คอยดูแลเขาตั้งแต่นั้นมา วิเทอร์สได้เขียนบทเพลงอารมณ์บลูส์เพื่ออุทิศให้แด่คุณย่าของเขาในอัลบั้มแรก “Just As I Am” (1971) ชื่อเพลงว่า “Grandma’s Hands”
“Grandma’s hands
Used to issue out a warning
She’d say, ‘Billy don’t you run so fast
Might fall on a piece of glass
Might be snakes there in that grass.’”
มือของคุณย่า
คือสิ่งเตือนใจฉันตลอดมา
ย่าบอกว่า “บิลลีอย่าวิ่งให้เร็วนักนะลูก
จะล้มลงไปบนพื้นหญ้า
ตรงนั้นอาจมีพวกงูรออยู่ก็ได้นะ
พออายุ 17 ปี วิเทอร์สก็ได้เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองด้วยการสมัครเข้ากองทัพเรืออเมริกัน เพราะไม่อยากเป็นพนักงานเหมืองถ่านหินแบบคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้ วิเทอร์สใช้เวลา 9 ปีในกองทัพเรืออเมริกันซึ่งส่วนใหญ่ไปประจำการอยู่ที่เกาะกวม และช่วงเวลานี้นี่ละที่วิเทอร์สเริ่มมีความสนใจในดนตรี การร้องเพลงและการแต่งเพลง เขาลาออกจากกองทัพในปี 1965 ช่วงที่ไปประจำการอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย จากนั้นจึงเข้าทำงานอยู่ในบริษัทผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินในลอสแองเจลิส
คืนหนึ่งวิเทอร์สได้ไปเที่ยวไนต์คลับ คืนนั้น Lou Rawls จะขึ้นแสดง แต่มาช้าไม่ตรงเวลา ผู้จัดการได้แต่เดินกระวนกระวายไปมาและบ่นว่าเขาต้องจ่ายเงินถึง 2000 เหรียญ แต่ Rawls ก็ยังมาเล่นไม่ตรงเวลาอีก วิเทอร์สได้ยินดังนั้นก็คิดในใจว่าตัวเองต้องทำงานหนัก แต่ได้แค่ชั่วโมงละ 3 เหรียญ แถมจะหาสาวที่ไหนก็ไม่มีคนสนใจ ระหว่างนั้น Rawls ผู้ไม่ตรงเวลาก็เดินเข้ามาพอดี ทันใดสาว ๆ ทั้งหลายก็เดินเข้ามารุมล้อมเขา นั่นคือจุดเปลี่ยนชีวิตเขาวิเทอร์สไปตลอดกาล เขาตัดสินใจไปซื้อกีตาร์ราคาถูกที่โรงรับจำนำ และเริ่มเรียนรู้การเล่นกีตาร์และแต่งเพลงด้วยตัวเอง รวมไปถึงได้อัดเดโมเพลงของตัวเองด้วยในขณะที่ยังทำงานอยู่ที่โรงงาน
วันหนึ่งเดโมนั้นก็ได้มาถึงมือของ Clarence Avant ที่เพิ่งตั้งค่ายเพลงอิสระ Sussex เขาประทับใจในผลงานและน้ำเสียงอันทุ้มนุ่มของวิเทอร์สมาก จึงเรียกเขาให้เข้ามาที่สตูดิโอ และให้มือคีย์บอร์ด Booker T. Jones แห่งวง Booker T. & the MG’s มาโปรดิวซ์อัลบั้มให้โดยมีมือเบส Donald “Duck” Dunn และมือกีตาร์ Stephen Stills ยอดมือกีตาร์ที่เคยร่วมงานกับ Buffalo Springfield และเจ้าของชื่อ Stills ใน “Crosby, Stills, Nash & Young” มาร่วมทีม
“ชีวิตจริงของผมเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นคนงานอยู่ คุณรู้มั้ย มันโอเคที่เราจะมองหาความสวยงามในชีวิต แต่เส้นทางที่ไปสู่ความสวยงาม เราย่อมต้องผ่านความเป็นจริงในชีวิต และเมื่อคุณได้ผ่านความเป็นจริงเหล่านั้น จงมองมันและทำความคุ้นชินกับมัน เพราะว่ามันจะพาคุณไปได้ไกลกว่าที่คุณจะจินตนาการถึงมากนัก”
เพลงฮิตเพลงแรกที่ตัดมาเป็นซิงเกิลก็คือ “Ain’t No Sunshine” บทเพลงเศร้าแห่งรักที่จากลาที่วิเทอร์สเขียนขึ้นมาหลังจากได้ดูหนังเรื่อง “Days of Wine and Roses” ทางโทรทัศน์
Ain’t no sunshine when she’s gone
It’s not warm when she’s away
Ain’t no sunshine when she’s gone
She’s always gone too long
Anytime she goes away
ไม่มีแสงตะวันเมื่อเธอจากลา
ไม่มีความอบอุ่นใดเมื่อเธอจากไกล
ไร้แสงตะวันฉายเมื่อเธอจากไป
เธอจากไปนานแสนนาน
เธอจากไปไกลแสนไกล
จากนั้นเมื่ออัลบั้มแรกในชีวิตของวิเทอร์ส “Just As I Am” ได้ออกวางจำหน่ายในปี 1971 เพียงชั่วข้ามคืน เขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งดาวดวงเด่นของวงการ ตามมาติด ๆ ด้วยอัลบั้ม “Still Bill” ในปี 1972 ที่มีเพลงฮิตติดชาร์ตอีกบทเพลงคือ “Lean on Me” บทเพลงที่เชิดชูมิตรภาพอันงดงาม ซึ่งในช่วงที่ไวรัส COVID-19 กำลังระบาด เพลงนี้ของบิล วิเทอร์สนี่ล่ะที่ถูกนำมาคัฟเวอร์เพื่อส่งต่อกำลังใจให้กันและกัน สมดังความหมายของเพลงที่ส่งเสริมให้ผู้คนเป็นที่พึ่งพาแก่กันและกันในยามยาก
Sometimes in our lives we all have pain.
We all have sorrow.
But if we are wise
we know that there’s always tomorrow.
บางครั้งในชีวิต เราต่างต้องพบกับความเจ็บปวด
เราต่างต้องโศกเศร้า
แต่หากเราเข้าใจ
เราจะรู้ในทันใดว่าชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ
Lean on me, when you’re not strong
And I’ll be your friend
I’ll help you carry on
For it won’t be long
‘Til I’m gonna need
Somebody to lean on
เอนมาที่ฉันสิ เมื่อเธอไร้แรงกำลังใด
ฉันจะเป็นเพื่อนเคียงใกล้
เป็นกำลังใจให้ข้ามผ่านมันไป
และอีกคงไม่นาน
ในตอนนั้นฉันก็คงต้องการ
ใครสักคนให้พึ่งพิงด้วยเช่นกัน
“ผมจะเขียนและร้องเพลงที่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมสามารถทำความเข้าใจและรู้สึกไปกับมัน ผมรู้สึกว่ามันจะเป็นการดีเสียกว่า หากเรามองโลกนี้ผ่านทางหน้าต่างมากกว่าที่จะมองผ่านกระจก มิเช่นนั้นสิ่งที่เราจะเห็นจะเป็นเพียงตัวเราและทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเราเท่านั้น”
ทั้ง “Ain’t No Sunshine” “Lean on Me” และอีกหนึ่งบทเพลงคือ “Just the Two of Us” (ที่วิเทอร์สได้ร่วมงานกันกับมือแซ็กโซโฟนนาม Grover Washington Jr., และแต่งโดย William Salter และ Ralph MacDonald อยู่ในอัลบั้ม Winelight (1980) ของ Grover Washington Jr.,) ล้วนแล้วแต่ได้รางวัลแกรมมี่อวอร์ดในสาขาเพลง R&B ยอดเยี่ยม
วิเทอร์สได้ออกผลงานกับ Sussex อีกหนึ่งอัลบั้มคือ +’Justments (1974) จากนั้นจึงย้ายไปออกกับทาง Columbia อีก 5 อัลบั้ม คือ Making Music (1975), Naked & Warm (1976), Menagerie (1977), ‘Bout Love (1978) และอัลบั้มชุดสุดท้าย Watching You Watching Me (1985) ด้วยความไม่ลงรอยกันกับโลกแห่งธุรกิจดนตรีทำให้วิเทอร์สไม่ได้มีผลงานออกมาอีกเลย
“อย่าโกหกตัวเองในเรื่องดนตรี ดนตรีนั้นเป็นสิ่งหนึ่ง ธุรกิจดนตรีก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง จงรักษาตัวตนของคุณไว้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป จงรักษาความเบิกบานในหัวใจของคุณไว้เพื่อสุขใจไปกับมัน แล้วรางวัลทั้งหลายจะอยู่ในสิ่งเหล่านั้นเอง”
ในด้านชีวิตส่วนตัว บิล วิเทอร์สแต่งงานกับนักแสดงสาว เดนิส นิโคลัส ในปี 1973 ก่อนที่จะแยกทางกันในปีต่อมา และในปี 1976 วิเทอร์สก็แต่งงานใหม่อีกครั้งกับ มาร์เซีย จอห์นสัน และมีลูกด้วยกันสองคนชายหนึ่งหญิงหนึ่งคือ ท็อดด์และโครี่
แม้วิเทอร์สจะไม่ได้ออกผลงานมานานแล้ว แต่บทเพลงที่เขาได้สร้างสรรค์ขึ้นมาก็ได้กลายเป็นบทเพลงอมตะด้วยน้ำเสียงทุ่มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ที่ถ่ายทอดออกมาผ่านบทเพลงที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และ แสดงออกถึงความจริงใจของเขาที่มีอยู่ในบทเพลง จึงทำให้เพลงของเขาเป็นที่ชื่นชอบมาจนถึงทุกวันนี้และถูกนำมาร้องใหม่ เรียบเรียงใหม่อยู่เสมอ อาทิ “Aint’ no sunshine” ที่ถูกนำมาร้องใหม่ เล่นใหม่โดยศิลปินคนดนตรีหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งยังถูกนำมาใช้ประกอบภาพยนตร์สุดโรแมนติกเรื่อง “Nothing’s Hill” หรือ วิล สมิท ที่นำ “Just the two of us” มาร้องใหม่ในอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของเขา Big Willie Style (1997)
สมดังที่ครอบครัวของวิเทอร์สได้กล่าวไว้เมื่อตอนที่เขาจากไปว่า “ดนตรีของ บิล วิเทอร์ส จะเป็นสมบัติของโลกใบนี้ตลอดไป และในช่วงเวลาที่ต้องประสบพบความยากลำบากเช่นนี้ หวังว่าบทเพลงของเขาจะช่วยเยียวยาและรักษาจิตใจของบรรดาแฟนเพลงและบุคคลที่พวกเขารักได้”
Source
https://www.rollingstone.com/music/music-news/bill-withers-obituary-977929/
https://www.azquotes.com/author/30295-Bill_Withers
https://www.theguardian.com/music/2020/apr/03/bill-withers-influential-soul-singer-dies-aged-81
https://www.nytimes.com/2020/04/03/arts/music/bill-withers-dead.html
http://www.lifeupmusic.com/index.php?page=6&mo=3&art=139032
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส