ในปี 2020 แฟน ๆ หนังตระกูลปลุกศพผีดิบออกมาวิ่งจะได้ชมหนังซอมบี้ภาคต่อจากภาคแรกที่ทั้งสนุกทั้งดรามาอย่าง Train to Busan (2016) จะมีภาคต่อเป็นหนังชื่อ Peninsula ซึ่งจะเรียกว่าเข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในตอนนี้ก็ว่าได้เพราะหนังซอมบี้หลายเรื่อง ต้นเหตุก็เกิดมาจากเชื้อไวรัสอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้กำกับทั้งสองภาคอย่าง “ยอนซังโฮ” ก็ยอมรับว่า เขาเองยังตกใจกับสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกขณะนี้ “แน่นอนว่าตอนที่สร้างหนังทั้งสองเรื่อง ผมไม่เคยคิดถึงอะไรอย่างโคโรน่าไวรัสมาก่อน แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้ศึกษาข่าวเกี่ยวกับความเห็นแก่ตัวของคนในสังคม ซึ่งผู้ชมได้เห็นในหนัง Train to Busan และจะได้เห็นใน Peninsula ซึ่งเรามักจะเห็นเสมอภายในวิกฤตแบบนี้” เขากล่าวเพิ่ม โดยภาคนี้หนังจะมีทุนสร้างสูงกว่าเดิมถึง 2 เท่า
Peninsula ได้แรงบันดาลใจและจะเป็นส่วนผสมของมาจากหนังหลังยุคโลกหายนะอย่าง The Road (2009) Mad Max: Fury Road (2015) หนังซอมบี้ของผู้กำกับในตำนาน George A. Romeo โดยจะเป็นการผสมผสานกันระหว่าง Land of the Dead (2005) โดยจะนำเสนอความโกลาหลอย่างไม่หยุดหย่อนของเหล่าผีดิบในสถานการณ์สุดเขย่าขวัญ รวมไปถึงการ์ตูนอย่าง Akira and Dragon Head ที่เป็นเป็นแรงบันดาลใจทั้งรูปลักษณ์และมุมมองของโลก “รัฐบาลถูกทำลายย่อยยับหลังจากการจู่โจมและแพร่ระบาดของเหล่าซอมบี้ จึงเหลือแต่คาบสมุทรที่เป็นความหมายของชื่อเรื่องที่ชื่อ Peninsula” ถ้าอย่างนั้นวันนี้ What The Fact ขอพาไปย้อนรอยหนังซอมบี้ในตำนานของ A. Romeo และหนังซอมบี้น่าดูเรื่องอื่น ๆ ซึ่งหลายเรื่องมีบน Netflix แล้ว
จุดเริ่มต้นตำนานสยองศพเดินได้ “ซอมบี้”
ที่มาที่ไปของหนังตระกูลซอมบี้ต้องย้อนไปจนถึงงานเขียนของนักเขียนนิยาย William Seabrook ที่นำประสบการณ์การเดินทางไปยังประเทศเฮติผสมกับเรื่องราวหมอผีมนตร์ดำ เกิดการบัญญัติคำที่อธิบายถึงสิ่งที่เคยมีชีวิตหลังถูกปลุกขึ้นมาจากหลุมศพขึ้นมาเพื่อเป็นทาสรับใช้อย่าง “ซอมบี้” ขึ้นเป็นครั้งแรก เขานำมาตัวละครนี้มาเขียนไว้ในนิยายเรื่อง The Magic Island เมื่อปี 1929 และต่อมาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจต่อหนังซอมบี้วูดูมากมายเช่น White Zombie (1932) ลักษณะของซอมบี้ในยุคนั้นจะเดินอย่างเชื่องช้าแต่มีพละกำลังมหาศาล ทำตามคำสั่งของผู้ที่ปลุกพวกมันขึ้นมาจนตายหรือเวทมนตร์เสื่อมสลายไป
ซอมบี้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาในโลกภาพยนตร์อีกครั้งจากภาพยนตร์ทุนต่ำ Night of the Living Dead (1968) ของผู้กำกับ George A. Romero (1940-2017) ด้วยการเปลี่ยนให้ซอมบี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไล่กัดกินผู้คนโดยได้แรงบันดาลใจบางส่วนจากเรื่องสั้น I Am Legend ของนักเขียน Richard Matheson เมื่อปี 1954 (ที่ถูกนำไปดัดแปลงเป็นหนังที่ Will Smith นำแสดงเมื่อปี 2007 อีกต่อนึง) ซอมบี้ในฉบับนี้แม้จะเคลื่อนไหวช้าแบบศพ แต่ก็มีแรงมหาศาลพอจะบีบคอเหยื่อและฉีกร่างเหยื่อเป็นชิ้น ๆ ได้ A. Romero ยังเป็นผู้ตั้งกฎที่หนังซอมบี้เกือบทุกเรื่องเดินรอยตาม นั่นคือคนที่ถูกมักกัดหรือข่วนจะกลายเป็นซอมบี้ภายในครึ่งชั่วโมง จุดอ่อนคือศีรษะที่ถ้าถูกยิงเข้าที่หัวหรือตัดคอก็จะหยุดแผลงฤทธิ์ ต่อมาในหนังของ A. Romero เองอย่าง The Return of the Living Dead (1985) ซอมบี้ก็วิ่งไวขึ้นและฆ่าไม่ตายนอกจากจะเอาไปเผาเท่านั้น
Night of the Living Dead (1968) (มีที่ Netflix)
- นักแสดง: Duane Jones, Judith O’Dea, Karl Hardman, Marilyn Eastman
- ผู้กำกับ: George A. Romero (Dawn of the Dead, Creepshow, Survival of the Dead)
- เรื่องย่อ: พี่สาวน้องชายคู่หนึ่งเดินทางไปเยี่ยมเยียนหลุมฝังศพของพ่อ “จอห์นนี่” (Russell Streiner) ผู้เป็นน้องอดไม่ได้ที่จะแกล้ง “บาร์บาร่า” (Judith O’Dea) ระหว่างนั้นเองชายวัยกลางคนที่เดินเข้ามาหาด้วยท่าทางแปลก ๆ ก็ตรงเข้าทำร้ายบาร์บาร่าอย่างไม่คาดฝัน จอห์นนี่พยายามเข้าไปช่วยเหลือแต่ถูกทำรายจนเสียชีวิต บาร์บาร่าหนีไปโดยไม่มีจุดหมายแน่ชัด ก่อนจะไปพบบ้านร้างหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างไกลกัน หลังจากนั้นเธอก็พบกับ “เบน ” (Duane Jones) บอกว่าเขาเจอคนกลุ่มหนึ่งท่าทางสะลึมสะลือ (ซอมบี้นั่นแหละ) รุกไล่จนเขาต้องหนีมาหลบภัยในบ้านร้างแห่งนี้
- เกร็ดเบื้องหลัง: หนังเรื่องแรกของผู้กำกับ George A. Romero ที่กลายเป็นหนังแจ้งเกิดและได้ทำหนังชุดเกี่ยวกับซอมบี้มาจนถึงเรื่องสุดท้าย Survival of the Dead (2009) จุดเริ่มต้นของหนังมาจาก มาจากแนวคิดของ Romero และ John A .Russo ที่อยากทำหนังสัตว์ประหลาดเพื่อฉายในโรงหนังไดร์ฟอิน ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น Romero มาพร้อมกับเรื่องสั้น 40 หน้า เรื่องราวเกี่ยวกับคนตายฆ่าคนเป็น ในตอนนั้นเขาเรียกพวกนี้ว่า Ghouls หรือพวกเขมือบศพ (ภายหลังคนดูเรียกพวกนี้ว่า “ซอมบี้” จน Romero ก็เลยตามเลยเรียกไปด้วย) หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนที่ทำงานในบริษัทโฆษณา 10 คน นำไปสู่การก่อตั้งบริษัท Image Ten เพื่อทำหนังเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น หนังทำรายได้ทั่วโลกไป 30 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 114,000 เหรียญฯ ในตอนแรกหนังโดนนักวิจารณ์ในสหรัฐฯ สับเละแต่เมื่อนักวิจารณ์ต่างประเทศต่างสรรเสริญว่าเป็นหนังดี หนังก็เลยกลับมาได้รับความนิยมอีกรอบ
Dawn of the Dead (1978)
- นักแสดง: David Emge, Ken Foree, Scott H. Reiniger, Gaylen Ross
- ผู้กำกับ: George A. Romero (Night of the Living Dead, Martin, Land of the Dead)
- เรื่องย่อ: ตำรวจบุกถล่มอพาร์ทเมนท์ที่เหล่าซอมบี้กำลังอาละวาด “สตีเฟ่น แอนดรูว์” (David Emge) นักบินและแฟนสาว “ฟรานซิน ปาร์คเกอร์” (Gaylen Ross) พร้อมกับนายตำรวจหน่วยสวาทอีก 2 นายกำลังหลบหนีฝูงซอมบี้ด้วยเฮลิคอปเตอร์ที่บินวนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพวกเขาตัดสินใจจอดเฮลิคอปเตอร์บนหลังคาของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ในห้างและลานจอดรถก็ยังเต็มไปด้วยซอมบี้ แล้วจู่ ๆ พวกเขาทั้งสี่ก็เกิดเพลิดเพลินในการยึดครองห้างแห่งนี้ด้วยการหยิบฉวยสินค้าฟรีจากร้านต่าง ๆ กลุ่มผู้รอดชีวิตกลุ่มนี้กลายสภาพเป็นโจรไปในที่สุดและหายนะของพวกเขาก็เกิดจากความโลภที่อยู่ดี ๆ สัญชาตญาณเลวร้ายของมนุษย์นี้ก็ปรากฎขึ้นมา
- เกร็ดเบื้องหลัง: หนึ่งในหนังซอมบี้ที่ถูกจัดขึ้นหิ้งว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดของ George A. Romero 10 ปีให้หลังจากหนังซอมบี้เรื่องแรกของเขาซึ่งเนื้อหาของหนังไม่มีความเกี่ยวข้องกัน หนังออกจะเป็นแนวตลกร้ายเสียดสีแนวคิดทุนนิยมและบริโภคนิยมของชาวอเมริกันในยุคนั้น ผ่านฉากหลังอย่างห้างสรรพสินค้าที่ขนาดซอมบี้ที่ตายไปแล้วก็ยังหลงใหลได้ปลื้มกับข้าวของอยู่เลย ด้วยความเป็นหนังทุนต่ำแค่ 650,000 เหรียญฯ เหล่านักแสดงที่มาเล่นเป็นซอมบี้จึงเป็นพี่น้องและญาติของทีมงานทั้งนั้น เลือดที่ผสมในหนังก็ทำมาจากสีผสมอาหารและเนยถั่วลิสง แต่ก็ถูกใจผู้กำกับเพราะเลือดปลอมสะท้อนแสงได้ตรงกับภาพในหัวของเขา หนังได้ถูกนำมารีเมกใหม่ในปี 2004 โดยผู้กำกับจักรวาลฮีโรดีซี Zack Snyder โดยมีการคารวะฉบับต้นฉบับให้เหตุการณ์ในหนังยังคงเกิดที่ห้างสรรพสินค้าเหมือนเดิม
Resident Evil (2002-2016) (ภาค 6 มีที่ Netflix)
- นักแสดง: Milla Jovovich, Michelle Rodriguez, Jason Isaacs, James Purefoy
- ผู้กำกับ: Paul W.S. Anderson (Resident Evil 1-6, Alien vs. Predator, Mortal Kombat)
- เรื่องย่อ: ณ เมืองแร็คคูน ซิตี้ ซึ่งใต้ดินของเมืองมีสถานที่เรียกว่า The Hive หรือรวงผึ้ง เป็นสถานที่ลับระดับสุดยอดเพื่อใช้ทดลองอาวุธชีวภาพ เจ้าของคือ อัมเบรล่า คอร์ป ฉากหน้าเป็นองค์กรที่ผลิตเทคโนโลยีและเวชภัณฑ์เพื่อสุขภาพ แต่เบื้องหลังมีธุรกิจผลิตเทคโนโลยีกองทัพ ทดลองพันธุวิศวกรรม และพัฒนาทดลองอาวุธชีวภาพ แต่แล้วก็เกิดเหตุมีคนขโมยตัวอย่าง T-Virus ออกไปได้จนทำให้เชื้อร้ายเกิดรั่วไหลไปทั่วศูนย์วิจัย ทำให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ “เรดควีน” เริ่มทำงาน ปิดระบบทุกส่วน ซึ่งทำให้คนที่ทำงานในศูนย์วิจัยเสียชีวิตหมด “อลิซ” ตื่นมาอย่างสูญเสียความทรงจำ เธอจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอก่อนที่จะเจอ “แมตต์” ตำรวจหนุ่ม และหน่วยคอมมานโด ซึ่งเล่าให้เธอฟังว่า ทั้งเขา อลิซ และชายที่สูญเสียความทรงจำอีกคน มีนายจ้างคนเดียวกันคือ อัมเบรล่า คอร์ป พวกเขาตกกระไดพลอยโจนต้องให้เธอเป็นคนนำทางเพื่อหยุดยั้งไวรัสระบาดในศูนย์วิจัยไม่ให้ออกสู่โลกภายนอก โดยมีเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น
- เกร็ดเบื้องหลัง: หนังที่สร้างจากเกมที่มีจำนวนภาคมากที่สุดและอาจถือว่านั่นคือความสำเร็จสูงสุดของหนังวิดีโอเกมสักเรื่องก็ว่าได้ สร้างจากเกมสยองขวัญที่สร้างโดยนักออกแบบเกมชาวญี่ปุ่น “ชินจิ มิคามิ” และ “โทคุระ ฟูจิวาระ” จากบริษัท Capcom ในปี 1996 Resident Evil ที่คอเกมรู้จักกันในนาม Biohazard กลายเป็นหนังภาคแรกในปี 2002 โดยผู้กำกับ Paul W. S. Anderson สามีของนักแสดงนำหลักของเรื่อง Milla Jovovich ซึ่งแสดงมาครบทุกภาคเพียงตัวละครเดียว (แน่ละ ถ้าเปลี่ยนตัวสามีคงได้นอนนอกบ้าน) หนังทั้ง 6 ภาคทำรายได้ทะยานข้ามหลัก 1,000 ล้านเหรียญฯ ไปหยุดที่ 1,217 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างทุกภาครวมกันแค่ 288 ล้านเหรียญฯ แต่คะแนนวิจารณ์เฉลี่ยอยู่แถว ๆ 21-34% เท่านั้นจากเว็บไซต์มะเขือเน่า เห็นได้ชัดว่าหนังไม่ได้สร้างมาเพื่อนักวิจารณ์แต่เพื่อคอเกมโดยแท้ นอกจากนั้นหนังเรื่องนี้ยังเป็นผู้กรุยทางให้หนังจากเกมได้เฉิดฉายในฮอลลีวูด เพราะมีหนังจากเกมที่ฉายหลังจาก Resident Evil ถึง 28 เรื่องเลยทีเดียว
28 Days Later (2002) & 28 Weeks Later (2007) (ภาค 2 มีที่ Netflix)
- นักแสดง: Cillian Murphy, Naomie Harris, Brenden Gleeson / Jeremy Renner, Idris Elba, Rose Byrne, Robert Carlyle
- ผู้กำกับ: Danny Boyle (Slumdog Millionaire, 127 Hours, Trainspotting) / Juan Carlos Fresnadillo (Intruders)
- เรื่องย่อ: “จิม” ตื่นขึ้นในห้องไอซียูที่ว่างเปล่าด้วยอาการงุนงง ก่อนจะออกเดินสำรวจเมืองทั้งเมืองที่ว่างเปล่า เขาได้พบกับฝูงมนุษย์ที่บ้าคลั่งจะเอาชีวิตเขาใน 28 Days Later ระหว่างที่จิมต้องเอาตัวรอดไปกับกลุ่มผู้รอดชีวิตที่เหลือ สิ่งที่น่ากลัวกว่าเชื้อไวรัสก็คือ ความเห็นแก่ตัวและการอยากเอาตัวรอดของมนุษย์ ส่วน 28 Weeks Later เล่าถึงเหตุการณ์ 6 เดือนให้หลังจากที่เชื้อร้ายถล่มดินแดนสหราชอาณาจักร กองทัพสหรัฐฯ ประกาศชัยชนะเหนือสงครามปราบเชื้อไวรัส และเริ่มฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองขึ้นมาใหม่ ผู้อพยพกลุ่มแรกเดินทางกลับเมืองบ้านเกิด แต่มีผู้รอดชีวิตหญิงรายหนึ่งกุมความลับว่าเชื้อร้ายยังคงมีอยู่กับตัวเธอ ทำให้เกิดการระบาดขึ้นอีกรอบและเชื้อร้ายได้หวนกลับมาถล่มเมืองใหม่ ทวีความร้ายแรงมากขึ้นกว่ารอบแรก
- เกร็ดเบื้องหลัง: Danny Boyle ผู้กำกับชื่อดังจาก Trainspotting (1996) มากำกับหนังซอมบี้ที่ดูจะเป็นหนังเมนสตรีมเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังไม่ทิ้งลายผู้กำกับที่งานจะเต็มไปด้วยไอเดียแปลกแหวกแนว ในเรื่องนี้คนดูจะได้เห็นเซ็ทฉากการหนีซอมบี้ในพื้นที่เปิดโล่งกลางเมืองใหญ่อย่างกรุงลอนดอน และหนังเรื่องนี้ยังเป็นหนัง Road Movie ผสมซอมบี้ที่ไม่เคยมีมาก่อน ครึ่งแรกของเรื่องหนังเน้นการเอาชีวิตรอดจากซอมบี้แต่พอมาครึ่งเรื่องหลังก็พลิกไปเป็นหนังดราม่าที่ตีแผ่ด้านมืดของมนุษย์ยามต้องเอาตัวรอดที่น่ากลัวยิ่งกว่าซอมบี้เสียอีก ส่วนบทนำของนักแสดง Cillian Murphy ก็เคยเกือบตกเป็นของ Leonardo DiCaprio ที่เคยเล่นหนังของ Boyle อย่าง The Beach (2000) มาก่อนและ Ewan McGregor จาก Trainspotting ติดที่คิวไม่ว่างกันหมด ส่วนในภาค 2 นั้นหนังก็ได้นักแสดงอย่าง Robert Carlyle จาก Trainspotting ของ Boyle มาแสดงนำแม้ว่า Boyle จะไม่ได้ตามากำกับในภาค 2 และคนดูจะได้เห็น / Jeremy Renner และ Idris Elba ร่วมแสดงในตอนที่ยังไม่มีชื่อเสียงมากนักอีกด้วย
[REC] (2007) (Quarantine ฉบับรีเมกของฮอลลีวูด มีที่ Netflix)
- นักแสดง: Manuela Velasco, Jorge-Yamam Serrano, David Vert, Carlos Vicente
- ผู้กำกับ: Jaume Balagueró / Paco Plaza
- เรื่องย่อ: “แองเจล่า วิดัล” (Manuela Velasco) พิธีการรายการข่าวค่ำ นักข่าวสาวปากมากคนนี้ต้องเดินทางไปถ่ายทำชีวิตของคนทำงานช่วงกลางคืนเพื่อเอามาทำข่าวร่วมกับตากล้องคู่ใจ “พาโบล” (Pablo Rosso) ในคืนนั้นเองเธอตามติดชีวิตเหล่านักดับเพลิงไปปฏิบัติงานยังตึกแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงพวกเขาเจอกับหญิงสาวร่างกายโชกเลือกวิ่งเข้าไปขย้ำคอของยามประจำตึก ภาพความโกลาหลถูกบันทึกไว้ได้ในกล้องของพาโบล ระหว่างกำลังเคลื่อนย้ายคนเจ็บออกจากตึก พวกเขาพบว่าประตูถูกปิดตายและตำรวจก็แจ้งเข้ามาว่า ไม่ให้ออกจากตึก หน่วยกักกันโรคส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันการต่อเหล่าซอมบี้มากมายที่คอยจะเล่นงานพวกเขา แองเจล่ายังได้ค้นพบห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ เธอต้องถ่ายเก็บหลักฐานเอาไว้ในวิดีโอ เพราะพวกเขาคงไม่ได้รอดออกมาบอกความจริง
- เกร็ดเบื้องหลัง: หนัง Found Footage ที่เป็นมุมมองบุคคลที่ 1 จากการถ่ายด้วยกล้องวิดีโอเช่นเดียวกับหนังดังในอดีตเรื่อง The Blair Witch Project (1999) ที่นำมาใช้กับหนังตระกูลซอมบี้เป็นครั้งแรก และหนังก็ยังคงความระทึกขวัญไว้ได้ดีจากการตัดต่อที่แนบเนียน และหลายฉากเป็นการถ่ายทำแบบ Long-take ซึ่งหมายความว่าทีมงานจะต้องเตรียมอุปกรณ์และเสื้อผ้าเข้าไปวางและเปลี่ยนนักแสดงแบบเสี้ยววินาทีที่กล้องหล่นหรือสั่นไหวจับภาพไปทางอื่น ความสำเร็จของ [REC] ทำให้หนังมีภาคต่อตามออกมาที่ประเทศสเปนบ้านเกิดถึง 4 ภาค และฮอลลีวูดก็นำปรีเมกเป็นหนังชื่อ Quarantine (2008) ในปีถัดมา (ดีวีดีหนังฉบับสเปนไม่ได้วางขายในสหรัฐฯ จนกระทั่ง Quarantine เข้าฉาย) นอกจากนั้น Manuela Velasco มีอาชีพเป็นนักข่าวจริง ๆ นักแสดงในเรื่องเป็นนักแสดงโนเนมตามความตั้งใจของผู้สร้างที่อยากให้ดูสมจริงที่สุด และนักแสดงได้รับบทตอนเข้าฉากเลยเพื่อให้ตื่นเต้นเหมือนจริงที่สุด
I Am Legend (2007) (มีที่ Netflix)
- นักแสดง: Will Smith, Alice Braga
- ผู้กำกับ: Francis Lawrence (The Hunger Games 2-4, Red Sparrow, Constantine)
- เรื่องย่อ: “โรเบิร์ต เนวิลล์” นักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องที่ไม่อาจจำกัดวงการแพร่ระบาดไวรัสร้ายที่ก่อกำเนิดด้วยน้ำมือมนุษย์และสร้างหายนะล้างเผ่าพันธ์ุมนุษย์ไปทั่วโลกได้ เนวิลกลายเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่รอดชีวิตอยู่ในเมืองนิวยอร์ก และอาจจะเป็นคนสุดท้ายบนโลกใบนี้ บรรดาเหยื่อโรคระบาดกลายพันธุ์เป็นซอมบี้ ซ่อนอยู่ในเงามืดยามค่ำคืนเฝ้าจะบุกทำร้ายเขา เนวิลล์ต้องหาทางสกัดยารักษาโรคจากภูมิคุ้มกันในเลือดของเขา แม้ว่าจะดูไม่มีความหวังและไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่อช่วยเหลือใครอื่นอีก เพราะทั้งโลกเหลือแต่เขาคนเดียว
- เกร็ดเบื้องหลัง: นิยาย I Am Legend ของนักเขียน Richard Matheson เมื่อปี 1954 เป็นต้นแบบของหนังไซไฟสยองขวัญยุคใหม่ทำให้เกิดหนังซอมบี้ล้างโลกก่อนหน้าเรื่องนี้มาแล้ว 2 เรื่องคือ The Last Man on Earth (1964) และ The Omega Man (1971) ที่นำแสดงโดย Charlton Heston ก่อนหน้าจะถ่ายทำ Will Smith ต้องลดน้ำหนักลงถึง 9 กิโลกรัมเพื่อให้สมกับบทบาทผู้ชายคนสุดท้ายบนโลก โดยได้เทรนเนอร์มาฟิตหุ่นให้เป็นคนเดิมกับตอนที่เขาเล่นหนังนักมวยเป็นมูฮัมหมัด อาลี ใน Ali (2001) นอกจากนั้นหนังเรื่องนี้ยังได้รับความช่วยเหลือด้านข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้กำกับและนักแสดงได้คุยกับนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานในห้องทดลอง ที่ทำหน้าที่ควบคุมความปลอดภัยของไวรัสจริง ๆ และฉากเมืองนิวยอร์กร้างนั้นพวกเขาก็ไปถ่ายทำในสถานที่จริง และต้องใช้ทีมงานกว่า 100 ชีวิตในการปิดถนนตั้งแต่จากเมดิสันถึงซิกซ์อะเวนิวเลยทีเดียว
Zombieland & Zombieland: Double Tap (2009-2019) (ทั้ง 2 ภาคมีที่ Netflix)
- นักแสดง: Jesse Eisenberg, Emma Stone, Woody Harrelson, Abigail Breslin
- ผู้กำกับ: Ruben Fleischer (Venom, Gangster Squad, 30 Minutes or Less)
- เรื่องย่อ: ในภาคแรกเล่าเรื่องราวของผู้รอดชีวิต 4 คนที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติโลกแตกของผู้คนที่กลายเป็นซอมบี้ โดยมีต้นเหตุมาจากการกิรเบอร์เกอร์ที่ทำจากเนื้อวัวที่เป็นโรควัวบ้า ผ่านมา 10 ปีในภาค 2 โคลัมบัส (Jesse Eisenberg) แทลลาแฮสซี (Woody Harrelson) วิชิตา (Emma Stone) และลิตเติลร็อก (Abigail Breslin) ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านซอมบี้ และกำจัดซอมบี้ด้วยวิธีต่าง ๆ พวกเขาเดินทางมาถึงบริเวณรอบ ๆ ทำเนียบขาวที่กลายเป็นทุ่งหญ้าและต้นไม้ ขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับเหล่าซอมบี้กลายพันธุ์ที่เรียกว่า “ซูเปอร์ซอมบี้” และได้พบกับผู้รอดชีวิตใหม่อีก 4 คนที่มีชื่อเรียกเป็นชื่อเมืองเหมือนตัวละครหลักทั้ง 4 ตัว
- เกร็ดเบื้องหลัง: อาจเป็นหนังที่ลดโทนความสยองขวัญของซอมบี้มาเป็นแนวตลกร้ายชวนให้ขำมากกว่าชวนหลอนเช่นเดียวกับหนังแนวนี้อีกเรื่องอย่าง Scouts Guide to the Zombie Apocalypse (2015) (มีให้ดูบน Netflix เช่นกัน) หนัง Road Movie เรื่องนี้ภาคแรกสร้างในปี 2009 ตอนที่ Emma Stone ยังไม่ได้ใช่ดาราที่โด่งดังและเป็นดารารางวัลออสการ์ โดยเธอบอกกับผู้กำกับ Ruben Fleischer ว่าอยากจะทำหนังซอมบี้เรื่องนี้เหมือนหนัง Boyhood (2014) ที่ทุก 10 ปี พวกเขาทั้งสี่คนจะหวนกลับมาเจอกัน นอกจากนั้น ในภาค 2 ยังเลือกใช้ผู้กำกับภาพเอเชียอย่าง ชอง ชองฮุน (Chung Chung-hoon) ผู้กำกับภาพคู่บุญที่ถ่าย Oldboy (2003) ให้ผู้กำกับ ปาร์ก ชานวุก (Park Chan-wook) และยังได้ถ่ายหนังงานภาพเด่น ๆ อย่าง It (2017) ด้วย (อ่านรีวิวของ WTF ฉบับเต็มของภาค 2 ได้ที่นี่)
World War Z (2013) (มีที่ Netflix)
- นักแสดง: Brad Pitt, Matthew Fox, David Morse, Mireille Enos
- ผู้กำกับ: Marc Foster (007: Quantum of Solace, The Kite Runner, Finding Neverland)
- เรื่องย่อ: “เจอร์รี่ เลน” อดีตเจ้าหน้าที่สืบสวนประจำองค์การสหประชาชาติและครอบครัวที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์ก ต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพื่อเอาตัวรอดจากเหตุเชื้อร้ายระบาด และทำให้คนที่ถูกกัดกลายเป็นซอมบี้ (ชนิดวิ่งเร็วมาก) สถานการณ์บีบบังคับให้เขาต้องหวนคืนสู่หน้าที่ในการสืบสวนหาต้นตอของการระบาด เพื่อแลกกับที่อยู่บนเรือของกองทัพที่ลอยลำบนมหาสมุทรอย่างปลอดภัย เขานำทีมออกค้นหาต้นตอของเชื้อไวรัสทั้งที่เกาหลีใต้และอิสราเอล ก่อนจะระหกระเหินไปเจอกับแล็บที่อาจค้นพบวิธีการยับยั้งโรคระบาดในครั้งนี้ แต่อาจต้องแลกมาด้วยการทดลองด้วยชีวิตของเขาเอง
- เกร็ดเบื้องหลัง: หนังสร้างจากนิยายของ Max Brooks ที่ใช้ชื่อว่า The Zombie Survival Guide ประกอบไปด้วย 6 ตอนที่แยกออกจากกันตามด้วยลิสต์การโจมตีของซอมบี้ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาของประวัติศาสตร์จบด้วยภาคผนวกที่กล่าวถึงไวรัส “โซลานัม” ต้นกำเนิดของเชื้อไวรัสที่ทำให้คนกลายซอมบี้และไม่มีทางรักษาหาย เกิดการแย่งชิงบทและสิทธิ์ในการสร้างของบริษัท Appian Way ของ Leonardo DiCaprio และ Plan B ของ Brad Pitt (ทั้งสองกลายมาเป็นเพื่อนซี้กันในที่สุดจากการเล่น Once Upon a Time…in Hollywood (2019) และ Pitt ก็ชนะการประมูลไป หนังกลายเป็นหนังซอมบี้ที่ใช้ทุนสร้างสูงสุดที่ 200 ล้านเหรียญฯ (บางแหล่งข่าวบอกว่ามากถึง 400 ล้านเหรียญฯ ด้วยซ้ำ) เนื่องจากต้องมีการถ่ายซ่อมองก์ 3 ใหม่ทั้งหมดจากเดิมที่จะจบด้วยฉากสงครามที่จัตุรัสแดงในมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย กลายมาเป็นในห้องทดลองอย่างที่ได้เห็นกัน นอกจากนั้นหนังยังมีการปรับเนื้อหาหลังถ่ายทำไปแล้วว่าจุดกำเนินของไวรัสมาจากในประเทศจีน (เอ๊ะ…คุ้น ๆ) ออกเพราะจะเอาหนังไปขายที่ประเทศจีนด้วย
Train to Busan (2016)
- นักแสดง: กง ยู, จอง ยูมิ, มา ดงซอก, คิม ซูอัน, คิม อึยซอง, ชเว อูซิก, อัน โซฮี
- ผู้กำกับ: ยอน ซังโฮ
- เรื่องย่อ: ซอกอู (กงยู) และลูกสาวซูอา (คิมซูอัน) กำลังขึ้นขบวนรถไฟเคทีเอ็กซ์ที่จะพาทั้งสองเดินจาก กรุงโซลไปยังเมืองปูซานเพื่อเยี่ยมภรรยาเก่าที่ไม่ได้พบกันมานาน แต่ทันทีที่รถไฟกำลังจะเคลื่อนออกจากชานชาลา กลับเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้โดยสารทั้งขบวนต้องช็อก เมื่อสถานีรถไฟกลับถูกฝูงซอมบี้โจมตีและมีผู้ติดเชื้อรายหนึ่งแอบซ่อนเข้ามาบนรถไฟขบวนนี้ด้วย และแน่นอนการกลายร่างกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการคร่าชีวิตคนขับรถไฟและผู้โดยสาร รถไฟเคทีเอ็กซ์มุ่งตรงไปยังปูซานโดยไร้คนขับ ผู้โดยสารทั้งหมดต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากฝูงซอมบี้ที่กำลังไล่ล่าพวกเขาจากโบกี้สู่โบกี้อย่างไม่ลดละ
- เกร็ดเบื้องหลัง: Train to Busan สร้างปรากฎการณ์ให้กับวงการภาพยนตร์เกาหลี ได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ ครั้งที่ 69 สร้างสถิติผู้เข้าชมในวันแรกที่ประเทศเกาหลีใต้สูงถึง 858,659 คนจากจำนวน 1,567 โรงภาพยนตร์ ทุบสถิติหนังที่มีจำนวนโรงภาพยนตร์จากการเข้าฉายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และทำรายได้ราว 85 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับที่ 13 ภาพยนตร์เกาหลีทำรายได้สูงสุดตลอดกาล หนังยังมีภาคต้นของเรื่องราวเป็นฉบับแอนิเมชันเรื่อง Soul Station (2016) ออกมาด้วย ส่วนฉบับรีเมกของฮอลลีวูด ค่ายหนังยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวูดอย่าง New Line Cinema, Universal, Paramount, Lionsgate และ Screen Gems (เกือบหมดฮอลลีวูดแล้ว) ได้เปิดศึกประมูลแย่งลิขสิทธิ์เพื่อนำเรื่องนี้ไปสร้าง สุดท้ายเป็น New Line Cinema ที่สามารถปิดดีลนี้ไปได้ โดยจะได้ James Wan เจ้าพ่อหนังสยองขวัญที่เคยฝากผลงานไว้กับ Saw, Insidious และ The Conjuring ทั้ง 2 ภาคมาเป็นผู้อำนวยการสร้าง (อ่านรีวิวฉบับเต็มของ WTF ได้ที่นี่)
One Cut of the Dead (2017)
- นักแสดง: ทาคายูกิ ฮิกูราชิ, คาซูอากิ คามิยะ, ยูซูกิ อากิยาม่า, ฮารูมิ ฮิกูราชิ, ฮิโรชิ ยามานูจิ
- ผู้กำกับ: ชินอิจิโระ อูเอดะ
- เรื่องย่อ: ทาคายูกิ (ทาคายูกิ ฮิกูราชิ) ผู้กำกับไอเดียบรรเจิดคิดทำหนังซอมบี้ถ่ายแบบลองเทคไม่มีสั่งคัตในโรงงานร้างที่เคยเป็นแหล่งทดลองของกองทัพจนทีมงานทั้งนักแสดงนำอย่าง คาซูอากิ (คาซูอากิ คามิยะ) พระเอกสุดติสท์ในเมกอัปซอมบี้, ไอกะ (ยูซูกิ อากิยาม่า) นางเอกสาวสวยเรื่องเยอะ, ฮารูมิ (ฮารูมิ ฮิกูราชิ) เมคอัพอาร์ตทิสต์บ้าพลัง,ฮิโรชิ (ฮิโรชิ ยามานูจิ) พรอพมาสเตอร์สายมึน, โทชิซูเกะ (จุนทาโร่ ยามาซากิ) บูมแมนกระเพาะคราก และ มานาบุ (มานาบุ โฮโซดะ) ตากล้องขี้เมา ต้องร่วมประสบเหตุการณ์สยองเมื่อซอมบี้ตัวจริงดันมาเป็นแขกรับเชิญจนทีมงานต้องใส่เกียร์หมาหนีการตามล่าก่อนถูกงับจนไม่ทันสั่งคัต
- เกร็ดเบื้องหลัง: เรื่องย่อที่เพิ่งอ่านกันไปเป็นแค่เรื่องราวในส่วนของฉากลองเทค 37 นาทีแรกของหนังเท่านั้น เพราะเรื่องราวที่เหลืออีก 60% ที่เหลือเราอยากให้ไปดูต่อกันเอง หนังประสบความสำเร็จระดับปรากฎการณ์ จากทุนสร้างประมาณ 3 ล้านเยน หรือไม่ถึง 900,000 บาท กวาดรายได้ในบ้านเกิด ไปถึง 800 ล้านเยน หรือราว 200 ล้านบาท และจากเดิมเข้าฉายเพียง 3 โรงภาพยนตร์ในโตเกียวสู่กระแสชื่นชมจากทั้งคนดูและนักวิจารณ์จนได้ขยายไปฉายร่วม 200 โรงทั่วประเทศ แถมยังลามไกลไปฉายเทศกาลหนังสำคัญทั่วโลกทำคะแนนเต็ม 100% บนเว็บไซต์หนังดังอย่าง Rotten Tomatoes อีกด้วย หนังทำออกมาตลกมากโดยเฉพาะมุกเสียดสีวงการบันเทิงอย่างที่ผิดคาดไปจากหน้าหนังที่ดูจะเป็นหนังตกเกรดและเป็นหนังแผ่น (อ่านรีวิวฉบับเต็มของ WTF ได้ที่นี่)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส