อีกหนึ่งหนังที่คอหนังทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐฯ จับตาว่าจะเลื่อนหรือไม่เลื่อนตามหนังเรื่องอื่น ๆ ที่เคยมีกำหนดฉายก่อนหน้าและเลื่อนฉายไปหมดแล้ว นั่นคือ Tenet ของผู้กำกับ Christopher Nolan ที่ยังคงยืนยันกำหนดฉาย 17 กรกฎาคม ซึ่งถ้าดูจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 ในสหรัฐฯ ตอนนี้ก็ยังดูไม่มีทีท่าจะคลี่คลายลงได้เร็วเท่ากับประเทศอื่น ๆ ในโลกที่เริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์ลงแล้ว
แหล่งข่าววงในที่เป็นผู้บริหารด้านการตลาดของบริษัทคู่แข่งกับค่าย Warner Brothers ได้บอกกับ Washington Post ว่า ถ้าหนัง Tenet เลื่อนฉายหรือฉายแล้วแต่ทำรายได้ไม่ดี หนังของสตูดิโอในฮอลลีวูดจะพากันถอดวันฉาย และจะไม่มีหนังเรื่องไหนฉายในโรงภาพยนตร์เลยจนกว่าจะถึงช่วงคริสมาสต์ของปีนี้ ทำให้ตอนนี้ Tenet เหมือนเป็นปราการด่านสุดท้ายที่จะเรียกความเชื่อมั่นให้กับบรรดาค่ายเจ้าของหนังต่าง ๆ ว่าครึ่งปีหลังของปี 2020 เป็นปีที่คุ้มจะเสี่ยงปล่อยหนังฉายหรือไม่ ฟังแบบนี้แล้วก็นึกถึงประโยคที่ว่า The Last Man Standing ของจริง
Nolan นั้นยึดเอากำหนดฉายประจำเดือนกรกฎาคมในหลาย ๆ ปีเพื่อเปิดหนังของเขาซึ่งเป็นเดือนเกิดของเขาด้วย (อาจจะเป็นหนึ่งในเคล็ดที่ทำให้หนังของเขาประสบความสำเร็จ นอกจากการมีนักแสดง Michael Caine ในหนัง) ก่อนหน้านี้หนังของเขาที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์บ้านเมืองจนส่งผลกระทบต่อรายได้ ก็คือเมื่อครั้งเหตุกราดยิงในรอบฉายรอบแรก ๆ ของ The Dark Knight Rises (2012) จนค่ายหนังขอไม่รายงานรายได้เปิดตัวสุดสัปดาห์แรก แต่ก็โกยเงินในสัปดาห์ต่อ ๆ มาอย่างมโหฬารจนกลายเป็นความสำเร็จตามคาดอยู่ดี
อีกเรื่องที่แฟน ๆ ยังอยากจะรู้ แต่คงไม่ได้รู้จนกระทั่งหนังฉาย นั่นคือก็พล็อตหรือเนื้อเรื่องของ Tenet ที่เป็นไปตามธรรมเนียมของ Nolan ที่จะไม่เปิดเผยเนื้อเรื่องให้คนดูได้รู้ก่อน (ไม่อย่างนั้นเราก็คงไม่ร้องว้าวตอนที่ได้ดู Inception (2010) รอบแรกในโรงใช่ไหมล่ะ?) หลังจากตัวอย่างแรกมีฉากรถวิ่งถอยหลังจึงมีการตั้งคำถามว่า หนังจะเกี่ยวข้องกับการย้อนเวลา หรือการเดินทางข้ามเวลาหรือไม่ นิตยสาร GQ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์นักแสดงนำอย่าง Robert Pattinson และเขาก็ได้เล่าถึงหนังแบบที่พอจะเป็นเบาะแสให้กับเราได้ว่า
“หนังเรื่องนี้ยิ่งใหญ่และบ้าสุด ๆ ไปเลยครับ เพราะหนังมีทีมงานในกองถ่ายราว 500 คน และ 250 คนในนั้นก็ต้องขึ้นเครื่องบินไปด้วยกันตามประเทศต่าง ๆ และในแต่ละประเทศก็จะมีฉากถ่ายที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก เราเหมือนมีฉากไคลแม็กซ์ของหนังทั่วไปอยู่ในทุกฉากทุกประเทศที่เราไปถ่ายทำ วันไหนที่ทีมงานคนไหนหยุดพักก็จะมาที่กองถ่ายกันเพื่อดูงานถ่ายทำ ไม่มีใครอยากพลาดประสบการณ์ที่จะได้เห็นการถ่ายทำอันสุดยอดของ Nolan …ไม่มีการเดินทางข้ามเวลาในหนังเรื่องนี้ นั่นเป็นอย่างหนึ่งที่ผมได้รับอนุญาตให้พูดได้” Pattinson กล่าว
ในการสัมภาษณ์นั้น GQ ได้โทรหา Nolan เพื่อให้ยืนยันว่า Pattinson ไม่ได้เผลอเปิดปากบอกเนื้อเรื่องของหนัง ที่บอกว่าไม่รู้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องของหนัง และ Nolan ก็ช่วยอธิบายเพิ่มว่า
“เมื่อพวกคุณได้ดูหนังแล้วคุณจะเข้าใจ Rob (Robert) ได้บทมาอ่านก่อนเข้าฉากแต่ละฉากไม่นาน แต่เขาก็ยังเข้าใจความคลุมเครือของหนัง เขาอาจจะโกหกคุณนิดหน่อยที่บอกว่าไม่รู้ เพราะเขาได้เห็นบทโดยสมบูรณ์ไปแล้ว แต่บทโดยสมบูรณ์ในที่นี้มันก็แค่ “การเข้าใจและรับรู้” ถึงความจำเป็นที่จะต้องให้หนังเรื่องนี้เข้าไปในสมองของผู้ชม และเขาเป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิดในแง่ก็รับรู้บททั้งหมดเท่านั้นเอง” อธิบายได้งงและคลุมเครือสมเป็น Nolan
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส