แม้ว่าจะเข้าฉายผ่านมาถึง 17 ปีแล้ว สำหรับ The Matrix ภาค 2 ที่ใช้ชื่อตอนว่า Reloaded (2003) ซึ่งเป็นภาคที่ทำรายได้สูงสุดของไตรภาค (รายรับรวมทั่วโลก 427 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญฯ) หนังก็ยังถูกพูดถึงอยู่เรื่อยมา ในฐานะที่เป็นหนังที่แหลมคมไปด้วยไอเดียสุดล้ำ แฝงปรัชญาชวนให้คนดูตีลังกาคิดหลายตลบ ซึ่งฉากหนึ่งที่เป็นฉากไคลแมกซ์ของเรื่องก็คือตอนที่ Neo ผู้ปลดปล่อยได้เผชิญหน้ากับ The Architect หรือสถาปนิกผู้ออกแบบ Matrix ฉากนี้มีนัยยะเปรียบเปรยถึงการที่พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระบุตร ได้พบกับพระบิดา
ในภาคสองที่ตามมาหลังความสำเร็จอย่างถล่มทลายของภาคแรก เข้าฉายปี 1999 สเกลงานสร้างก็ใหญ่โตขึ้น แฟนหนังได้เห็นฉากเมืองไซออน แหล่งรวมมนุษย์ที่ยังเหลืออยู่หลังโลกล่มสลาย เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่ตกเป็นทาสของเครื่องจักรกลในปี 2099 คนที่เหลือรอดมารวมกันที่นี่ ชาวเมืองมีทั้งที่เชื่อและยังไม่เชื่อในพลังของ Neo ว่าจะคุ้มครองชีวิตของพวกเขาได้ ขณะเดียวกันตัวร้ายอย่าง Agent Smith ก็ยังไม่ตายและก็อปปี้ตัวเองราวกับไวรัสตามราวี Neo กับพวกไม่เลิกรา หนังภาคต่อถูกแบ่งออกเป็นสองภาค และ The Matrix 3: Revolutions (2003) ก็เข้าฉายหลังจากภาคสอง 6 เดือน (ก่อนที่ภาค 4 จะเข้าฉายในเดือนพฤษภาคม ปี 2022 ให้หลังภาค 3 ถึง 19 ปี)
หนึ่งในปมปริศนาที่นำมาซึ่งการถกเถียงของผู้ชม ก็คือการออกแบบตัวละคร The Architect หรือสถาปนิกผู้สร้าง Matrix ที่ปรากฎตัวแถว ๆ ตอนเกือบจบ เขาปรากฎตัวอยู่ในห้องท่ามกลางจอทีวีมากมายเพื่อจะอธิบายจุดประสงค์การมีอยู่ของผู้ปลดปล่อยอย่าง Neo ที่เขาอ้างว่า เขาคือผู้สร้างทุกสิ่งใน Matrix ขึ้นมาร่วมทั้งผู้ปลดปล่อยอย่าง Neo ด้วย
เชื่อว่า ร้อยทั้งร้อยของคนที่ดูครั้งแรก “งง” กับสิ่งที่ The Architect พูดจนต้องมาตามหาอ่านคำอธิบาย ต่อจิ๊กซอว์เอาจากข้อมูลต่าง ๆ นอกเหนือจากหนังเช่น จากหนังแอนิเมชัน แต่เท่าที่คนดูพอจะเข้าใจได้จากในหนังก็คือเหนือ Neo และ Agent Smith ยังมีผู้มีอำนาจสูงสุดชนิด “เหนือฟ้ายังมีฟ้า”
สถาปนิกผู้สร้างคือใคร?
ในแอนิเมชันภาคต้นเรื่องราวทั้งหมดอย่าง The Animatrix (2003) ได้มีการอธิบายจุดเริ่มต้นของหนังเอาไว้ว่า เมื่อเครื่องจักรพัฒนาตัวเองขึ้นมากหลังจากถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ สงครามระหว่างมนุษย์และจักรกลก็อุบัติและท้ายที่สุดฝ่ายหลังเป็นฝ่ายชนะ จากการสู้รบในสงครามทำให้โลกถูกปกคลุมไปด้วยเถ้าถ่านและไม่สามารถรับพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้อีกต่อไปมนุษย์ที่รอดจากเครื่องจักรก็ต้องหนีลงไปอยู่ใต้ดิน เครื่องจักรออกไล่ล่าจับมนุษย์ไปเลี้ยงในแคปซูลนับล้าน เพื่อดูดพลังงานไปใช้ และหลอกให้มนุษย์อยู่ในโลกเสมือน อย่าง Matrix ที่ Neo หลุดออกมาได้ในภาคแรก
เพื่อให้การทำงานของ Matrix หรือกรงขังมนุษย์ ไว้ในโลกเสมือน มีประสิทธิภาพ ฝั่งเครื่องจักรจึงได้ออกแบบ The Architect โปรแกรมที่จะคอยดูแลภาพรวมทุกความเป็นไปของโลกเสมือนให้เรียบร้อย หนังใช้สถาปนิกเป็นตัวแทนของผู้ควบคุมโปรแกรมและฐานข้อมูลทั้งหมด ขณะเดียวกันเครื่องจักรก็สร้าง The Oracle หรือเทพพยากรณ์ โปรแกรมที่เห็นอกเห็นใจมนุษย์ ถูกสร้างขึ้นมาเป็น “ขั้วตรงข้าม” เพื่อถ่วงดุลกับฝั่ง The Architect ซึ่งก็สร้างความคลางแคลงให้กับ Neo ว่าจะไว้ใจเทพพยาการณ์ (ที่ Morpheus เชื่อถือคำพยากรณ์ถึงการค้นพบ Neo ผู้ปลดปล่อยที่จะสามารถยุติสงครามครั้งนี้)
สถาปนิกพูดอะไรกับ Neo?
เมื่อ Neo ได้เผชิญหน้ากับสถาปนิกผู้สร้าง เช่นเดียวกับตอน Doctor Strange พบ Dormammu “ข้ามาเพื่อต่อรอง” เขาได้ค้นพบเหตุผลของการมีอยู่ของผู้ปลดปล่อย ที่ฟังแล้วอาจจะเจ็บแปลบ เพราะสถาปนิกบอกว่า Neo เป็นส่วนหนึ่งของ “สมการที่ไม่สมดุลหรือความไม่เที่ยงตรงทางคณิตศาสตร์” และผู้ปลดปล่อยไม่ได้หมายถึงผู้ปลดแอกความเป็นไทของมนุษย์จากเครื่องจักร แต่เป็นการปลดปล่อย Matrix จากเวอร์ชันเก่าอัปเกรดเป็นเวอร์ชันใหม่ต่างหาก Neo เป็นเพียงหมากตาหนึ่งในจำนวน 6 ตา ของผู้ปลดปล่อย 6 คนที่เดินเข้ามา “ตัดสินใจเลือก” ในห้องนี้
การรีบูตทั้งระบบเกิดขึ้นมาแล้ว 5 ครั้งก่อนหน้า ในยุคที่หนึ่งของ Matrix สถาปนิกสร้างขึ้นโลกยูโทเปียเหมือนสรวงสวรรค์ให้กับมนุษย์ แต่สุดท้ายก็มีผู้ปลดปล่อย “ตื่นรู้” ขึ้นมาได้เอง (ว่าอยู่ในโลกเสมือน) เพราะทุกอย่างมันดูดีจนเกินไป นั่นทำให้งานของสถาปนิกล้มเหลว (คล้าย ๆ กับเรื่องอดัมกับเอวาในคัมภีร์ไบเบิล) สถาปนิกจึงหยิบยื่นโอกาสในการรีบูตโลกใหม่ โดยการให้เลือกหญิง 16 คน ชาย 7 คนให้หนีรอดจากเครื่องจักร (ก่อนจะล้างบางมนุษย์ทั้งหมด) ในเวอร์ชันต่อมาสถาปนิกก็ใส่ทั้งสงคราม การบาดเจ็บล้มตาย แต่สุดท้ายก็มีผู้ปลดปล่อยที่ “ตื่นรู้” ขึ้นมาอีกเช่นกัน
ในเวอร์ชันล่าสุดของ Neo นี้ เครื่องจักรจึงได้สร้างโปรแกรม The Oracle ขึ้นมาเพื่อสร้างความหวังให้กับมนุษย์ เป็นเหมือนแต้มต่อให้กับฝั่งผู้ปลดปล่อยในการให้คำใบ้ “เศษขนมปัง” มาเรื่อย ๆ ตามทาง นั่นทำให้ Matrix เวอร์ชัน 6 เสถียรที่สุด เพราะเครื่องจักรทำให้มนุษย์เข้าใจไปเองว่า ตัวเองมีทางเลือกที่จะเลือกได้เอง ทั้งที่จริง ๆ ไม่มี และเครื่องจักรกำหนดไว้แล้ว การปรากฎขึ้นของ Neo ผู้ปลดปล่อยจึงเป็นเครื่องบ่งบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องอัพเกรดเวอร์ชันเพื่อฆ่าบักกันในรอบนี้
ผู้ปลดปล่อยคนแล้วคนเล่าแล้วคนเล่าต่างได้รับทางเลือกจากสถาปนิก และเลือกจะรีบูต Matrix ใหม่เพื่อจะไม่กลับไปสู้กับเครื่องจักร (ซึ่งก็อาจจะเป็นไปตามคำนายของเทพพยากรณ์ว่า สงครามจะสิ้นสุด เมื่อผู้ปลดปล่อยได้เจอสถาปนิก…และเลือกจะรีบูต) มนุษย์จะตายจำนวนมาก แต่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ก็ยังคงอยู่ โดยถูกเครื่องจักรเลือกไปสร้างโลกใหม่ต่อไป แต่ที่ต่างสำหรับ Neo ก็คือ เขาปฏิเสธการรีบูต และเลือกจะกลับไปช่วยชีวิต Trinity ใน Matrix ทำให้มนุษย์ที่เหลืออยู่ในไซออนอาจถึงจุดจบกันหมดในภาค 3
มาถึงตรงนี้ก็จะเห็นว่า หนังพยายามใส่แนวคิดที่ขัดแข้งกันของทางเลือกของมนุษย์ ว่าอยู่ภายใต้การกำหนดบงการของอะไรบางอย่างที่มีอำนาจเหนือเรามาก หรือแท้จริงแล้ว มนุษย์ก็มีเจตจำนงอิสระที่จะเลือกและรับผลในสิ่งที่เลือกอย่างไม่มีใครกำหนดไว้ สองผู้กำกับพี่น้อง Wachowski ก็เหมือนจะโปรมาทางฝั่งแนวความคิดหลัง โดยให้ Neo เลือกใช้ความรักเป็นพลังในการจบสงครามอันยาวนานของมวลมนุษยชาติ ตามท้องเรื่องนี่เอง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส