หลังมีการประกาศปิดกิจการอย่างเป็นทางการของโรงหนังสกาลา โดยบริษัท สยามมหรสพ จำกัด หลังจากปิดพักการฉายไปนานในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมา และแฟน ๆ ที่ใช้บริการของสกาลาต่างก็เฝ้ารอว่า เมื่อไรที่โรงภาพยนตร์ที่ตั้งอยู่ที่สยามสแควร์ซอย 2 จุดศูนย์กลางของกรุงเทพมาหลายยุคหลายสมัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 อยู่คู่สยามสแควร์มากว่า 50 ปีจะกลับมาเปิดอีกครั้ง แต่กลายเป็นว่า มีการแพร่ข่าวออกมาจากหลายแหล่งว่าโรงหนังจะปิดกิจการลง
โรงภาพยนตร์สกาลาร่วมกับหอภาพยนตร์ จึงได้จัดโปรแกรมฉายภาพยนตร์ส่งท้ายขึ้น ในวันเสาร์ที่ 4 และอาทิตย์ 5 กรกฎาคม 2563 ชื่อว่าโปรแกรม “LA SCALA ลา สกาลา” โดยจัดฉายหนัง 4 เรื่องเหมือนกันทั้ง 2 วัน และมีการเปิดให้จองบัตรวันแรกในวันนี้ (27 มิถุนายน 2563) ซึ่งมีแฟน ๆ ที่รักสกาลาไปต่อแถวเข้าคิวตั้งแต่ 7 โมงเช้า ก่อนที่เคาน์เตอร์ขายตัวจะเริ่มขายตอน 9 โมง และภายในวันเดียวรอบของภาพยนตร์ Cinema Paradiso ของทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ก็ขายหมดเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งแฟน ๆ ที่ต่อแถวเข้าคิวสำหรับจองตั๋วเรื่องนี้ ต้องใช้เวลาร่วม 3 ชั่วโมงต่อคน
หนัง 4 เรื่องสุดท้ายประกอบไปด้วย ภาพยนตร์ระดับคลาสสิกของโลกอย่าง Blow-Up (1966) ผลงานคลาสสิกของผู้กำกับชาวอิตาเลียน Michelangelo Antonioni ที่ได้เข้าชิงออสการ์จากกำกับเรื่องนี้ และเข้าชิงเขียนบทยอดเยี่ยมด้วยอีกสาขา รวมถึงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม Palme d’Or ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส นำแสดงโดย Vanessa Redgrave เรื่องราวของ Thomas ช่างภาพแฟชั่นที่เชื่อว่าตัวเองได้ถ่ายภาพเหตุการณ์ฆาตกรรมโดยไม่ได้ตั้งใจ หนังมีจุดเด่นที่ฉากหลังอันมีสีสันของวัฒนธรรมของลอนดอนยุค 60s
ส่วนเรื่องที่เป็นภาพยนตร์สารคดี The Scala ผลงานในโครงการเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เอเชีย โดยเทศกาลภาพยนตร์ปูซาน เมื่อปี พ.ศ. 2559 ของอาทิตย์ อัสสรัตน์ ศิลปินศิลปาธร สาขาภาพยนตร์ ประจำปี พ.ศ. 2553 โดยเป็นทุนสร้างของสถานีโทรทัศน์ KBS ของประเทศเกาหลีใต้ เรื่องราวบอกเล่าถึงอดีตอันหอมหวานในวันเก่า ๆ ควบคู่ไปกับ นิรันดร์ราตรี (Phantom of Illumination) สารคดีเชิงทดลองเมื่อปี พ.ศ. 2560 ของวรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย ที่เดินสายฉายตามเทศกาลต่าง ๆ มาแล้วทั่วเอเชีย ถ่ายทอดชีวิตของพนักงานฉายหนังของโรงหนังแห่งหนึ่งที่เป็นพนักงานคนสุดท้ายของโรงหนังตลอด 25 ปี เมื่อโรงหนังต้องปิดตัวและถูกทุบทำลาย
และโปรแกรมสำคัญที่แทบทุกคนคงต้องเห็นด้วยว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงกับการรูดม่านปิดฉากของสกาลา นั่นคือ ภาพยนตร์อิตาเลียน Cinema Paradiso (1988) เจ้าของออสการ์สาขาหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ผลงานการกำกับของ Giuseppe Tornatore และเขาก็ยังคว้ารางวัลบาฟตาของอังกฤษ ในสาขาหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม บอกเล่าเรื่องราวของ Toto ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จได้เดินทางกลับมาบ้านเกิดต่างจังหวัด เพื่อมาร่วมงานศพของ Alfredo คนฉายหนังประจำโรงท้องถิ่นที่เป็นดั่งครูสอนวิชาชีวิติให้กับเขาตอนเด็ก
ในวันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคมนี้ แม้จะไม่มีโปรแกรมฉายหนัง แต่จากการประกาศแฟนเพจของโรงหนังสกาลาก็บอกไว้ว่า จะมีการจัดกิจกรรมเปิดไฟทุกดวงของโรงหนังเพื่อให้ผู้ที่สนใจได้มาเก็บภาพความทรงจำไว้เป็นครั้งสุดท้าย ให้สมฐานะกับการเป็น “ราชาแห่งโรงหนังแห่งสยาม” (ในที่นี้คือเป็นความหมายที่ได้ทั้งสยามประเทศและสยามสแควร์)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส