หากย้อนหลังไป 25 ปี ภาพยนตร์ดังหลายเรื่องก็มีฉากที่น่าตื่นตะลึง วิจิตรตระการตา แปลกใหม่ พาคนดูออกไปสู่โลกทะเลแห่งจิตนาการไม่มีที่สิ้นสุด หลายฉากในหลายเรื่องทรงพลังขนาดขับเคลื่อนโลกและความทรงจำของผู้คน ถูกบอกต่อและมีภาพจำร่วมกันว่าฉากนั้น ๆ เคยมีประสบการณ์ร่วมยุคสมัยกัน สร้างรอยยิ้มและคราบน้ำตาให้กับคนในวัยเดียวกันมาอย่างไร What the Fact เคยนำเสนอตอนที่ 1 ของบทความนี้ไปแล้ว วันนี้ขจะมาขอสานต่อตอนที่ 2 โดยเป็นข้อมูลจากการจัดอันดับโดยนิตยสารด้านภาพยนตร์ชื่อดังของสหรัฐฯ อีกเจ้าหนึ่งอย่าง Vanity Fair
LOST IN TRANSLATION (2003) – หมื่นคำลาก็จะฟัง
ชนะรางวัลในสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ปี 2004 สำหรับหัวแถวของหนังแห่งความเหงาที่สุดที่โลกใบนี้จะมีได้ (หนังยังได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Bill Murray) และผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกด้วย) ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้คืออนุทินของ Sofia ที่ฝากบทบันทึกส่วนตัวถึงอดีตสามีอย่างผู้กำกับ Spike Jonze ผู้กำกับเรื่อง Her (2014) (ที่ในเรื่องนั้นก็มีกลิ่นของ Lost in Translation อยู่เหมือนกัน) ไว้บนจอภาพยนตร์ Lost in Translation มีความเป็นส่วนตัวอยู่สูงและแทบจะต้องใช้อารมณ์และความรู้สึกดูมากกว่าใช้ความเข้าใจ ซึ่งหนังกลายเป็นที่จดจำได้ก็เพราะการแสดงของ Bill Murray และ Scarlett Johansson เป็นสำคัญ
หนังเล่าเรื่องของ Bob Harris นักแสดงขาลงวัยกลางคน ที่กำลังประสบปัญหาเบื่อหน่ายภรรยา แล้วยังต้องมารับงานถ่ายโฆษณาที่เขารู้สึกอึดอัดที่ประเทศญี่ปุ่น สถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคยอีก ส่วน Charlotte นักศึกษาที่พึ่งจบปริญญาด้านปรัชญา ติดตามสามีที่เป็นช่างภาพมาทำงานที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน ด้วยความที่สามีต้องทำงานทั้งวันจึงไม่มีเวลาให้กับเธอ ตลอดเวลาที่เธออยู่คนเดียวจึงรู้สึกเหงาในดินแดนที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาตัวเองกับคนอื่นได้ ทั้งคู่ได้บังเอิญมาเจอกันและตกลงกันออกไปสร้างพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ฉากที่เป็นที่น่าจดจำและถูกพูดถึงมาจนถึงทุกวันนี้คือ ฉากจบของเรื่องที่ตัวละคร Bob กระซิบกับ Charlotte ซึ่งฉากนี้เป็นการด้นสดของนักแสดง Bill Murray ขนาดผู้กำกับ Sofia Coppola ก็ยังชอบตอบเสมอว่า เธอไม่รู้ว่า Bob กระซิบว่าอะไร
ภายหลังก็การทำคลิปของแฟนหนังออกมาช่วยกันทายปากของ Bob พูดว่าอะไรกันแน่ มีทั้ง “I have to be leaving, but I won’t let that come between us. Okay?” หรือ “ผมต้องไป แต่จะไม่ให้อะไรมาแทรกกลางระหว่างเรา ตกลงไหม?” หรือ “I love you. Is the best thing I can. At some point, he has to tell it to her.” หรือ “ผมรักคุณ นี่เป็นสิ่งดีที่สุดที่ผมทำได้ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาก็จะบอกแบบนี้กับเธอ” ซึ่งทุกวันนี้ ฉากนี้ก็ยังเป็นเสน่ห์และเป็นช่องว่างที่ให้คอหนังได้เติมคำตามจินตนาการได้อยู่เสมอ
“ฉันค่อนข้างมั่นใจว่า วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของการถ่ายทำ พวกเราเหนื่อยกันมากและคิดว่าฉากนั้นก็จะเป็นการกล่าวลาสำหรับทีมสร้างและนักแสดงต่อการถ่ายทำด้วย ในฉากนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้มีอะไรยิ่งใหญ่หรือเป็นคำถามอย่างที่เห็น เขากระซิบกับเธอและฉันก็ไม่ได้ไปตามถามด้วยว่าพวกเขากระซิบว่าอะไร ปกติแล้วถ้าเป็นการถ่ายหนังอิตาเลียน นักแสดงก็ชอบแสดงอะไรทำนองนี้ด้วยการกระซิบเป็นตัวเลขหรือคำพูดที่ไม่เกี่ยวกับหนัง ผู้คนชอบถามฉันว่าเขากระซิบว่าอะไรซึ่งฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันแค่คิดว่าพวกเขาได้เชื่อมโยงอะไรบางอย่างระหว่างกันแล้วในห้วงเวลานั้น” Sofia Coppola ให้สัมภาษณ์ไว้
- นักแสดง: Bill Murray, Scarlett Johansson, Giovanni Ribisi, Akiko Takeshita
- ผู้กำกับ: Sofia Coppola (Marie Antoinette, The Bling Ring, On the Rocks)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 4/118 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB rating: 95% / 7.7/10
SOMETHING’S GOTTA GIVE (2003) – หัวเราะร่าน้ำตาเล็ด
หนังโรแมนติกที่ประสบความสำเร็จมากตอนเข้าฉาย เพราะนักแสดงนำระดับยอดฝีมือที่นาน ๆ ทีจะรับเล่นหนังสักเรื่องและนาน ๆ ทีเช่นกันที่จะมารวมตัวอยู่ในหนังเรื่องเดียวกัน Something’s Gotta Give นำแสดงโดยรุ่นใหญ่ Jack Nicholson นักแสดงเจ้าของ 3 รางวัลออสการ์ Diane Keaton นักแสดงเจ้าของ 1 รางวัลออสการ์ และ Frances McDormand นักแสดงเจ้าของ 2 รางวัลออสการ์ แล้วยังมีพระเอกหนุ่มสุดฮอตในเวลานั้นคือ Keanu Reeves รับบทเป็นกิ๊กของป้า Diane Keaton ด้วย หนังเป็นเรื่องราวขงอ Harry Sanborn ชายสูงอายุวัย 63 ปี ยึดหลักเกณฑ์ไม่เดตกับสาวอายุเกิน 30 แต่เขาก็ไม่เคยตกล่องปล่องชิ้นกับสาวคนไหน ใช้ชีวิตอย่างเพลย์บอยไปเรื่อย ๆ จนไปเป็นแฟนกับสาววัยยี่สิบเศษ ๆ อย่าง Marin ที่น่ารักมาก
แล้วสาวเจ้าพาชายวัยเลยเกษียณไปเที่ยวบ้านชายหาดของแม่ ที่ได้ Erica Barry มารับบท เธอหย่าแล้วแต่ประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนบทละครเวทีบรอดเวย์ ในฉากหน้าเธอเป็นคนที่มีบุคลิกเข้มแข็ง เป็นตัวของตัวเอง เธออายุแค่ 50 อ่อนกว่า Harry แต่เธอมีลูกแล้ว เมื่อพบกันใหม่ ๆ Harry กับ Erica เข้ากันไม่ค่อยดีนัก เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่อยากได้ลูกเขยที่แก่กว่าตัวเอง แต่เรื่องเริ่มมาอลวนตรงที่ Harry เกิดหัวใจวายเฉียบพลัน Erica จึงต้องดูแลแฟนรุ่นอาวุโสของลูกสาวแทน โดยมีคุณหมอ Julian Mercer ที่รูปหล่อมากเป็นคนรักษา ทำให้ Erica หวั่นไหวและตกหลุมรักคุณหมอ เรื่องชุลมุนของรักต่างวัยของคนสองคู่จะเกิดขึ้น
หนังเรื่องนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า หนังโรแมนติกคอมเมดี้ในช่วงยุค 2000s นั้นยังไม่ถึงทางตัน เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นหนังที่โรแมนติกที่สร้างมาสำหรับผู้สูงวัยแทน แถมยังเขียนเรื่องออกมาได้โดนใจคนสูงอายุเสียนี่กระไร (เขียนบทโดย Diane Keaton นักแสดงนำของเรื่องนั่นเอง) จึงไม่แปลกที่ตัวละครของเรื่องจะสะท้อนนิสัยและความรู้สึกของคนในวัยนี้ออกมาได้อย่างโดนใจ รวมถึงงานกำกับของผู้กำกับ Nancy Meyers ที่แม้ครึ่งเรื่องแรกจะเป็นหนังความรักของคนแก่ แต่ครึ่งหลังหนังก็มาเล่าเรื่องราวสากลของความรัก ที่คนทุกเพศทุกวัยเข้าถึงและมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังได้จนจบ ฉากเด็ดของเรื่องก็คือ ตอนที่ Erica นักเขียนนิยายมือทองของเธอก็ต้องกัดฟันเขียนฉากรักในนิยายเรื่องใหม่ชนิดทีร้องไห้ไปหัวเราะไปอย่างกับเธอเป็นบ้ายังไงยังงั้น
“ฉากนี้มาจากชีวิตจริงของฉันเองค่ะในวันที่ความสัมพันธ์ของฉันจบลง สภาพฉันก็เป็นเหมือนตัวละครในเรื่องนี้แหละ ฉันเลยสร้างมันออกมาแบบไหนหนัง มันไม่ได้สุดกู่ขนาดนั้นแต่ฉันเองที่อยากทำให้ตัวเองดราม่าขนาดนั้น ฉากนี้มันสนุกและบันเทิงเพราะใคร ๆ ก็ต้องคิดว่า ฉากอกหักมันคือการที่คุณต้องนอนอยู่บนเตียงและเต็มไปด้วยกองทิชชู่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันตอนนั้น มันก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนฉันด้วยเหมือนกัน ฉันไม่คิดว่าใครจะแสดงเป็นตัวละครที่สับสนทางอารมณ์ได้สนุกสนานขนาดนี้เท่า Diane Keaton อีกแล้ว คิดดูสิว่า เธอทำให้คนดูหัวเราะน้ำตาเล็ดไปกับความเจ็บปวดของเธอได้น่ะ!” ผู้กำกับ Nancy Meyers กล่าว
- นักแสดง: Jack Nicholson, Diane Keaton, Keanu Reeves, Frances McDormand, Amanda Peet
- ผู้กำกับ: Nancy Meyers (What Women Want, It’s Complicated, The Intern)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 80/265 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB rating: 72% / 6.7/10
STAR WARS EPISODE III: REVENGE OF THE SITH (2005) – เจ้าคือผู้ถูกเลือก
อย่างที่แฟน Star Wars รู้และคอหนังส่วนใหญ่ (อนุมานเอาว่าคอหนังยุค 70s-80s ส่วนใหญ่เป็นแฟนหนัง Star Wars) รู้ว่า ฉากสำคัญที่สุดของเรื่องราวในไตรภาคแรกสุดที่มาก่อนไตรภาคสองซึ่งสร้างในยุค 70s-80s ก็คือ การเปลี่ยนแปลงของ Anakin Skywalker มาเป็นวายร้ายตลอดกาลของไตรภาคหลังอย่าง Darth Vader ซึ่งหนังภาคที่ 3 Revenge of the Sith คือการตั้งตารอคอยของแฟน ๆ ซึ่งหนังก็สนองให้อย่างเต็มที่ เพราะคนดูได้เห็น Anakin ที่เริ่มไปเข้ากับด้านมืด กวาดล้างเหล่าเจไดที่มหาวิหารเสียเหี้ยนไม่เว้นแม้แต่เจไดเด็ก
รวมถึงการที่เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่จนพลั้งทำให้ Padmé คนรักต้องตาย แต่โชคดีที่ Obi-Wan เอาลูกแฝดท้องทั้ง Luke และ Leia ออกมาได้ก่อน นำไปสู่ฉากดวลดาบของอาจารย์และศิษย์ที่ดุเดือดจน Obi-Wan ต้องตะโกนออกมาว่า “เจ้าคือผู้ถูกเลือก (ทำไมถึงเลือกจะเข้ากับด้านมืดแบบนี้?)” และด้วยวิชาที่ยังไม่กล้าแกร่งก็ทำให้ Anakin พลั้งถูก Obi-Wan เล่นงานปางตายแต่ไม่ตาย โดยอาจารย์ทิ้งศิษย์ไว้ให้ลาวา (ต่อสู้กันแถวปล่องภูเขาไฟ) ขึ้นมาท่วมทับร่างอย่างที่ตัดใจฆ่าศิษย์รักไม่ลง ซึ่งถ้ารู้ว่าต่อมาเขาจะฆ่าคนไปอีกครึ่งจักรวาลก็อาจจะตัดใจฆ่าทิ้งไปให้สิ้นเรื่องตั้งแต่ตอนนั้น
Ewan McGregor จะกลับมารับบท Obi-Wan อีกครั้งในมินิซีรีส์ 4 ตอนจบที่จะออกสตรีมมิงทาง Disney+ ในปีหน้า และก็มีข่าวลือว่า Hayden Christensen น่าจะกลับมารับบทเดิมด้วย เพราะเนื้อหาจะเล่าถึงตอนต่อจาก Episode 3 ไม่นานปีนัก ในตอนที่ Star Wars Episode 2-3 เข้าฉาย Christensen ถูกโจมตีว่า ไม่เหมาะสมกับบทนี้ เพราะแสดงสีหน้าและท่าทางได้แค่อารมณ์เดียว และยังถูกจัดให้เป็นบทดังที่คัดเลือกนักแสดงมาเล่นได้ผิดพลาดที่สุดบทหนึ่งของโลกภาพยนตร์ แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเวลาผ่านไปเป็นสิบปี แฟน ๆ Star Wars ก็ดูจะยอมรับเขาได้มากขึ้นและการเลือกให้เขากลับมารับบทเดิมในซีรีส์ตามข่าวลือที่มีมาก่อนหน้านี้ ก็คงทำให้คอหนังรู้สึกถึงความต่อเนื่องระหว่างหนังและซีรีส์ดีกว่าให้นักแสดงคนอื่นมารับบทแทน
ชวนอ่าน “บทบาทดังยอดแย่ “คิดผิดจนวันตาย” ของนักแสดงฮอลลีวูด ที่ไม่รู้อะไรเข้าสิงถึงรับเล่น?“
“ภาค 3 เราถ่ายกันบนกรีนสกรีนตลอดทั้งเรื่อง ทั้งบนฉากที่เลื่อนได้ พื้นที่ยืนอยู่ หรือฉากหลังทั้งหมดเป็นกรีนสกรีน แล้วเราก็ต้องถือไลต์เซเบอร์ต่อสู้กัน แน่นอนว่าก็เป็นงานยากที่เราต้องแสดงอารมณ์บนเซ็ตฉากที่ไม่มีอะไรจริงเลย แต่ก็ยังง่ายกว่าภาค 2 หน่อยตรงที่ภาคนั้นผมต้องพูดกับอากาศในหลาย ๆ ฉาก สำหรับฉากนี้มันสำคัญมากต่อ Obi-Wan เพราะเขารู้แน่แก่ใจว่าเขาเสีย Anakin ให้กับด้านมืดไปแล้ว ซึ่งมันจะส่งผลอย่างสำคัญต่อไตรภาคต่อไป George Lucas อยากจะทำอะไรที่ต่างออกไปจากไตรภาคแรกที่เขาสร้าง แต่สำหรับแฟน ๆ เดนตายหลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ และหัวเราะใส่ไตรภาคที่ผมแสดงอยู่นี่ แต่รู้อะไรไหม? หลายปีต่อมาไตรภาคของผมก็มีความหมายมากต่อเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับหนัง เวลาผมได้พูดคุยหรือสัมผัสกับเด็กรุ่นปี 2000s ที่ได้ดูหนัง ผมจะมีความสุขมากเลย” Ewan McGregor ผู้รับบท Obi-Wan ให้สัมภาษณ์เอาไว้
- นักแสดง: Hayden Christensen, Ewan McGregor, Natalie Portman, Christopher Lee, Samuel L. Jackson, Ian McDiarmid
- ผู้กำกับ: George Lucas (Star Wars Episode 1-3, American Graffiti, THX 1138 )
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 113/868 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB rating: 80% / 7.5/10
THE 40-YEAR-OLD VIRGIN (2005) – แว๊กซ์ขนหน้าอก
Judd Apatow เป็นผู้กำกับหนังตลกที่มีหนังฮิต ๆ จำนวนมากช่วงทศวรรษ 2000s ทั้ง Knocked Up (2007), Funny People (2009), This is 40 (2012) และ Trainwreck (2015) ก่อนที่ช่วงหลัง ๆ จากเฟดไปทำทำทีวีซีรีส์มากขึ้น หนังแจ้งเกิดของ Apatow รวมถึงนักแสดงตลกอย่าง Steve Carrell ในฐานะนำเดี่ยวของเรื่องเองคนเดียว หนังตลกสัปดนที่เน้นไปที่เรื่องราวของ Andy ช่างเทคนิคร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าวัยกลางคนที่นิสัยดี น่ารัก แต่ยังเก็บซิงไว้ชิงโชค เขาต้องเผชิญกับความช่วยเหลือแบบผิด ๆ แต่ตั้งใจดีของบรรดาเพื่อนร่วมงานทั้ง คือ David, Jay และ Cal เพื่อจะให้เขาเปิดบริสุทธ์ให้กับหนุ่มพรหมจรรย์เสียที แต่ทุกการช่วยเหลือก็เดาไม่ยากว่าต่างนำไปสู่หายนะกับสารพัดวิธีแบบฮาเฮ แต่ระหว่างทางนั้น Andy ก็ได้พบกับนิยามความรักที่ไม่ได้มีแต่เรื่องเซ็กซ์เพียงอย่างเดียว
Judd Apatow ได้สร้างหนังตลกหลายเรื่องไว้เป็นมาตรฐานของหนังตลกในพ๊อพคัลเจอร์ที่เหนือความคาดหมายในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อย่างเช่นฉากสุดฮาในเรื่องนี้ที่เป็นฉากแว๊กซ์ขนหน้าอกของ Andy “Steve บอกผมว่า แวกซ์ขนผมจริง ๆ ไปเลย เพราะผมขนเยอะอยู่แล้ว และผมก็คงจะเจ็บจริง ๆ ซึ่งจะเป็นอะไรที่ฮามาก พวกเราก็เลยตั้งใจหาผู้เชี่ยวชาญด้านการแวกซ์ขนหน้าออกมาจริง ๆ แต่ปรากฏว่าคนที่เราได้มา ดันโกหกข้อมูลในเรซูเม่ เธอไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ Steve เลยเกือบจะถูกถลกหัวนมหายไปแล้ว เลือดเขาออกเยอะมากและเราต้องใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกเพื่อลบเลือดออกทีหลัง Paul Rudd คือคนที่ไวมากที่ด้นมุกสดต่อไปได้ ทั้งที่ Steve คงจะเจ็บมาก แต่มันก็ดูตลกมาก เขาสุดยอดที่ยังไม่หลุดจากการแสดงเป็น Andy” ผู้กำกับ Judd Apatow เล่าย้อนความหลัง
- นักแสดง: Steve Carell, Catherine Keener, Paul Rudd, Seth Rogen, Elizabeth Banks, Leslie Mann
- ผู้กำกับ: Judd Apatow (Knocked Up, Funny People, This is 40, Trainwreck)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 26/177 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB rating: 85% / 7.1/10
BROKEBACK MOUNTAIN (2005) – อยากรู้วิธีหยุดรักเธอ
หนังเล่าเรื่องราวของคาวบอยหนุ่มสองคนที่ต้องไปต้อนสัตว์ด้วยกันบนหุบเขาเร้นรักจนเกิดมีความสัมพันธ์กันขึ้นและเป็นอย่างนั้นยาวนานมาตลอด 20 ปี ก่อนที่ฝ่ายหนึ่งจะจากไปโดยเหตุโศกนาฏกรรม หนังสะท้อนสภาพสังคมของชายเป็นใหญ่ และการไม่ยอมรับในกลุ่มรักร่วมเพศ ที่ทำให้ต้องมีผู้รับเคราะห์บาดเจ็บในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
หนังเต็มไปด้วยฉากสะเทือนใจมากมาย ทั้งฉากที่พวกเขาเริ่มสูงวัยแต่ก็ยังออกจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ไม่ได้ หรือฉากจบอันแสนสะเทือนใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายอันลึกซึ้งของเสื้อเชิ้ตสองตัวที่ซ้อนทับกันในตู้เสื้อผ้าก็ยังตราตรึงใจผู้ชมมากมาย นี่คือหนังที่แสดงภาพความสัมพันธ์ของชายรักชายที่แจ่มแจ้งและชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมาของฮอลลีวูด ได้ผู้กำกับมือรางวัลมาพาหนังเข้าชิงออสการ์และกลายเป็นตัวเต็ง แต่สุดท้ายหนังก็เหมือนจะถูกปล้นชัยชนะไปให้กับ Crash (2004) จนมีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า กรรมการออสการ์ยังทำใจรับ “หนังคนผิวดำ” ได้มากกว่า “หนังเกย์” ในเวลานั้น
ชวนอ่าน “หนัง LGBTQ+ ตลอด 20 ปี…ที่ควรค่าแก่การหามาดูสักครั้งในชีวิต“
“ฉากนี้เราถ่ายกันที่อ่างเก็บน้ำที่เห็นวิวที่สวยที่สุดของภูเขาในแคนาดา เพราะมีทั้งหิมะและน้ำใสในเวลานั้น เรามีปัญหากันนิดหน่อยเรื่องของกล้อง และเราก็ต้องแก้ปัญหานั้นและทำให้นักแสดงไม่ล้าไปเสียก่อน ผมบอกกับพวกเขาว่ามันจะยากลำบากหน่อยในการถ่ายวันนี้ Heath ยังคงตั้งใจและอยู่ในสมาธิกับบทบาทนั้น ขณะนี้ที่ Jake แทบจะเป็นตรงกันข้ามเพราะเขายังเด็กด้วย เขาสนุกเต็มที่เสมอเวลาอยู่ในกองถ่ายซึ่งมันทำให้ Heath ประสาทเสียบ้างบางครั้ง แต่ใครจะเชื่อ ฉากวันนั้นพวกเขาเล่นกันแค่เทคเดียวผ่าน มันสวยงามมากแต่นักแสดงไม่เชื่อผมว่ามันจะผ่านในเทคเดียว ผมบอกพวกเขาว่า ทั้งหมดของหนังที่เราต้องการใน Brokeback ก็คือแสดงในฉากนี้ เมื่อพวกเขาพูดประโยคว่า “I wish I knew how to quit you”” ผู้กำกับ Ang Lee กล่าว
- นักแสดง: Heath Ledger, Jake Gyllenhaal, Michelle Williams, Anne Hathaway
- ผู้กำกับ: Ang Lee (Life of Pi, Lust, Caution, Sense and Sensibility, Crouching Tiger, Hidden Dragon)
- ทุนสร้าง / รายรับรวมทั่วโลก: 14 / 178 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score / iMDB Rating: 87% / 7.7/10
CHILDREN OF MEN (2006) – ฉากหนีตายแบบ LONG-TAKE
หนังบรรยากาศโลกล่มสลาย ผลงานชิ้นโบว์แดงอีกเรื่องของผู้กำกับ Alfonso Cuarón ที่หลังจากเรื่องนี้เป็นต้นมาก็มีแต่หนังชั้นดีระดับล่ารางวัลทั้งสิ้น แตกต่างกันไปแต่เพียงว่าจะเป็นหนังดราม่าหรือว่าหนังแอ็กชันไซไฟ Children of Men เป็นหนังไซไฟที่ไม่ได้อยู่ในกระแสเมนสตรีมมากนัก แม้เนื้อหาจะขายแนวนั้นได้เลยก็ตาม อาจเพราะผู้กำกับมาจากสายอินดี้ และเอฟเฟกต์ไม่เน้นเวอร์แต่สมจริง หนังมีฉากที่ใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบ Long-Take 6 นาทีอันลือลั่นและกลายเป็นสไตล์ของ Cuarón ตลอดมา ซึ่งกับหนังเรื่องนี้ก็ทำให้ถูกพูดถึงไปกันใหญ่ และทำให้การถ่ายแบบ Long-Take กลับมาได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หนังได้เข้าชิงออสการ์สาขาถ่ายภาพยอดเยี่ยม (มือหนึ่ง Emmanuel Lubezki 3 รางวัลออสการ์ 3 ปีซ้อน) ตัดต่อยอดเยี่ยม และบทดัดแปลงยอดเยี่ยม
ในฉากที่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในฉากที่ทรงอิทธิพลตลอด 25 ปีของวงการฮอลลีวูดที่ผ่านมากฉากนี้ เป็นฉากที่ตัวละครหลักของเรื่องที่รับบทโดย Clive Owen และ Julianne Moore รวมถึงผู้ร่วมเดินทางในโลกหลังล่มสลายที่ยังมีนักแสดงที่ดังแล้วในทุกวันนี้อย่าง Chiwetel Ejiofor นั่งอยู่ในรถด้วยอีกคน จากตอนแรกที่เหตุการณ์ก็ยังดูสงบดีอยู่ แต่แล้วพวกเขาก็ถูกดักปล้นระหว่างทางและ Moore ก็ถูกยิงตายแบบไม่ทันได้ตั้งตัวจนช็อกความรู้สึกคนดู (เหตุเพราะไม่คิดว่าตัวละครนำจะตายเอากลางเรื่องด้วย) ในฉากนี้นักแสดงทั้งหมดต้องเล่นแบบรอบเดียวจบเทคไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องใช้นักแสดงชั้นเซียนเท่านั้นถึงจะเล่นบทคนตื่นตระหนกขวัญเสียได้อย่างเก็บรายละเอียดกริบทุกเม็ดขนาดนี้
ชวนอ่าน “เปิดรายชื่อหนังไซไฟที่ “ดีที่สุด” ของศตวรรษ 21 ที่คอหนังห้ามพลาด!“
“ในขณะที่หลายคนคิดว่าเราควรทำฉากอะไรแบบนี้ด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิก และเราก็ใช้เวลาหลายเดือนในการถกเถียงถึงวิธีการถ่ายหลาย ๆ ฉากในหนังเรื่องนี้ ตอนแรกเราก็สรุปกันไปแล้วว่าจะถ่ายด้วยกรีนสกรีนแต่ผมก็รู้สึกติดขัดในใจว่ามันไม่น่าจะใช่วิธีที่ถูก พอถึงตอนซ้อม ผมลองแขวนกล้องธรรมดาไปกับหลังคารถและเราจะถ่ายด้วยกรีนสกรีน ผมคิดว่าฉากนี้มันสำคัญมาก เพราะเราอยากให้คนดูได้โฟกัสไปที่ตัวละครที่กำลังตื่นตระหนกในรถคันนั้น มากกว่ากลุ่มผู้คลุ้มคลั่งที่ดาหน้าเข้ามาทำร้ายรถของพวกเขา (ซึ่งถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นคงตัดสลับภาพสองฝั่งของเหตุการณ์เพื่อความตื่นเต้นเร้าใจ) มันถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์กับวิธีการถ่ายแบบ Long-take ตอนนั้นผมตัดสินใจกลับลอสแอนเจลิสเพื่อไปเอากล้อง H dolly มาติดบนหลังรถแทน หลังจากนั้นมันก็เป็นอย่างที่เห็น เราได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน” Emmanuel “Chivo” Lubezki ผู้กำกับภาพ 3 รางวัลออสการ์เล่าให้ฟัง
- นักแสดง: Clive Owen, Michael Caine, Charlie Hunnam, Chiwetel Ejiofor, Julianne Moore
- ผู้กำกับ: Alfonso Cuarón (Roma, Gravity, Harry Potter and the Prisoner of Azkaban)
- ทุนสร้าง / รายรับรวมทั่วโลก: 76 / 70 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score / iMDB Rating: 92% / 7.9/10
THERE WILL BE BLOOD (2007) – ฉันดื่มมิลเชคของแกไปแล้ว
There Will Be Blood นั้นเป็นคำพูดแบบนักรบโบราณประมาณว่า “จะต้องมีการนองเลือดเกิดขึ้น” แต่ในเรื่องนี้คนดูจะไม่ได้เห็นเลือดสักหยด แต่เป็นน้ำมันดิบสีดำที่มีปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ จากบ่อเล็กๆ สู้บ่อใหญ่ ตามมาด้วยความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ ที่เปรียบเป็นสัญลักษณ์ของ “เลือด” ในชื่อหนังเรื่องนี้ ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง “Oil” ของ Upton Sinclair เล่าเรื่องของ Daniel Plainview เจ้าของเหมืองเงินที่มีบุคลิกสู้คน เขาผันตัวมาเป็นนักขุดน้ำมันเต็มตัวและออกไล่ล่าหาน้ำมันโดยการพูดเกลี้ยกล่อมชุมชนเล็ก ๆ ให้ยอมให้เขาขุดน้ำมันให้ โดยมีหุ้นส่วนคือ H.W. ลูกชายวัย 6 ขวบ จนวันหนึ่งเขามีโครงการจะไปซื้อที่ในชุมชนเล็ก ๆ ชื่อลิตเติลบอสตัน เพื่อขุดน้ำมัน แต่เขาไปเจอตอก็คือ Eli Sunday นักเทศน์หนุ่มที่ชาวเมืองให้ความเชื่อถือและมาขัดขวางเขาไว้ แต่ Eli ก็มีเรื่องไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้เช่นกัน
ต้องบอกว่าหนังทุกเรื่องที่ Daniel Day-Lewis นักแสดงเจ้าของ 3 รางวัลออสการ์ (หนึ่งในนั้นก็ได้จากเรื่องนี้) ก็ให้การแสดงที่เป็นฉากอันน่าจดจำระดับยอดเยี่ยมทั้งนั้น เพราะเขาเป็นนักแสดงที่เล่นได้สมกับบทบาทด้วยวิธีการแสดงแบบ Method ที่จะฝังตัวเองอยู่ในคาแร็คเตอร์ตัวละครตลอดเวลาแบบไม่ถอนออกจนกระทั่งจะถ่ายหนังเสร็จ การแสดงของเขาทำให้หนังที่เน้นขายการแสดงเรื่องนี้ ทั้งกว้างทั้งลึกและถูกจดจำทั้งหมดก็จาก Day-Lewis ที่อุ้มหนังไว้ทั้งเรื่อง
ใครที่เคยอ่านนิยายคงจะจินตนาการตัวละคร Daniel Plainview สุดโหดไว้ในภาพความคิด แต่เมื่อได้เห็น Daniel มาสวมบทนี้ก็ยิ่งดูน่ากลัวน่าเกรงขามกว่าที่ในหนังสือบอกไปอีกหลายขุม และกับฉากระเบิดอารมณ์ฉากนี้ มันคือการผสมผสานห้วงอารมณ์เดือดดาลของตัวละครเข้ากับการเสียดสีทุนนิยมอเมริกา ด้วยการเปรียบเปรยมิลค์เชคกับบ่อน้ำมันซึ่งเป็นสถานที่หาเงินหลักของ Daniel Plainview ในฐานะทรัพยากรล้ำค่านั่นเอง
“ในฐานะคนตัดต่อ ผมไม่รู้ว่าฉากไหนจะเป็นฉากจบ Paul (ผู้กำกับ) เขียนบอกเราไว้ว่าจะใช้หลายซีนในร่างแรกของสคริปต์และเราก็ยังไม่ได้ตัดสินใจกัน จนกระทั่งเมื่อ Daniel และ Paul มาสวมบทบทในเรื่องและเล่นฉากนี้ มันก็แทบจะกลายเป็นฉากจบที่สมบูรณ์แบบของหนังไปเลยในทันที เพราะมันทั้งบ้าและคาดเดาไม่ได้ ผมต้องอุทานในใจว่า ทำไม Daniel ถึงเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ เขามีพลังการแสดงอันล้นเหลือที่จะค่อย ๆ เพิ่มดีกรีการระเบิดอารมณ์ออกมา ฉากนั้นเขาแทบจะฆ่า Paul ได้เลย และมันก็ทำให้ผมหยุดหายใจไปด้วยเหมือนกัน” Hillary Busis มือลำดับภาพของหนังบอกไว้
- นักแสดง: Daniel Day-Lewis, Paul Dano, Ciarán Hinds, Randall Carver, Coco Leigh
- ผู้กำกับ: Paul Thomas Anderson (Magnolia, Punch-Drunk Love, The Master, Phantom Thread)
- ทุนสร้าง / รายรับรวมทั่วโลก: 25 / 76 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score / iMDB Rating: 92% / 8.2/10
IRON MAN (2008) – แต่เดี๋ยวก่อน…
หนังเปิดศักราชของจักรวาลมาร์เวลอย่าง Iron Man นั้นมีหลายฉากที่น่าจดจำ ทั้งฉากที่ Tony Stark ยอมเฉลยตัวตนที่แท้จริงของ Iron Man กันตั้งแต่ภาคแรกว่าเขาเองนี่แหละคือ ฮีโรมนุษย์เกราะเหล็ก (ขัดขนบธรรมเนียมของฮีโรที่แล้วมาที่จะต้องหลบซ่อนตัวจริงภายใต้หน้ากาก) แต่ฉากที่ทรงอิทธิพลต่อโลกภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรมาร์เวลทั้งหมดก็พอจะพูดได้ว่ามาจากฉากนี้ซึ่งเป็น End Credit ตัวแรกของ MCU ที่มีตามออกมาอีกเป็นพรวนและกลายเป็นเอกลักษณ์ไปในที่สุดว่า End Credit จะเชื่อมโยงไปถึงหนังเรื่องต่อไปของจักรวาล
ในฉากนี้เป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของ Nick Fury (ที่เพิ่งมีการประกาศไปเมื่อไม่นานมานี้ว่าจะมีซีรีส์แยกเดี่ยวเป็นของตัวเองทาง Disney+ กับเขาด้วยเหมือนกัน) ที่มาทัก Tony Stark ว่า เดี๋ยวก่อน…คิดว่าจะมีนายคนเดียวเหรอที่เป็นซูเปอร์ฮีโรบนโลกใบนี้ อย่ากระนั้นเลยมารวมทีมซูเปอร์ฮีโรกันเถอะ ในปีนั้นเอง Paramount ได้ร่วมทุนสร้างกับ Marvel Studios ที่เพิ่งก่อตั้ง และมี The Incredible Hulk (2008) ด้วยที่ออกฉายในปีนั้นแต่ไม่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ เพราะฉะนั้นตอนที่ตัดสินใจใส่ฉากนี้เข้าไปในหนังตอนแรกก็ต้องบอกว่า Marvel Studios ก็คงมั่นใจมากพอตัวว่าจักรวาลหนังจะไปต่อได้เป็นสิบปี
นอกจากนี้ในดีวีดี Boxset ของหนังจักรวาล MCU ชุด The Infinity Saga หัวเรือใหญ่ผู้อำนวยการสร้างของ Marvel Studios อย่าง Kevin Feige ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาได้ใส่ฉากพิเศษที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนลงไปในดีวีดีชุดนี้ด้วย นั่นก็คือ ฉากท้าย End Credit ของ Iron Man ภาคแรกที่ Fury พูดถึงเหตุที่ทำให้เกิดฮีโรอย่าง Hulk, Spider-Man และเหล่า X-Men แม้ว่าในปี 2008 นั้นลิขสิทธิ์ตัวละครทั้งหลายเหล่านั้นจะยังไปอยู่ที่ค่ายอื่นและไม่ใช่ของมาร์เวล แต่ก็มีการถ่ายเผื่อเอาไว้ก่อน
“เมื่อเวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงครึ่ง ผมรู้ตัวอีกทีก็มีหนวดและแผ่นปิดตาอยู่บนหน้าผมแล้ว และหลังจากนั้นผมก็กลายเป็นตัวละครที่จะมีแฟนคลับของฮีโรมาร์เวลรู้จักไปชีวิต ผมรู้สึกดีกับบทนี้และคิดว่ามันยอดเยี่ยมมาก ผมเป็นตัวละครที่ไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรเลย ออกจะเดินไปเดินมาในหนังด้วยซ้ำ แต่ผมก็มีโอกาสได้ร่วมจอ เป็นเพื่อนกับเหล่าตัวละครที่มีพลังวิเศษเต็มไปหมด หรืออย่าง Iron Man ผมรู้ว่าคนดูจะเคยชินกับความเท่ ความห่าม ความหยาบคาบของเขา ผมคิดว่า Nick Fury ก็มาช่วยทำให้คนดูได้เห็นอีกด้านที่อ่อนแอหรือด้านที่ทำให้รู้ว่าเขาก็แคร์ครอื่นเป็นให้กับเรื่องราวนี้ ผมสนุกจริง ๆ กับบทนี้นะ” นักแสดงมากฝีมือที่อยู่มาหลายจักรวาลหนัง อย่าง Samuel L. Jackson กล่าว
- นักแสดง: Robert Downey Jr., Gwyneth Paltrow, Jeff Bridges, Terrence Howard, Paul Bettany, Clark Gregg,
- ผู้กำกับ: Jon Favreau (Iron Man 1-2, The Jungle Book, The Lion King)
- ทุนสร้าง / รายรับรวมทั่วโลก: 140/ 585 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score / iMDB Rating: 94% / 7.9/10
THE DARK KNIGHT (2008) – ฮีโรที่ก็อตแธมควรมี
ภาค 2 ของไตรภาค Batman The Dark Knight ของ Christopher Nolan เมื่อ Batman ร่วมมือกับสารวัตร Gordon ออกกวาดล้างเหล่าทรชนในเมืองก็อตแธมจนเป็นที่โจษจัน คุณภาพชีวิตเมืองก็อตแธมก็ดีขึ้นมาก แต่ก็ยังมีชาวเมืองบางส่วนที่ไม่พอใจกับการตั้งตนเป็นศาลเตี้ยพิพากษาคนร้ายของอัศวินรัตติกาล ต่อมาก็อตแธมก็ปรากฏวีรบุรุษคนใหม่ที่เล่นตามกติกาของกฎหมาย นั่นคือ Harvey Dent อัยการหนุ่มไฟแรงที่ไม่เกรงกลัวต่อผู้ร้ายหน้าไหน แถมยังเป็นคนรักใหม่ของ Rachel แฟนเก่าของ Bruce Wayne ด้วย ขณะเดียวกันทางฝั่งของแก๊งต่าง ๆ ที่กำลังอยู่ไม่สุข ก็ปรากฏตัววายร้ายคนใหม่ที่ฝีมือสูสีกับ Batman ขึ้นมาอย่าง Joker
Joker อาสาจะกำจัดแบทแมนให้โดยไม่เลือกวิธีการ เขาก่อวินาศกรรมป่วนไปทั่วเมืองอย่างคาดเดาไม่ได้ และสังหารผู้บริสุทธิ์ไปหลายคน แถมยังเรียกร้องให้ Batman ออกมาเผยโฉมหน้าของตัวเอง มิฉะนั้นจะต้องมีคนตายทุกวัน หลังจากหารือกันระหว่าง Wayne, Gordon และ Dent เขาจึงตัดสินใจจะเผยตัวเอง แต่ Dent กลับชิงแกล้งเผยตัวไปก่อนว่าตนเองคือ Batman และยอมโดนจับไปเพื่อให้ Joker หยุดก่อการ
ฉากที่ทรงอิทธิพลและน่าจดจำจากเรื่องนี้ (ซึ่งจริง ๆ ตลอดทั้งเรื่อง การแสดงของ Heath Ledger หรือฉากโศกนาฏกรรมหลาย ๆ ฉากก็น่าจดจำมาก) ก็คือ ฉากบทสรุปของเรื่องที่ Batman จะต้องยอมรับผิดกลายเป็นคนร้ายเสียเอง และยกภาพที่ขาวสะอาดให้กับ Harvey Dent ที่กลายเป็นตัวร้าย Two Face หลังประสบชะตากรรมอันเลวร้าย ทั้งสูญเสียคนรักและใบหน้าถูกเผาไหม้ไปครึ่งหนึ่ง Gordon เองที่รู้ความจริงทั้งหมดก็ต้องยอมรับให้ Batman เป็นคนร้ายและทุบทำลายเครื่องส่องสปอตไลต์รูปมนุษย์ค้างคาวอย่างที่เห็น ซึ่งเงื่อนปมนี้ของ Gordon ก็ยังมีผลต่อไปยัง The Dark Knight Rises (2012) ด้วย
ชวนอ่าน “ย้อนดูหนัง 10 เรื่อง ตลอด 22 ปีของผู้กำกับ Christopher Nolan ก่อนจะถึง Tenet“
Hans Zimmer ผู้ประพันธ์เพลงประกอบชื่อดังและเป็นคู่บุญกับผู้กำกับ Nolan มาโดยตลอด เล่าให้ฟังว่า “ผมบอก Chris (Christopher Nolan ผู้กำกับ) ว่า ฉากนี้เพลงมันดังเกินไป คนดูจะไม่ได้ยินเสียงตัวละครพูด แต่ Chris บอกผมว่า ผมคิดมาแล้ว…ซึ่งก็ถูกของเขา เขาเขียนฉากจบไว้ราว 200 แบบได้มั้ง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกแบบนี้ มันยากที่จะมีตอนจบที่ลงตัว รวมทั้งต้องทะเยอทะยานกับประโยคไม่กี่ประโยค และกับช่วงเวลาแค่เพียงสั้น ๆ ถ้าเลือกแบบหนึ่งมันก็จะเปลี่ยนหนังทั้งเรื่องให้เป็นอีกแบบที่ไม่เหมือนกันไปเลย ซึ่งกับหนังทั้งเรื่อง Chris ก็ทำได้สำเร็จ ตรงที่มันเป็นหนัง Batman ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ และมันก็เป็นสิ่งที่ควรจะเป็นจริง ๆ เสียทีสำหรับแฟรนไชส์นี้”
- นักแสดง: Christian Bale, Heath Ledger, Aaron Eckhart, Michael Caine, Maggie Gyllenhaal, Gary Oldman, Morgan Freeman, Cillian Murphy
- ผู้กำกับ: Christopher Nolan (Tenet, Inception, Interstellar, The Dark Knight Trilogy)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 185 / 1,005 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score / iMDB Rating: 94% / 9/10
TWILIGHT (2008) – ครั้งแรกที่ได้พบกันของ Bella และ Edward
กำลังจะเข้าสตรีมบน Netflix ให้ได้ดูกันทั้ง 4 ภาค (ยกเว้นภาค 4.1) ในเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับแฟรนไชส์แวมไพร์ Twilight ที่เป็นนิยายฮิตและต่อมาก็กลายเป็นหนังวัยรุ่นสุดฮิตช่วงทศวรรษ 2010s เช่นกัน ฮิตแค่ไหนถ้าดูจากทุนสร้างและรายรับรวมทั่วโลกทั้งหมด 5 ภาค หนังก็ทำรายได้ไปทั้งหมด 3,317 จากทุนสร้างแค่ 480 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น หนังสือและหนังเรื่องราวความสัมพันธ์แบบรักสามเส้าในช่วงแรก ๆ ของหนึ่งแวมไพร์อมตะอย่าง Edward Cullen หนึ่งมนุษย์หมาป่าขี้เหงา Jacob Black และมนุษย์ยิ่งสาวที่ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเธอเอาไว้ทั้งสองคนอย่าง Bella Swan
Twilight นั้นนับเป็นหนังในวัฒนธรรมพอปของวัยรุ่นยุค 10 ปีมานี้ และนำโครงเรื่องหลักด้วยรักสามเส้าเช่นเดียวกับแฟรนไชส์ The Hunger Games แตกต่างตรงที่ฉากหลังของเรื่องราวนี้ เป็นการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์แวมไพร์รักสงบกับฝั่งแวมไพร์ที่อยากยึดครองอำนาจ และมีมนุษย์หมาป่าเป็นอีกกลุ่มที่มาร่วมสู้กับแวมไพร์ฝ่ายดี (ก็เพราะ Bella Swan เป็นตัวแปรหลัก) ในฉากที่ถูกจัดให้เป็นฉากที่่น่าจดจำ (ที่อาจจะเฉพาะกลุ่มแฟน ๆ ของนิยายและหนังฮิตเรื่องนี้) ก็คือ การสปาร์คจอยกันครั้งแรกของ Edward และ Bella ที่โรงอาหารของโรงเรียนไฮสคูล พ่อหน้าลอยเหมือนทารองพื้นผิดเบอร์ Edward เหล่ไป Bella ก็เหล่มา แต่นี่แหละ แฟน ๆ หนังสือคงได้ฟินกับการได้เห็นภาพในจินตนาการบนจอหนังครั้งแรก
“เรารู้ว่าทั้ง Rob และ Kristen ต่างก็เป็นคนอินดี้ ๆ หน่อย เพราะวิธีการแต่งตัว วิธีการการอ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูหนัง มันบ่งบอกความเป็นตัวเองสูงมาตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งถ้าฟังแค่นี้ พวกเขาก็ไม่น่าจะมาอยู่ในหนังฟอร์มยักษ์ที่มีแฟน ๆ รอคอยทั่วโลก ฉันว่าในตอนแรกพวกเขาก็คงคาดไม่ถึงเหมือนกันว่า เมื่อหนังออกฉายแล้วพวกเขาจะโด่งดังขนาดไหน รวมถึงเมื่อฉันเป็นผู้กำกับหญิงที่ได้มาทำหนังเรื่องนี้ ใครจะนึกว่าหนัง Blockbuster จะเป็นงานของผู้กำกับหญิงล่ะ สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเราทุกคนนะคะ ทั้งผู้กำกับและนักแสดง เป็นผลงานที่ดีในเครดิตของทุกคน และกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จ มีผู้คนมากมายรอติดตามภาคต่อไปจนจบเรื่อง” Catherine Hardwicke ผู้กำกับหญิงของเรื่องเล่าให้ฟัง
- นักแสดง: Kristen Stewart, Robert Pattinson, Taylor Lautner, Billy Burke, Anna Kendrick
- ผู้กำกับ: Catherine Hardwicke (Lords of Dogtown, Red Riding Hood)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 37 / 408 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score / iMDB Rating: 49% / 5.2/10
FAST FIVE (2011) – การไล่ล่าบนหลังคาบ้านของเมืองริโอ
หลังจากความสำเร็จในภาค 4 ก็เดินหน้าต่อในภาค 5 จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดนาน โดยในภาคนี้ค่ายหนังได้อนุมัติสร้างทั้งภาค 5 และภาค 6 ต่อเนื่องกันไปยาว ๆ Vin Diesel นำมุกการรวมตัวละครจากภาคเก่า ๆ ในภาค 4 มาขยายความต่ออย่างที่รู้ว่าจะเรียกคนดูได้ บวกกับการใส่กิมมิก “ความรักแบบครอบครัว” ให้กับแก๊งนักแข่งนี้ Universal ตัดสินใจชัดเจนว่าจะให้หนังจักรวาลนี้กลายเป็นหนังปล้น (Heist Films) เหมือนหนังดังในอดีตอย่าง The Italian Job (1969) และ The French Connection (1971) และให้ภาคนี้เป็นจุดเปลี่ยนจาก 4 ภาคก่อนไปในเส้นทางใหม่มาจนถึงภาคปัจจุบัน
หนังได้ทุนสร้างมากขึ้นกว่าเดิมเป็น 125 ล้านเหรียญฯ ทำให้หนังได้ไปถ่ายทำในโลเคชันที่แปลกใหม่มากขึ้นทั้งเมืองริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล และเปอร์โตริโก รวมถึงฉากปล้นตู้เซฟไซส์ยักษ์ในภาคนี้ เดิมที่คนเขียนบทอยากจะใส่ไว้ในภาค 4 แต่งบไม่พอและดูไม่เหมาะกับเนื้อเรื่องเลยไม่ได้ใส่ไว้และนำมาไว้ในภาค 5 แทน แต่หนังก็ยังมีฉากไล่ล่าที่น่าจดจำของแฟรนไชส์นี้และกับวงการภาพยนตร์ในรอบ 25 ปีที่ผ่านมาด้วย กับฉากที่เป็นการพบกันครั้งแรกของนักแสดง Dwayne Johnson และ Vin Diesel ที่วิ่งไล่ล่ากันบนหลังคาบ้านของสลัมในเมืองริโอ
ชวนอ่าน “Fast and Furious: 19 ปีกับเรื่องที่คุณยังไม่รู้เกี่ยวกับหนังทั้ง 9 เรื่อง (ตอนที่ 2)“
“ผมจำได้ว่าทีมสร้างในตอนนั้นวิ่งกันหัวหมุนเพื่อจะทำให้แฟรนไชส์นี้ใหญ่ขึ้น ๆ เรื่อย ๆ จนหลายคนในกองก็สงสัยว่านี่เราทำหนังซูเปอร์ฮีโรกันอยู่หรือเปล่า พื้นฐานของเรื่องราวที่เป็นเรื่องของครอบครัวและพวกพ้องก็ยังแข็งแรงมาก เราจึงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น หน้าที่ของเราคือทำยังไงให้หนังสนุกขึ้นในทุกภาค ส่วนฉากนี้ถ่ายกันในริโอ ตอนนั้นพวกตำรวจในท้องที่ยังบอกเรากันว่า พวกคุณได้รับความร่วมมือมากกว่าตำรวจเองเสียอีก ชาวบ้านต่างเปิดประตูหน้าต่าง ให้ความร่วมมือในการถ่ายทำอย่างเต็มที่ นอกจากนั้น เราทำงานกันเป็นทีมเดียวกับทุกคน เราอยากให้ทุกคนทั้งนักแสดง ทีมงาน และผู้คนในสถานที่ ๆ เราไปถ่ายได้มีส่วนร่วม และเราทำเต็มที่เพื่อจะให้เกียรติพวกเขาครับ” Vin Diesel นักแสดงนำที่แสดงมาทุกภาคยกเว้นภาค 2 ย้อนความหลังให้ฟัง
- นักแสดง: Vin Diesel, Paul Walker, Jordana Brewster, Sung Kang, Gal Gadot, Tyrese Gibson
- ผู้กำกับ: Justin Lin (Fast & Furious 3-6, Star Trek Beyond)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 125 / 626 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score / iMDB Rating: 77% / 7.3/10
GET OUT (2017) – จมสู่ห้วงแห่งความมืด
Chris Washington และ Rose Armitage คู่รักต่างสีผิวที่กำลังรักกันดูดดื่ม แล้ว Rose ก็ต้องการพา Chris ไปรู้จักกับพ่อแม่ในวันสุดสัปดาห์ เขารู้สึกประหม่าเพราะแฟนไม่ได้บอกว่า เขาเป็นคนแอฟริกัน-อเมริกัน แต่สุดท้าย Chris ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพ่อแม่ และ Jeremy น้องชาย แต่ Chris เริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับ Georgina และ Walter คนรับใช้ที่มองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย ยิ่งพอเข้าวันที่ 2 ที่เป็นเทศกาลรวมญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของครอบครัว Armitage Chris ก็ได้พบกับ Andre คนผิวดำคนแรกในหมู่บ้านนี้ แต่แล้วเขาก็ได้พบกับเรื่องราวชวนช็อก จน Chris รู้สึกว่าเขาอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไม่ได้แล้ว แต่เขาจะหาทางหนีออกไปได้หรือไม่
นี่คือหนังที่ได้คะแนนโหวตในเว็บมะเขือเน่าสูงถึง 99% ชนะรางวัลออสการ์บทดั้งเดิมยอดเยี่ยม และเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Daniel Kaluuya) และผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ทั้งที่ Peele เพิ่งกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก เขาดูจะไปได้ดีกับงานหนังสยองขวัญ เพราะก็เปรี้ยงกับ Us (2019) อีกเรื่อง ส่วนฉากที่เป็นที่โจษจันก็คือ ฉากที่ได้ล่วงรู้ความจริงอันดำมืดของครอบครัวแฟนสาวแล้วว่า เขาถูกพามาที่บ้านหลังนี้ด้วยจุดประสงค์ใด และหนังก็ทำให้คนดูเข้าใจกับภาพและบรรยากาศที่เกิดขึ้นได้ว่า Chris กำลังจมลงสู่ห้วงแห่งความมืดอย่างที่คนดูระแวงมาตลอดเรื่องจริง ๆ และ Chris จะรอดพ้นจากความตายไปได้หรือไม่
ชวนอ่าน “10 หนังสยองขวัญที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา”
“ผมมีแนวคิดเรื่องสถานที่ที่เมื่อคุณหลับไปแล้วคุณจะเสียสติหรือการควบคุมตัวเองไปด้วยมาตลอด แล้วถ้าคุณครองสติไม่ได้ อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นล่ะ? สำหรับผมมันคงเป็นอะไรที่นรกมาก คุณจะต้องอยู่ในสถานที่ที่จิตใจของคุณถูกกักขัง ต้องคอยเห็นร่างของตัวเองเป็นนักโทษ ตอนที่ผมคิดเรื่องและฉากของหนังเรื่องนี้ ธีมของเรื่องที่เป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังจิตใจมนุษย์อย่างซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นในความคิด ผมจำได้ว่าผมเขียนเรื่องนี้อย่างสนุกสนานมาก ขณะเดียวกันพอถึงช่วงที่ผมเขียนถึงความพิสดาร ความหดหู่ ความโหดร้ายทางอารมณ์ ความทุกข์ทรมานที่ผมใส่เข้าไปให้ตัวละคร…ผมก็เผลอร้องไห้ออกมา” Jordan Peele ผู้กำกับเล่าอย่างภูมิใจในผลงาน
- นักแสดง: Daniel Kaluuya, Allison Williams, Bradley Whitford, Catherine Keener, Caleb Landry Jones
- ผู้กำกับ: Jordan Peele (Us)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 4 / 255 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score / iMDB Rating: 98% / 7.7/10
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส