คำโบราณว่าไว้ จิ้งจกทักยังต้องฟัง นับประสาอะไรกับการที่ผู้กำกับระดับตำนาน (ที่ยังมีชีวิตอยู่) อย่าง Steven Spielberg ผู้ทำหนังฮิตไว้เยอะมากกว่าเจ๊ง แถมหลายเรื่องก็เป็นตำนานแห่งยุคสมัย เมื่อเขาทักแล้วก็ต้องฟังไว้บ้าง ต่างจากกรณีนี้ของหนัง Waterworld ของ Kevin Costner ที่เขาทั้งอำนวยการสร้างและนำแสดง รวมถึงเขี่ยผู้กำกับ Kevin Reynolds ออกจากห้องตัดต่อและทำหน้าที่คุมการตัดต่อแทนอีกต่างหาก ตำนานเรื่องนี้อยู่ในฐานะหนังทุนสร้างสูงที่สุดในโลกอยู่หลายปี กับทุน 175 ล้านเหรียญฯ และทำรายรับรวมทั่วโลกไปแค่ 264 ล้านเหรียญฯ แน่นอนว่า หนังก็ครองสถิติเจ๊งยับมากที่สุดตลอดกาลเรื่องหนึ่งไปด้วยเหมือนกัน
Waterworld เป็นหนังไซไฟที่บอกเล่าเรื่องราวของโลกหลังการล่มสลาย ที่มีสาเหตุมาจากน้ำแข็งขั้วโลกละลายจน “น้ำท่วมโลก” และผืนแผ่นดินที่เป็นดินหายไปจนหมด คล้าย ๆ หนัง Mad Max เวอร์ชันเปลี่ยนจากทะเลทรายเป็นทะเล ผู้คนต้องอาศัยอยู่บนเรือหรือเกาะที่เอาเรือมารวมกันไว้ Kevin Costner รับบทเป็นผู้มีชีวิตรอดอยู่ด้วยการดำรงชีวิตคนเดียว แล้วต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับเหตุที่วายร้าย (รับบทโดยนักแสดงมากฝีมือผู้ล่วงลับ Dennis Hopper) ยกพรรคพวกมาบุกชุมชนกลางทะเล จากนั้นเขาก็ต้องกลายเป็นพระเอกจำเป็นที่จะต้องช่วยเด็กสาวคนหนึ่ง ที่เป็นตัวแปรสำคัญพาทุกคนไปสู่ผืนแผ่นดินแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ ก่อนกลุ่มวายร้ายที่จะได้ตัวเด็กไป
เหตุผลที่หนังใช้ทุนสร้างมโหฬารอย่างไม่แคร์โลก ก็เพราะ Costner ผู้มั่นใจสุด ๆ เพราะสร้างหนังดังอย่าง Dances with Wolves (1990) และคว้าออสการ์ไปมากมาย รวมถึงเล่นหนังที่ฮิตระเบิดอย่าง The Bodyguard (1992) มาไม่กี่ปี เลือกจะไปถ่ายทำหนังในทะเลจริงทั้งหมด และไม่เลือกถ่ายในแท็งก์น้ำยักษ์ของโรงถ่ายเลย ซึ่งจะทำให้ประหยัดงบการสร้างไปได้เยอะ (Pirates of the Caribbean ที่ทุนสร้างก็สูงไม่แพ้กัน เพราะด้วยเหตุผลนี้ในบางภาคเช่น ภาค 2 และ 3)
Peter Rader มือเขียนบทของหนังได้เล่าเรื่องนี้ให้ Yahoo Entertainment ฟังว่า ขนาด Steven Spielberg ผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จกับหนังฉลามในทะเลอย่าง Jaws (1975) ก็ยังห้ามปราม Kevin Reynolds ผู้กำกับของหนัง ไม่ให้ตัดสินใจไปถ่ายกันในทะเลเปิด และให้ใช้วิธีเก็บภาพทะเลจริงบางภาพมาประกอบหนังแทน ด้วยเหตุว่าทุนจะสูงมาก
แต่สุดท้ายเมื่อ Reynolds ไม่ใช่เจ้าของหนังตัวจริง Costner ก็ตัดสินใจไปถ่ายทำในมหาสมุทรแปซิฟิก แถวหมู่เกาะฮาวาย แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกของการถ่ายทำ เมื่อโลเคชันชุมชนของชาวทะเลที่จะปรากฎในช่วงองก์ 1 ของเรื่องแบบเดิม โดนพายุเฮอร์ริเคนถล่มเสียหายเกือบหมด เซ็ตฉากบนเรือลอยน้ำจมลงสู่ก้นทะเล พวกเขาจึงต้องสร้างฉากขึ้นใหม่ นอกจากนั้น Rader ยังเล่าต่อว่า ช่วงนั้น Costner ก็มีปัญหาการหย่าร้างกับ Cindy Silva ภรรยาคนแรก ในช่วงถ่ายทำพอดี ทำให้เขามาปรับทุกข์กับทีมสร้างหนังเกือบทุกคน และจิตใจไม่ค่อยอยู่กับร่องรอย จนไปแทรกแซงงานของผู้กำกับจน Reynolds ขอไม่กลับมายุ่งกับหนังในขั้นตอนตัดต่ออีก
หลังจากถ่ายทำยาวนานถึง 4 เดือนเต็ม หนังก็เข้าฉายในปี 1995 กลายเป็นที่จับจ้องของสื่อและคนในวงการที่รอซ้ำเติมให้หนังเจ๊ง สุดท้ายหนังก็ถูกนักวิจารณ์รุมทึ้งและถูกปฏิเสธจากคนดู เมื่อเปิดตัว 3 วันด้วยรายได้ 21 ล้านเหรียญฯ ห่างไกลจากโอกาสจะคืนทุนสร้าง และปิดรายได้ในสหรัฐฯ ไปแค่ 88 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หนังก็ถือเป็นเรื่องที่มีแฟน ๆ หามาดูตลอด 25 ปีในฐานะหนังผจญภัยไซไฟกลางทะเลที่ยังไม่มีเรื่องไหนทำซ้ำตลอด 25 ปี หนังฮิตตอนเป็นโฮมวิดีโอและฉายทางเคเบิลทีวี มีธีมพาร์คสวนสนุกอยู่ที่ Universal Studios Hollywood รวมถึงหนังก็ยังให้แง่มุมปลุกจิตสำนึกเรื่องของปัญหาโลกร้อนจนทำให้เห็นภาวะที่ถ้าหากน้ำท่วมโลกขึ้นมาจริง ๆ หายนะคงจะหน้าตาประมาณในหนังเรื่องนี้แหละ
ทิ้งท้ายการสัมภาษณ์ Yahoo Entertainment ถาม Rader ว่า มีโอกาสมากแค่ไหนที่คนดูจะได้เห็นภาคต่อหรือการรีบูตหนังเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ เขาตอบว่า เขาไม่เคยได้รับการติดต่อจากค่ายหนัง Universal เลย ตลอด 25 ปีเหมือนจะบอกเป็นนัยว่า ค่ายก็คงจะยังเข็ดกับความล้มเหลวในครั้งนั้นอยู่เรื่อยมา
แต่ตัวเขาเองกลับมองว่า Waterworld ได้สร้างโอกาสในการทำงานให้กับเขามากมาย และเขายังได้พบภรรยาจากหนังเรื่องนี้ รวมถึง Kevin Costner เองก็ได้พบกับภรรยาคนปัจจุบัน Christine Baumgartner หลังจากฉายรอบพรีเมียร์หนังเรื่องนี้ไม่นานอีกด้วย ถึงหนังไม่ปัง แต่ชีวิตไปได้สวยกันหมดก็ถือว่า แก้เคล็ดกันไปอย่างใช้ได้!
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส