ในช่วงนี้ Netflix ได้จัดโปรแกรมหนังดราม่าที่สนใจในหลาย ๆ ประเภทของภาพยนตร์มาให้ได้ชม ไม่ว่าจะเป็นหนังสงคราม หนังหายนะภัย หนังที่ให้คุณค่าต่อชีวิตผ่านเรื่องราวหรือบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจ ที่ทั้งมีชีวิตอยู่จริงหรือมาจากเรื่องแต่งที่เป็นนิยาย รวมไปถึงหนังตลกร้ายก็มี สำหรับใครที่อยากชมหนังที่จะทำให้เสียน้ำตาให้กับความสะเทือนใจ ความหดหู่ หรือความประทับใจเมื่อหนังถึงบทสรุป เชื่อว่าหนังเหล่านี้น่าจะตอบโจทย์ พกทิชชู่ไว้ข้างตัวให้เยอะ ๆ ก่อนจะคลิกชมหนังตามรายชื่อที่ What the Fact เตรียมไว้ให้นี้ (อ่านจบแล้ว ต่อตอน 2 ได้ที่นี่)
THE LAST SAMURAI (2003)
ร้องไห้ให้กับการเสียสละชีวิตของกลุ่มทหารผู้จงรักภักดีต่อแผ่นดิน…กลุ่มสุดท้าย”
ทหารอเมริกันฝีมือดี ผู้กอง Nathan Algren ต้องเผชิญกับสถานการณ์ฝันร้ายในเหตุการณ์ที่เขาแพ้สงครามและต้องเสียลูกน้องในสหรัฐฯ เขาได้รับการติดต่อจ้างวานจากคนในรัฐบาลญี่ปุ่น ให้ไปฝึกทหารญี่ปุ่นเพื่อทำการต่อสู้กำจัดพวกนักรบซามูไรที่ถูกมองว่าเป็น “กบฏของชาติ” เมื่อ Nathan เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น เขาได้ฝึกกลยุทธการรบให้ทหารญี่ปุ่นของฝ่ายจักรพรรดิด้วยปืนและวิทยาการสมัยใหม่ของตะวันตก แต่ด้วยความไม่พร้อม ระหว่างการสู้รบครั้งหนึ่งพวกเขาแพ้และ Nathan ถูกจับตัวไปโดยพวกซามูไร นำโดย Katsumoto หัวหน้านักรบซามูไร
ระหว่างที่ถูกจับ เขาได้เข้าไปเรียนรู้ สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงในหมู่บ้านของซามูไร ที่ถือได้ว่าเป็น ทหารญี่ปุ่นดั้งเดิมโดยจิตวิญญาณกลุ่มสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ Nathan เมื่อนานวันเข้า เขาจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วฝ่ายไหนเป็นฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม ท้ายที่สุด Nathan และซามูไรต้องรับมือกับพวกทหารขององค์จักรพรรดิที่ร่วมมือกับทหารฝรั่ง หมายจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จของบัลลังก์จักพรรดิ หนังมีส่วนผสมของตัวเอกกลับใจ ทั้งการ์ตูนจากตำนาน Pocahontas (1995) หรือ Avatar (2009) แต่ก็เป็นหนังที่ถ่ายทอดการหลงลืมรากเหง้าของตัวเองของชนชาติหนึ่ง ด้วยการยอมตกเป็นเบี้ยล่างของคนญี่ปุ่น ในฉากไคลแมกซ์ของเรื่องกลายเป็นทั้งฉากแอ็กชันและฉากสุดแสนสะเทือนใจ
- นักแสดง: Tom Cruise, Ken Watanabe, Hiroyuki Sanada, Tony Goldwyn, Shin Koyamada, Koyuki
- ผู้กำกับ: Edward Zwick (Blood Diamond, Jack Reacher: Never Go Back, Legends of the Fall)
- ทุนสร้าง / รายรับรวมทั่วโลก: 140 / 454 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 66% / 7.7/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 4 รางวัลออสการ์ (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Ken Watanabe), องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม)
UNBROKEN (2014)
ร้องไห้ให้กับความโหดร้ายของสงคราม”
เรื่องโชคชะตาอันโชคร้ายจนเหลือเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องจริงของ Louis Zamperini นักกีฬาโอลิมปิคที่ลงแข่งวิ่งมาราธอนเชื้อสายอิตาลีและมีชื่อเสียงในฐานะนักกีฬา เขาถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามโลก ช่วง ปี 1941 เขาทำหน้าที่เป็นพลทิ้งระเบิดของเครื่องบินทิ้งระเบิด B24 แต่โชคร้ายเครื่องบินที่เขาประจำการเกิดตกกลางทะเลในปี 1943 และลอยแพอยู่ 47 วันจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่โชคร้ายยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อแพถูกพบโดยเรือรบญี่ปุ่น เขาและเพื่อนที่เหลือรอดต้องถูกจับไปเป็นเชลยศึกในแคมป์ และถูกทรมานภายในแคมป์อยู่หลายเดือนจนกระทั่งอเมริกาชนะสงครามในปี 1946
ในช่วงแรกที่หนังเปิดมาด้วยด้านสดใส ก่อนที่เครื่องบินจะตก ซึ่งถ้าคิดว่านั่นคือด้านมืดหม่นของเรื่องที่สุดแล้ว จะบอกว่ายังไม่ถึงครึ่งของช่วงครึ่งหลัง หนังสงครามที่โฟกัสไปที่ตัวละครหรือเรื่องราวของเชลยสงคราม เรื่องไหนเรื่องนั้นย่อมนำมาซึ่งน้ำตาและความเศร้าสะเทือนใจจากความหดหู่ที่มีต่อชะตากรรมอันโหดร้ายเกิดที่มนุษย์สักคนจะได้รับ คนดูจะเครียดไปกับการรับรู้ด้านโหดร้ายของสงคราม ความทุกข์ทรมานของเชลยศึกที่โดนปฏิบัติอย่างไร้ศีลธรรม ทั้งการกินการอยู่ ซึ่งพอคนดูจำลองตัวเองเข้าไปเป็นตัวละครที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ก็อดจะคิดตามอย่างสะเทือนใจไม่ได้ว่า ถ้าเป็นเราจะอดทนต่อการถูกทรมานเช่นนั้นได้กี่เดือนกี่ปี (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF)
- นักแสดง: Jack O’Connell, Domhnall Gleeson, Garrett Hedlund, Miyavi, Finn Wittrock, Jai Courtney
- ผู้กำกับ: Angelina Jolie (In the Land of Blood and Honey, By the Sea, First They Killed My Father)
- ทุนสร้าง / รายรับรวมทั่วโลก: 65 / 161 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 50% / 7.2/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 3 รางวัลออสการ์ (ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม)
SAVING PRIVATE RYAN (1997)
ร้องไห้ให้กับชะตากรรมของเหล่าทหารหาญและการเสียสละเพื่อผู้อื่นที่ไม่เคยรู้จัก”
หนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระดับขึ้นหิ้งในตำนานอีกเรื่องของโลกที่กำกับโดยพ่อมดแห่งฮอลลีวูด Steven Spielberg แม้จะชนะถึง 5 สาขารางวัลออสการ์ แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นหนังที่ถูกปล้นออสการ์อย่างค้านสายตาที่สุดเรื่องหนึ่ง (หนังที่ชนะคือ Shakespeare in Love) ถึงอย่างไรก็ตามหนังก็ยังถูกพูดถึงจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะฉากยกพลขึ้นบกในวันดีเดย์ที่ฝ่ายสัมพันธมิตร นำโดยสหรัฐฯ หักเอาฝ่ายอักษะอย่างเยอรมันลงได้จากการโจมตีในครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย และความยอดเยี่ยมของหนังก็เริ่มตั้งแต่ฉากสงครามบนหาดโอมาฮ่า ที่เห็นเนื้อเป็นเนื้อ เลือดเป็นเลือดอย่างสมจริง
ความสะเทือนใจย่อมมาคู่กับหนังสงครามอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ด้วยการผูกเรื่องของ Steven Spielberg และมือเขียนบท Robert Rodat ที่เริ่มต้นเรื่องมาก็เป็นการสูญเสียลูกชาย 3 จาก 4 คนไปในสงครามโลกครั้งนี้ นั่นจึงเป็นเหตุให้กลุ่มทหารที่นำโดย Captain Miller และพลทหารราว 10 คนต้องบุกเข้าไปกลางสนามรบเพื่อช่วยเหลือหรือยืนยันให้ได้ว่า พลทหาร Ryan คนสุดท้ายของครอบครัวนี้ยังอยู่หรือตายไปแล้ว หากจะเปรียบเทียบกันก็เหมือนว่าหน่วยเหนือจะเห็นคุณค่าของชีวิต Ryan มากกว่าชีวิตของกลุ่มพระเอกที่เหลือทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องเสียสละชีวิตกันไปเรื่อย ๆ ตลอดทาง
- ชวนอ่าน “10 อันดับ “หนังสงคราม” ทำเงินสูงที่สุดในโลก“
- ชวนอ่าน “ที่สุดของฉากหนังดัง” ตลอด 25 ปี ที่ขับเคลื่อนโลกและความทรงจำของผู้คน (ตอนที่ 1)“
- นักแสดง: Tom Hanks, Matt Damon, Vin Diesel, Tom Sizemore, Edward Burns, Barry Pepper, Adam Goldberg
- ผู้กำกับ: Steven Spielberg (Schindler’s list, War Horse, Lincoln, War of the World)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 70/482 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB rating: 93% / 8.6/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 5 รางวัล (ผู้กำกับยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม, เอฟเฟกต์และซาวด์เอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม)
- เข้าชิง 6 รางวัล (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Tom Hanks), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม, แต่งหน้าทำผมยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม)
THE GREEN MILE (1999)
ร้องไห้ให้กับอคติของผิวดำที่เจือปนหมู่คนผิวขาว และความอยุติธรรมที่คนหนึ่งคนได้รับจนตาย”
เรื่องราวของ John Coffey ที่บอกเล่าผ่านมุมมองของ Paul Edgecomb หัวหน้าผู้คุมนักโทษในแดนประหารที่เรียกว่า “กรีนไมล์” (คำที่ใช้เรียกทางเดินสีเขียวที่นักโทษเดินผ่านจากห้องขังไปยังห้องประหาร) ในยุคที่เต็มไปด้วยการกดขี่และเหยียดสีผิวในอเมริกา โดยพอลต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานจากโรคในกระเพาะปัสสาวะ แต่ก็อดทนปฏิบัติหน้าที่ตามปกติในฐานะหัวหน้าที่ดีทั้งกับลูกน้องและนักโทษ
จนกระทั่งวันหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยปกติก็ได้เปลี่ยนไป เมื่อ John Coffey นักโทษผิวดำร่างยักษ์ที่ถูกตัดสินประหารชีวิตในคดีข่มขืนและฆ่าเด็กหญิงผิวขาว 2 คนอย่างไม่ยุติธรรมได้ถูกนำตัวเข้ามาคุมขังที่กรีนไมล์แห่งนี้เพื่อรอวันประหาร ซึ่งหนังก็ทำให้คนดูต้องสะเทือนใจไปจนถึงตอนท้ายว่า แท้จริงแล้วเขาคือผู้บริสุทธ์และถูกเข้าใจว่าเป็นฆาตกรเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเท่านั้น หนังสร้างจากนิยายของ Stephen King และผู้กำกับที่ทำหนังจากนิยายของ King มาโดยตลอดอย่าง Frank Darabont อย่าง The Shawshank Redemption (1994) และ The Mist (2007)
- นักแสดง: Tom Hanks, Michael Clarke Duncan, David Morse, Bonnie Hunt, James Cromwell
- ผู้กำกับ: Frank Darabont (The Mist, The Shawshank Redemption, The Majestic)
- ทุนสร้าง/รายร้บรวมทั่วโลก: 60 / 286 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score: 78% / 8.6/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 4 สาขารางวัลออสการ์ (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Michael Clarke Duncan), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม)
(อ่านต่อหน้าถัดไป)
THE IMPOSSIBLE (2012)
ร้องไห้ให้กับชีวิตของผู้พลัดพรากและสูญเสีย จากเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นจริง”
สร้างจากเหตุการณ์จริงของคลื่นยักษ์สึนามิที่ถล่มทะเลอันดามันของประเทศไทยและอีกหลายประเทศแถบนี้ในปี 2004 เรื่องราวของ Maria และ Henry และลูกชายทั้ง 3 คนที่เดินทางมาพักผ่อนชายทะเลในประเทศไทย แต่เช้าวันที่ 26 ธันวาคม หลังคืนวันคริสต์มาสสวรรค์บนดินก็แปรเปลี่ยนเป็นนรก เมื่อคลื่นยักษ์สูงเท่าตึกสามชั้น พุ่งเข้าถล่มทุกสิ่งทุกอย่างแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ทุกคนในครอบครัวต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ความเป็นความตาย
หนังเป็นฝีมือกำกับของ J.A. Bayona ที่ถ่ายทำฉากภัยพิบัติได้อย่างสมจริง ก่อนที่ครึ่งเรื่องหลังจะเน้นไปที่เรื่องราวดราม่าตามหาครอบครัวที่กระจัดกระจายกันไปคนละทิศทาง เชื่อว่าผลงานชิ้นนี้ทำให้เขา ได้รับเลือกมากำกับ Jurassic World: Fallen Kingdom (2018) ในเวลาต่อมา สิ่งที่ทำให้เสียน้ำตาในหนังครึ่งแรกก็คือ การต้องประสบกับเหตุหายนะภัยทางธรรมชาติอย่างไม่คาดฝันจนพ่อแม่ลูกทั้ง 5 คนในครอบครัวต้องพลัดพรากกันไปคนละทิศละทาง ส่วนครึ่งหลังก็เสียน้ำตาให้กับความโชคดีที่พวกเขาได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง
- ชวนอ่าน “รู้หรือไม่? หนังฮอลลีวูดที่เข้ามาถ่ายทำที่ไทย ในรอบ 20 ปีมานี้มีเรื่องอะไรบ้าง“
- ชวนอ่าน “รวมลิสต์หนัง “โลกแตก” ที่ต้องดูก่อนตาย“
- นักแสดง: Naomi Watts, Ewan McGregor, Tom Holland, Samuel Joslin
- ผู้กำกับ: J.A. Bayona (Jurassic World: Fallen Kingdom, The Orphanage, A Monster Calls)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 25 / 100 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 81% / 7.6/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 1 สาขารางวัล (นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Naomi Watts))
THE THEORY OF EVERYTHING (2014)
ร้องไห้ให้กับชีวิตจริงของชายผู้ป่วยเป็นโรคร้าย แต่ได้คู่ชีวิตที่ดีมากำลังและความอบอุ่นในหัวใจ”
หนังเป็นเรื่องราวชีวิตรักของ Stephen Hawking นักจักรวาลศาสตร์ชื่อดัง ผู้เป็นที่รู้จักจากทฤษฎีหลุมดำ กับ Jane Wilde ที่พบรักกันตั้งแต่สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ขณะที่ Hawking เริ่มเป็นโรคเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อมและกล้ามเนื้ออ่อนแรง ที่ตอนนั้นหมอบอกว่า Hawking อยู่ได้แค่ 2 ปี ทั้งคู่ใช้ความรักชนะทุกอุปสรรคและก็ฝ่าฟันจนอยู่ด้วยกันมาถึง 25 ปี ก่อนที่จะหย่าร้างกัน
ส่วน Hawking ก็มีชีวิตอยู่มาได้ในสภาพเป็นอัมพาตจนเสียชีวิตไปเมื่อปี 2018 ด้วยวัย 76 ปี ตลอดมาเขาทำได้เพียงขยับนิ้วกับกะพริบตา ต้องอาศัยรถที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ในการเคลื่อนไหว และใช้เครื่องช่วยพูดผ่านตัวอักษรในการสื่อสาร เขาคงยังทำงานด้านวิทยาศาสตร์และด้านวิชาการจนเป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 นี่คือหนังที่สร้างจากเรื่องราวอมตะของรักแท้ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่ตกอยู่ในสถานะเช่นพระเอกจะได้เจอกับความรักที่สวยงามกว่าค่อนชีวิตเช่นนี้
- นักแสดง: Eddie Redmayne, Felicity Jones, Tom Prior, David Thewlis, Emily Watson
- ผู้กำกับ: James Marsh (King of Thieves, Man on Wire)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 15 / 123 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 80% / 7.7/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 1 สาขารางวัล (นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Eddie Redmayne))
- เข้าขิง 4 สาขารางวัล (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Felicity Jones), บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
THE TIME TRAVELLER’S WIFE (2009)
ร้องไห้ให้กับความรักที่สวยงามแต่มีเงื่อนไข และการหมดอายุขัยก่อนเวลา”
หนังที่สร้างจากนิยายดังของ Audrey Niffenegger ที่กลายเป็นหนังรักสุดซึ้งเกี่ยวกับโลกคู่ขนานในมิติเวลา ที่นางเอกใช้ชีวิตตามเส้นเวลาปกติ แต่พระเอกกลับมีชีวิตบนเส้นเวลาที่กระโดดข้ามไปมา Henry บรรณารักษ์หนุ่มผู้เกิดมาพร้อมกับ “ยีนผิดปกติ” ที่ทำให้ชีวิตของเขามีลำดับเวลาที่ผิดเพี้ยน ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมได้ว่าจะเดินทางไปในเวลาไหนหรือที่ใด ทุกครั้งที่เขาเดินทางท่องเวลา เขามักจะได้เจอกับ Clare
เธอได้พบเจอ Henry ตั้งแต่เธออายุ 6 ขวบ ในขณะที่ Henry เป็นชายหนุ่มกลางคนที่มาจากอนาคต หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้พบกันเสมอ รวมทั้งยังบอกเธอเอาไว้อีกว่า ในอนาคตเขาคือสามีของเธอ Henry กลายเป็นรักแรกและรักเดียวของ Clare ที่ผ่านทั้งทุกข์สุขไปด้วยกันตามแบบฉบับของพวกเขา ซึ่งคนดูก็จะได้เสียน้ำตาไปกับความรักที่เต็มไปด้วยอุปสรรคเรื่อง “เวลา” ของพวกเขา แต่จุดที่ทำให้เสียน้ำตามากที่สุดก็คือ ไคลแมกซ์ที่ทำให้ Clare ได้คำตอบว่า ทำไม Henry ในวัยชรา ถึงไม่เคยย้อนเวลากลับมาหาเธอเลย?
ชวนอ่าน “ดูครบทุกเรื่องหรือยัง? “หนังโลกคู่ขนาน” ที่คอหนังตัวจริง ต้องดูสักครั้งในชีวิต“
- นักแสดง: Rachel McAdams, Eric Bana, Ron Livingston, Stephen Tobolowsky
- ผู้กำกับ: Robert Schwentke (Insurgent, RED, Flightplan)
- ทุนสร้าง/รายได้ทั่วโลก: 39 / 101 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 39% / 7.1/10
(อ่านต่อหน้าถัดไป)
ATONEMENT (2007)
ร้องไห้ให้กับชะตะกรรมอันพลิกผัน เพราะความอิจฉาริษยาของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง”
เรื่องราวของ Briony Tallis น้องสาวตัวแสบที่อิจฉาพี่สาวจนสุดท้ายเรื่องราวนำไปสู่โศกนาฏกรรมเกินกว่าใครจะคาดคิด เมื่อโชคชะตาได้เล่นตลกกับชะตากรรมของคู่รักคู่หนึ่งในช่วงแรกรัก เกิดเหตุข่มขืนในคฤหาสถ์ผู้ดีอังกฤษ และ Briony ลูกสาวคนเล็กของบ้านยืนยันเสียงแข็งว่าผู้กระทำคือคนรักของพี่สาว ทั้งที่ไม่เห็นกับตาและไม่ใช่ความจริง ด้วยความไม่เดียงสาของเด็กแก่แดดแก่ลม จึงนำพาชีวิตผู้ถูกกล่าวหาสู่สงครามและพี่สาวของเธอต้องมีชีวิตรักที่อาภัพและหม่นหมองไปตลอดชีวิต โดยคนดูก็จะได้เป็นประจักษ์พยานกับเหตุการณ์อันน่ารันทดนี้ไปด้วย
- นักแสดง: James McAvoy, Keira Knightley, Saoirse Ronan, Juno Temple, Benedict Cumberbatch
- ผู้กำกับ: Joe Wright (Darkest Hour, Hanna, Pride & Prejuduce, Pan)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 30 / 129 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 83% / 7.8/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 1 สาขารางวัล (เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
- เข้าชิง 6 สาขารางวัล (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Saoirse Ronan), บทภาพยนต์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม)
A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD (2019)
ร้องไห้ให้กับบาดแผลอันร้าวรานในใจ และวิธีการแก้ปัญหาด้วยการคิดบวก”
หนังสร้างจากเรื่องจริงของ Fred Rogers ผู้ดำเนินรายการ MisterRogers และ MisterRogers’ Neighborhood ในช่วงปี 1968-2001 เล่าเรื่องโดยมีตัวละคร Lloyd Vogel เป็นศูนย์กลาง เขาเป็นคอลัมนิสต์ในนิตยสาร Esquire ซึ่งงานเขียนบทสัมภาษณ์ของเขา มักเป็นแนวล้วงลึกหาความจริงจากคนถูกสัมภาษณ์จนเขาติดนิสัยการเป็นคนชอบตัดสินและมองหาแง่ร้ายในตัวคนอื่นอยู่เสมอ เขาได้หวนกลับมาเจอกับพ่อวัยชราที่ทิ้งเขากับแม่และน้องสาวไปตั้งแต่เด็กจนกระทั่งแม่ตาย ผ่านมา 20 ปี พ่อพยายามจะกลับเข้ามาในชีวิตของเขาซึ่งก็สร้างความกระอักกระอ่วนให้อย่างมาก ต่อมา บก.ก็ได้มอบหมายให้ Lloyd ไปสัมภาษณ์ Fred Rogers พิธีกรรายการเด็กวัยชราที่เขาไม่ศรัทธาเลยเพื่อลงในฉบับ “ฮีโร” ปี 1998 หลังจากนั้นหนังก็ทำให้ Lloyd ได้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงมุมมองและทัศนคติการใช้ชีวิตทีละน้อย ผ่านการให้กำลังใจด้วยการตั้งคำถามและการใช้ชีวิตของ Rogers
หนังได้ยกระดับคุณค่าให้แก่ “หัวใจที่ตรากตรำและร้าวราน” ของ Lloyd ซึ่งแบกภาระอันหนักอึ้ง เขาทำหน้าที่แทนคนดูที่ต่างก็มีสัมภาระที่อยากลืมกลับต้องจำ รวมถึงฝันร้ายที่วันดีคืนดีก็ตามกลับมาหลอกหลอน ซึ่งคนดูอาจจะน้ำตารื้นไปกับวิธีการแนะนำการแก้ปัญหาชีวิตของ Fred เพื่อมอบทัศคติที่ดีให้ Lloyd โดยอ้อม (และกับคนดูด้วยในเวลาเดียวกัน) ทำให้ผู้ชมที่กำลังค้นหาความหมายของชีวิต หรือคนที่กำลังหลงทางกับปัญหาในความสัมพันธ์อาจได้ค้นพบทางออกและความหมายของชีวิตที่ดีขึ้น และอาจได้ร้องไห้ให้กับเรื่องเก่า ๆ ในวันวานของตัวเอง เมื่อหนังจบและไฟในโรง (สำหรับคนที่เคยชมในโรง) สว่างขึ้นมา (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF)
- นักแสดง: Tom Hanks, Matthew Rhys, Chris Cooper, Susan Kelechi Watson, Maryann Plunkett
- ผู้กำกับ: Marielle Heller (Can You Ever Forgive Me?, The Diary of a Teenage Girl)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 25 / 67 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 95% / 7.3/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 1 รางวัล (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Tom Hanks))
THE TRUMAN SHOW (1998)
ร้องไห้ให้กับผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกหลอกมาทั้งชีวิต และอิสระภาพที่เขาได้รับ”
Truman Burbank ใช้ชีวิตอย่างอบอุ่นมีความสุขในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เขาไม่มีโอกาสได้ออกนอกเมืองแห่งนี้ เมื่อจะไปต่างประเทศหรือต่างเมืองก็ต้องมีเหตุผลสักอย่างให้ไม่ได้ไป วันหนึ่งก็มีเรื่องเซอร์ไพร์ส เมื่อเขาพบว่ามี “กล้องถ่ายวิดีโอ” ตกมาจากท้องฟ้า และเขาก็เกิดได้ยินเสียงเสียงประหลาดผ่านวิทยุเหมือนเป็นการรายงานกิจวัตรประจำวันของเขา เขาจึงเริ่มเอะใจว่า มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล Truman ค่อย ๆ สืบรู้ว่า เขากำลังเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่ถูกถ่ายทำอยู่ในโรงถ่ายมาตลอดทั้งชีวิต เขาจึงพยายามหนีออกจากที่นี่แบบไม่ให้ทีมถ่ายรายการรู้ตัว แต่เมื่อใดที่เขาออกจากสคริปต์ ก็จะมีเหตุการณ์ประหลาดต่าง ๆ บีบบังคับให้เขาต้องใช้ชีวิตแบบเดิมตามที่บทกำหนดโดยไม่รู้ตัว
หนังตลกร้ายแนวคิดแหวกแนวที่ทำให้ใคร ๆ ที่เคยได้ดูต้องเสียน้ำตา โดยเฉพาะให้กับประเด็นที่หนังเปรียบเปรยมนุษย์อย่าง Truman ให้เป็นเสมือนวัตถุหรือสินค้าชิ้นหนึ่งอย่างแยบคาย เช่นเดียวกับที่มีการบูชาศิลปินดาราในทุกยุคทุกสมัยอย่างไม่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนนั้น ๆ มากกว่าภาพลักษณ์ที่ถูกเสริมเติมแต่ง กับในช่วงไคลแม็กซ์ คนดูก็ต้องร่วมลุ้นไปกับ Truman และบทสรุปก็ทำให้ทุกคนที่เอาใจช่วยเขาต้องเสียน้ำตา
- นักแสดง: Jim Carrey, Laura Linney, Ed Harris, Noah Emmerich, Natascha McElhone
- ผู้กำกับ: Peter Weir (Master and Commander, Witness, The Way Back)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 60 / 264 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 95% / 8.1/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 3 สาขารางวัล (ผู้กำกับยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Ed Harris), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
(อ่านจบแล้วต่อตอนที่ 2 ได้ที่นี่)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส