ปี 2020 มีแนวโน้มสูงที่จะกลายเป็นปีที่ไม่มีหนังจากจักรวาลมาร์เวลเข้าฉายเลย หลังจากหนังฟอร์มยักษ์ที่เริ่มเข้าฉายภายใต้สถานการณ์โควิดทั้ง Tenet และ Mulan ทำรายได้ไม่เข้าเป้า (เรื่องหลังยังพอไปหวังได้จากแพลตฟอร์มสตรีมมิง Disney+) ทำให้ Black Widow ที่เดิมจะเข้าฉายปลายเดือนตุลาคมก็อาจจะเลื่อนออกไป ทำให้ปีนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นปีพักเบรกให้ได้คิดถึงกัน หลังจากปีที่แล้วเล่นใหญ่กันไปกับ Avengers: Endgame แต่ซีรีส์นั้นเดินเครื่องกลับมาถ่ายทำเต็มกำลังหลายเรื่องแล้ว
หากจะมองย้อนกลับไปยังหนังทั้ง 23 เรื่องตลอด 12 ปี ก็มีบางแง่มุมที่ “ปังไม่ไหว” หมายถึง ทำได้ดีและประสบความสำเร็จชนิดที่หนังจากค่ายอื่น ๆ ทำได้แต่มองตาปริบ ๆ เพราะเลียนแบบไม่ได้ และเชื่อว่าในเฟสต่อ ๆ ไปของจักรวาลมาร์เวลก็คงมีปรากฏการณ์แบบนี้มาถล่มตารางหนังทำเงินอีก และก็มีที่ “อย่าหาทำ (อีก) ด้วยเช่นกัน ที่ Marvels Studios ก็คงจะได้เรียนรู้และไม่หวนไปซ้ำรอยทำผิดซ้ำ 5 เรื่อง “ปังไม่ไหว” และ 5 เรื่อง “อย่าหาทำ(อีก)” มีอะไรบ้าง What the Fact ขอนำเสนอตามด้านล่างนี้เลย
อย่าหาทำ (อีก): หนังที่ Thor ปรากฏตัว ดีครึ่ง เห่ยครึ่ง
ความโชคดีของ Thor อย่างนึงคือการพลิกตัวกลับได้ทันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะ 2 ภาคแรกอย่าง Thor (2011) และ Thor: The Dark World (2013) แม้จะทำรายได้ดีพอประมาณ แต่เสียงวิจารณ์กลับเข้าขั้นย่ำแย่ ยิ่งพอเอามาเทียบกับหนังของทีม Avengers เรื่องอื่น ๆ แล้วก็ยิ่งแล้วใหญ่ คาดว่าจะเป็นหนัง 2 เรื่องที่แฟน ๆ อยากกลับไปดูซ้ำน้อยที่สุด เพราะการเดินเรื่องที่ธรรมดาและไม่มีจุดเด่นให้เป็นที่พูดถึง (รวมถึงบทของ Thor ใน Avengers 2 ภาคแรกด้วย) จนมาถึงภาค 3 Ragnarok (2017) และ Avengers: Endgame นี่เอง ที่ Thor ได้กลายเป็นจอมขโมยซีนกับบทสุดกวน ที่แฟน ๆ ก็คาดหวังว่าจะได้เห็นอีกในภาคต่อไป Thor: Love and Thunder อย่ากลับไปเป็นเหมือน 2 ภาคแรกเป็นพอ
อย่าหาทำ (อีก): The Incredible Hulk
หนังที่ได้เข้าชิงหนังห่วยในบรรดาทั้งหมดของหนังมาร์เวลอย่าง The Incredible Hulk (2008) ภาคแรกของ Hulk ในจักรวาล Marvel รับบทโดย Edward Norton ที่ทุกคนอยากจะทำเป็นลืม ๆ มันไปซะ จนกระทั่งต้องหานักแสดงใหม่อย่าง Mark Ruffalo มาล้างตาภาพเดิม หากพิจารณาในแง่ของรายได้ในสหรัฐฯ บนตารางหนังทำเงิน เรื่องนี้ที่ทำรายได้ต่ำที่สุดโดยทำรายได้ไปต่ำสุดที่ 134 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 150 ล้านเหรียญฯ จึงเรียกได้ว่าขาดทุนในบ้าน กลายเป็นหนังของ MCU เพียงเรื่องเดียวที่นับว่าขาดทุนหากมองรายได้เฉพาะในสหรัฐฯ จะว่าไปแล้วหนังก็ไม่ได้ดูไม่สนุกจนทนรับไม่ได้ เพียงแต่ว่ามันแทบไม่มีอะไรใหม่ไปจากฉบับ Hulk (2003) ของ Ang Lee เลย (ซึ่งเรื่องนั้นก็ขาดทุนเช่นกัน)
อย่าหาทำ (อีก): ขาดความหลากหลายทางเพศและสีผิว
ต่อข้อกล่าวหานี้ Kevin Feige หัวเรือใหญ่ของ Marvel Studios ก็ได้พยายามออกมาแก้ไขและปรับทิศทางของหนัง MCU ทั้งหมดในเฟสต่อไปให้มีความหลากหลายทางเพศ (รวมไปถึงการมีตัวละครรักร่วมเพศภายในเรื่องอย่างชัดเจน) เชื้อชาติ และศาสนามากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า หนัง MCU นั้นใช้เวลาช่วงแรกไปกับตัวละครผู้ชายผิวขาวอยู่นานพอสมควร
กว่าจะมีหนังฮีโรผิวดำอย่าง Black Panther (2018) ก็ผ่านมาถึงเรื่องที่ 17 และกว่าจะมีหนังฮีโรหญิงอย่าง Captain Marvel (2019) ก็ผ่านมาถึงเรื่องที่ 21 จากทั้งหมด 23 เรื่อง แม้ว่าจะสูญเสีย Chadwick Boseman ไป แต่เชื่อว่า Black Panther จะได้ไปต่อ รวมถึงจะได้เห็นตัวละครหญิงขึ้นมาเป็นตัวละครหลักทั้งภาคต่อของ Captain Marvel หนังนำเดี่ยวอย่าง Black Widow หรือซีรีส์ที่มีตัวละครนำเป็นผู้หญิงอย่าง She-Hulk และ Ms. Marvel ที่เป็นตัวละครเด็กวัยรุ่นหญิงมุสลิม เชื้อชาติปากีสถาน รวมถึง The Eternals ที่จะมีซูเปอร์ฮีโรเกย์ภายในเรื่องด้วย
อย่าหาทำ (อีก): เนื้อเรื่องเรียบง่ายและจำเจเกินไป
อีกหนึ่งเรื่องที่หนังเรื่องต่อ ๆ ไปของ MCU ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปให้ได้ก็คือ การหลีกหนีจากความจำเจและสูตรสำเร็จของเรื่องราวที่ “เล่าง่าย” เกินไป ส่วนประกอบของเรื่องราวที่ว่าก็เช่น ตัวร้ายที่พบจุดจบง่าย ๆ (ซึ่งจะได้เล่าในข้อถัดไป) หรือเรื่องราวที่เดินตามรอยภาคแรกจนแทบจะเป็นเรื่องเดียวกันอย่างเช่น Iron Man 2 (2010), Thor 2 (2013) หรือ Avengers: Age of Ultron (2015)
จะว่าไปแล้วหนังเหล่านี้ก็ไม่ได้ขี้เหร่ แต่พอมาเทียบกับหนังเรื่องอื่น ๆ หรือกับความคาดหวังที่แฟน ๆ รอชมให้หนังสนุกกว่าภาคก่อน ที่หนังทำไม่ได้ถึงจุดนั้นแล้วก็ทำให้แฟน ๆ อดผิดหวังไม่ได้ แต่ปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไขแล้วเมื่อดูจากรายชื่อผู้กำกับที่จะรับผิดชอบหนังในเฟส 4 ที่มี Taika Waititi ผู้กำกับมากสีสัน, Sam Raimi ผู้คร่ำหวอดในการสร้างหนังสยองขวัญ, Ryan Coogler ที่เก่งทำหนังดราม่า และทีมผู้กำกับชุดใหญ่ที่จะมากำกับซีรีส์ทาง Disney+ ก็บอกเลยว่า หนังไม่เหลือความจำเจอยู่แน่นอน
อย่าหาทำ (อีก): ตัวร้ายที่ไม่เก่งเอาเสียเลย
ตามภาพตัวละครที่ปรากฏนี้น่าจะเป็นตัวร้ายที่ “อ่อน” ที่สุดแล้วในหนังมาร์เวลทั้งหมด ซึ่งก็ทำให้หนังถูกดรอปความสนุกลงไปด้วยในตัวเอง ถ้าไม่นับ Thanos ที่ถูกปูมาให้เป็นมหาวายร้ายสุดแกร่งที่โค่นยังไงก็ไม่ลง หรือ Kilmonger จอมเคียดแค้น ใน Black Panther (2018), หรือ Vulture สุดจิตใน Spider-Man: Homecoming (2017) หรือวายร้ายที่โดดเด่นมาตั้งแต่เรื่องแรก ๆ และกำลังจะมีซีรีส์แยกเดี่ยวเป็นของตัวเองอย่าง Loki จาก Thor
นอกนั้นก็มีแต่ตัวร้ายที่แบนและคาดเดาได้ง่ายทั้งหมด อย่างเช่น Ivan Vanko ที่รับบทโดยนักแสดงมากฝีมือ Mickey Rourke ใน Iron Man 2 (2010) และ Yon-Rogg รับบทโดย Jude Law ใน Captain Marvel (2019) ที่แพ้ง่ายไปหน่อย รวมถึง Ronan ของนักแสดง Lee Pace ที่เป็นตัวร้ายแบบการ์ตูน ๆ ปรากฏตัวใน Guardians of the Galaxy (2014) และ Captain Marvel (2019)
(อ่านต่อหน้าถัดไป)
ปังไม่ไหว: ดูซ้ำใหม่ได้อีกเสมอ
หนึ่งสิ่งที่หนังบล็อกบลัสเตอร์หรือหนังแมสเมนสตรีมจะต้องทำให้ได้ก็คือ การเรียกผู้ชมให้เข้าไปดูหนังในโรงให้ได้มากกว่า 1 รอบ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับหนัง ซึ่งหนังมาร์เวลหลาย ๆ เรื่องก็ทำแบบนั้นได้สำเร็จ เพราะแม้ว่าแฟน ๆ ที่ได้ชมจะรู้เรื่องไปแล้ว แต่ก็ยังอยากจะไปสัมผัสโมเมนต์สุดเท่ น่าขนลุก หรือชวนให้ต้องสะเทือนใจ เช่นฉาก Assemble ของเหล่า Avengers หรือฉากเสียสละชีวิตดีดนิ้วของ Iron Man ใน Endgame (2019) ไม่เชื่อลองดูตอนที่เปิดมาเจอหนังทางช่องทีวีที่มีการฉายซ้ำ เรา ๆ ก็นั่งดูหนังมาร์เวลอีกครั้งจนจบเรื่องอยู่นั่นเอง ส่วนหนึ่งก็ต้องชมคุณภาพของหนังด้วยที่หากดูคะแนนของเว็บ Rotten Tomatoes คะแนนต่ำสุดอย่างเรื่อง Thor 2 (2013) ก็ยังได้คะแนนมะเขือสดที่ 67%
ปังไม่ไหว: เหล่าฮีโรและวายร้าย Thanos
นับจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีหนังซูเปอร์ฮีโรเรื่องไหนที่ทำฉากรวมพบประจัญบาน Assemble ได้อย่างที่ MCU ทำกับทุก ๆ ภาคของ Avengers (ขนาด Justice League (2017) ขอฝั่งดีซีที่ใกล้เคียงที่สุดในฐานะหนังรวมพลฮีโรเหมือนกัน ก็ยังไม่สามารถสร้างฉากนั้นขึ้นมาให้ประทับอยู่ในความทรงจำของคอหนังได้) ทั้งหมดก็เกิดจากการสร้างคาแรกเตอร์ของแต่ละตัวละครให้เป็นที่รักและมีเอกลักษณ์ที่แตกต่าง มีเรื่องราวที่มาที่ไปที่แฟน ๆ อยากจะติดตามและเอาใจช่วย
ทั้ง Iron Man สุดเท่, Captain America ผู้แสนดี, Thor สุดกวน, Black Widow แสนฉลาด, Hawkeye ที่ว่องไว และ Hulk ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ จะเห็นได้เลยว่า ตัวละครทุกตัวถูกออกแบบมาให้ไม่ทับไลน์และแฟน ๆ ก็น่าจะต้องชอบฮีโรสักแบบนึงในนี้ละน่า
ปังไม่ไหว: เรื่องราวที่เชื่อมโยงอย่างเนียน
เคล็ดไม่ลับที่ยังไม่อาจหาใครมาลอกเลียนแบบได้ง่าย ๆ ของ Kevin Feige หัวเรือใหญ่ของ Marvel Studios นั่นก็คือการวางแผนอย่างมีชั้นเชิง ในการปูเรื่องราวของหนังแบบเห็นภาพใหญ่องค์รวม ว่าจะค่อย ๆ ปล่อยตัวละครตัวไหนในหนังเรื่องไหน จับตัวละครตัวไหนข้ามไปมาให้ได้เจอกัน การสร้างรูปแบบเฉพาะกับตอนจบท้ายเครดิตตัวหรือสองตัวเพื่อกระตุ้นความอยากดูให้เกิดกับเรื่องต่อไป ชนิดที่แฟนมาร์เวลเป็นกันทุกคนแน่ ๆ นั่นคือ ดูหนัง MCU ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นหนังฮีโรตัวไหน (เพราะกลัวดูเรื่องต่อไปอย่างขาดช่วง) ภาระหนักจะไปตกอยู่ตอนที่ซีรีส์ Marvel ออกฉายกันแบบรัว ๆ ใน Disney+ ที่คงต้องดูก่อนหนังโรงเรื่องต่อไปจะเข้า เพราะ Feige ขู่ไว้แล้วว่า เรื่องราวทั้งหมดจะดำเนินต่อกัน (ระวังดูไม่รู้เรื่องนั่นเอง!)
ปังไม่ไหว: เอฟเฟกต์อย่างแจ่ม
เรื่องวิชวลเอฟเฟกต์หรือคอมพิวเตอร์กราฟิกของหนัง MCU เกือบทุกเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่หายห่วงได้เลยถึงคุณภาพ ขึ้นชื่อว่าเป็นค่ายหนังซูเปอร์ฮีโรอันดับหนึ่งย่อมไม่ยอมให้ใครมาว่าถึงความไม่เนียนได้ ปกติหนังฟอร์มใหญ่สักเรื่องนั้นจะมีค่าเฉลี่ยการทำช็อต CGI อยู่ที่ 500-1,000 ช็อตต่อเรื่อง แต่หนัง MCU โดยเฉพาะ Avengers นั้น ซัดกันไปถึง 3,000 ช็อตเสมอ และหากย้อนหลังดูตลอด 11 ปีของหนัง MCU นั้นมีแค่ 3 ปีที่ไม่มีหนังจากทีมนี้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาวิชวลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม รวมถึงหนัง Avengers เองก็เข้าชิงทุกภาคยกเว้นภาค 2 Age of Ultron แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีเรื่องไหนของ MCU ที่ได้รางวัลนี้กลับบ้าน
ปังไม่ไหว: หนังระดับปรากฏการณ์
เมื่อพูดถึงหนังระดับปรากฏการณ์ที่เรียกคนดูเข้าโรงไปชมได้เสมอก็มีหนังไม่กี่เรื่อง เช่น Star Wars ที่ภาคหลัง ๆ ก็ชักจะเสื่อมมนต์ขลังไปแล้ว, Avatar ที่ก็รอภาคต่อกันจนลืมความยิ่งใหญ่ของการถล่มรายได้บนตารางหนังทำเงินไปแล้ว, Harry Potter ที่ปิดฉากเรื่องต้นฉบับและ Fantastic Beasts ก็ยังกลับไปเป็นหนังปรากฏการณ์ไม่ได้ ไม่นับหนังซูเปอร์ฮีโร DC ที่ยังไม่เคยไปถึงระดับนั้น
ก็จะมีแต่หนัง MCU นี่เองที่เรื่องไหนเรื่องน้ัน มักจะทำลายสถิติของทั้งจำนวนยอดซื้อตั๋วล่วงหน้า รายได้เปิดตัว รายได้ตลอดโปรแกรม รายได้ในตลาดโลกในเรื่องก่อน ๆ ของตัวเองอยู่เสมอ หนัง Avengers คือหนังที่คอหนังที่ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแฟนมาร์เวลตั้งตารอคอย และยังไงก็ต้องไปชมในสัปดาห์แรก ๆ ที่หนังเข้าฉาย ปรากฏการณ์ Avengers คงต้องเว้นไปอีกถึงปี 2023 เพราะไม่มีรายชื่อหนังรวมทีมฮีโรอยู่ในเฟส 4 แต่ก็คงเป็นเพียงการทิ้งไว้ให้คิดถึง เพราะยังไงเสีย Avengers 5 ก็จะต้องมาและทำเงินถล่มโลกอีกครั้งแน่นอน
ตารางฉายล่าสุดในสหรัฐฯ ของหนังในจักรวาล MCU
- Black Widow (2020): 7 พฤษภาคม 2021
- Shang-Chi And The Legend Of The Ten Rings (2021): 9 กรกฎาคม 2021
- Eternals (2021): 5 พฤศจิกายน 2021
- Spider-Man: Homecoming 3 (2021): ยังไม่ฉายจนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะสงบ
- Thor: Love And Thunder (2022): 11 กุมภาพันธ์ 2022
- Doctor Strange In The Multiverse Of Madness (2022): 25 มีนาคม 2022
- Black Panther 2 (2022): 6 พฤษภาคม 2022
- Captain Marvel 2 (2022): 8 กรกฎาคม 2022
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส