รายงานล่าสุดจาก The Hollywood Reporter ระบุว่า สตูดิโอ MGM (Metro-Goldwyn-Mayer) ผู้สร้างแฟรนไชส์ James Bond ต้องสูญเสียเงินจากการเลื่อนฉาย No Time to Die ไปราว 1 ล้านเหรียญต่อเดือน
เงินดังกล่าวเป็นค่าดอกเบี้ยที่สตูดิโอได้กู้ยืมเงินก้อนโตมาเพื่อลงทุนสร้างภาพยนตร์ (เช่นเดียวกับอีกหลายสตูดิโอในฮอลลีวูด) แต่เนื่องจากการถูกเลื่อนฉายออกไปนั้น ก็ทำให้สตูดิโอไม่สามารถจ่ายคืนเงินกู้จนกว่าจะมีรายได้จากการฉายภาพยนตร์

ก่อนหน้านี้ไม่นาน MGM ได้ออกมาปฏิเสธการฉาย No Time to Die บนบริการสตรีมมิงรายใหญ่อย่าง Netflix หรือ Apple TV+ โดยได้ตั้งราคาในการขายภาพยนตร์เอาไว้สูงถึง 600 ล้านเหรียญ
ทั้งนี้ Hal Vogel (ฮัล โฟเกล) ผู้ดำรงตำแหน่งซีอีโอของบริษัทวิเคราะห์และให้คำปรึกษาด้านการเงิน Vogel Capital Research ได้กล่าวว่า “MGM กำลังเผชิญกับช่วงเวลายากลำบาก รวมถึงทุกสตูดิโอที่ยังมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่หลายเรื่องที่ยังไม่ได้เข้าฉาย และยิ่งทำให้ดอกเบื้ยพอกพูนสูงขึ้น ดังนั้นการนำภาพยนตร์ไปฉายทางสตรีมมิงก็ไม่ใช่หนทางที่บ้าเกินไปนัก เพราะตอนนี้สตูดิโอได้ลงทุนไปมหาศาลแล้ว และยังไม่มีวี่แววจะได้ทุนคืนมาแต่อย่างใด”

นอกเหนือจาก MGM แล้วนั้น ก็ยังมีอีกสตูดิโอที่ประสบปัญหาในลักษณะเดียวกัน หนึ่งในนั้นคือ Warner Bros. ที่เสี่ยงฉาย Tenet ไป และไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ รวมถึง Disney ที่ได้นำ Mulan และ Soul ไปฉายทางสตรีมมิงของตนอย่าง Disney+ แทน แต่ยังพอจะได้รับผลตอบแทนโดยรวมจากบริการสตรีมมิงของตนเองอยู่บ้าง
ข้อมูลอ้างอิง : screenrant
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส