มาโนช พุฒตาล คือชายวัย 64 ปีในวันนี้ที่ผ่านบทบาทหน้าที่อันหลากหลายทั้งศิลปิน นักดนตรี ผู้บริหาร สามี พ่อของลูก 3 คน และในทั้งหมดทั้งมวลสิ่งที่เขามักนิยามตนเองอยู่เสมอคือการเป็น ‘นักเล่าเรื่อง’

ในวันนี้พี่ซัน มาโนช พุฒตาลก็ยังคงทำหน้าที่นั้นอย่างดีด้วยการเป็น ‘นักเล่าเรื่องที่ดี’ ที่พาเราไปสัมผัสกับมิติอันหลากหลายของชีวิตของพี่ซันที่ส่งสะท้อนมายังผู้ฟังอย่างเราด้วยเช่นกัน ผ่านบทสนทนาแห่งศรัทธาความเชื่อโชคชะตาความล้มเหลว ความตายบทพื้นฐานของ.. ความจริง ขอเชิญสัมผัสเรื่องราวจากนักเล่าเรื่องคนนี้ผ่านบทความที่เรียบเรียงจาก ‘รายการป๋าเต็ดทอล์ก EP.44 มาโนช พุฒตาล (PART 1) การแสวงหา ‘ความจริง’ ได้เลยครับ

ผมไปเห็นจากบทสัมภาษณ์ที่พี่เคยพูดไว้ว่า ‘สิ่งที่ผมพยายามจะเป็นให้ได้คือการเจอกับความจริงให้ได้ หาความจริงให้เจอและทำไปตามความเป็นจริง’ มันแปลว่าอะไรครับ

มันแปลว่าเหมือนสมมติเราตั้งใจจะเดินทางไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ไปถึงแล้วตั้งใจจะไปหน่วยนึงชื่อเกิงสะเดิง ถ้าเราไม่รู้ความจริงว่าเกิงสะเดิงอยู่ตรงไหนเราอาจจะไปโผล่หน่วยไหนก็ได้ซึ่งมันไม่ใช่เป้าหมาย เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ทิศทางว่าเราจะไปที่ไหนเราถึงจะเจอสิ่งที่เราจะไป มันใช้ได้กับทุกอย่างสมมติมีคนมาชวนให้เราไปเคลื่อนไหว เราควรจะรู้ความจริงก่อนว่าเคลื่อนไหวเพื่ออะไร ได้อะไรขึ้นมา ปัญหาความจริงคืออะไร ถ้าเราเคลื่อนไหวผิดเพราะมันไม่ใช่ความจริงจะเป็นปัญหาต่อมาสำหรับเราและคนอื่น ๆ มันตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแล้วล่ะครับ ผมชอบนอนอยู่ในห้องนอนกับพ่อแม่และชอบนึกว่าเวลาตายแล้วเราไปจะไปไหน เราจะเป็นยังไง ผมโตมากับวิถีแบบอิสลามเวลาคนตายเค้าจะขุดหลุมและเอาผ้าขาวห่อร่างกายและหย่อนลงไปในหลุมดันไปซอกดินและเอาดินปั้นเป็นกลมๆ  วางทับ ผมมองด้วยความรู้สึกว่ามันจะหนักไหมเนี่ยและผิดหลุมหมดมันจะมืดแค่ไหนอึดอัดแค่ไหน เราไม่รู้ความตายเป็นยังไง เราคิดแบบคนมีชีวิตคนที่หายใจ มันเลยอยากจะรู้ความจริงว่าถ้าตายแล้วจะเป็นยังไง เพราะถ้าเรารู้เราจะลุล่วงแก่ใจ เราจะรู้ว่าเราควรจะทำยังไงต่อไปเราจะได้เลิกกลัวเสียที เพราะฉะนั้นความจริงเป็นเรื่องสำคัญมากกับทุก ๆ อย่างในการที่จะมีชีวิตอยู่

สมมติอย่างเรื่องความตายถ้าเราจะรู้ความจริงได้เราก็จะต้องตายก่อน ระหว่างนั้นถ้าเราไม่รู้ความจริงเราก็ไม่ควรไปทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับความตาย พี่ซันหมายความว่าอย่างนี้รึเปล่าครับ

ผมหมายความหว่าเราต้องหาทางเรียนรู้ เพราะมันมีคำตอบหลายทางแบบคริสต์ อิสลาม แบบพุทธ แบบมหายาน หินยาน มีคนมีคัมภีร์มีลัทธิศาสนาพยายามตอบคำถามนี้อยู่เหมือนกัน ผมเคยคุยกับเด็กวัยรุ่นคนนึงคุยกันไกลถึงไคโรเลยเค้าเป็นนักการศาสนาตอนนี้เป็นเลขานุการของท่าจจุฬาราชมนตรี เค้าก็คุยกับผมเรื่องพระเจ้าหรือเรื่องความตายนี่แหละ ผมก็บอกว่าเรารู้ได้ไงว่ามันเป็นแบบนั้นจริง เขาก็บอกว่าคุณมาโนชรู้ได้ไงว่าในนมมีแคลเซียมจริง ผมก็บอกว่าเอ้าใช้วิธีการทางเคมี เหมือนกันจะรู้ความจริงเรื่องแบบนี้มันมีวิธีการอยู่แต่ทำหรือยัง หมายความว่าเราเข้าสู่กระบวนการที่จะเรียนรู้อย่างแท้จริงหรือยัง ความตายหรือสิ่งที่เราอยากรู้ว่ามีจริงหรือไม่จริงมันอาจจะมีกระบวนการมีขั้นตอนที่เราจะเข้าถึงให้ได้

FAITH ความจริงในศรัทธา

พี่ซันเติบโตมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนา แวดล้อมไปด้วยผู้คนที่มีหลากหลายความเชื่อ การเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ส่งผลอะไรกับพี่ซันบ้าง

คุณตาผมเป็นโต๊ะอิหม่าม การเป็นโต๊ะอิหม่ามมันแบบรับภาระทั้งหน้าที่และความรู้สึกที่ว่าถ้าตนเองพลาดลูกหลานพลาดก็จะเสียชื่อเค้าและการเสียชื่อเรื่องศาสนามันเป็นเรื่องสำคัญมาก โต๊ะอิหม่ามเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณของชุมชนต้องมีความรู้ทางด้านศาสนา คนที่จะเป็นอิหม่ามได้ต้องเป็นคนนำเรื่องนี้ได้ อย่างที่สองที่บอกว่ามีความหลากหลายในชุมชนผมลำพังมุสลิมนี่ก็หลากหลายอยู่แล้ว นี่ยังหลากหลายไปด้วยชาวพุทธ วัดการ้อง วัดศาลาปูน วัดเชิงท่า อยุธยามีวัดมากมายกว่า 3,000 วัด แต่ว่ามุสลิมก็เยอะมากด้วยมีถึง 53 มัสยิด ชุมชนมุสลิมก็ก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว มันก็หลากหลายมีทั้งแนวคิดแบบหัวเก่าและหัวใหม่ ยังอาจจะมีชีอะห์ มีซุนนี มีซูฟี ตอลีกัต อีกหลายอย่างผสมปนเปกันอยู่ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นซุนนีและพุทธที่เยอะมาก  คริสต์มีด้วยมีวัดนักบุญยอเซฟ ตอนผมโตนี่มันเป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมอเมริกันกำลังทะลักเข้าในประเทศไทยช่วงสงครามเวียดนาม หนังอเมริกัน เพลงร็อกอเมริกันมันทะลักเข้ามา และเป็นช่วงจังหวะที่ผมกำลังเติบโตเสียด้วย กำลังพร้อมเปิดรับอะไรแบบนี้ มันส่งผลให้ผมกลายเป็นคนที่ต้องครุ่นคิดเรื่องพวกนี้อย่างหนัก กลายเป็นคนคิดมากอยู่เสมอ เพราะว่าผมอยู่ท่ามกลางความคิดที่แตกต่าง อยู่ท่ามกลางศรัทธาที่มีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะเราเลยต้องคิดอยู่ตลอด สมัยคุณตาคุณยายคุณปู่คุณย่าชุมชนที่ผมอยู่อาศัยเนี่ยมันกลมเกลียวมาก คนอิสลามพุทธคริสต์อยู่รวมกันโดยไม่แบ่งแยก จะแบ่งก็แต่ย่านที่อยู่อาศัยคนนี้บ้านแหลม นั่นบ้านญวนมากกว่าที่จะแบ่งกันเรื่องความเชื่อความศรัทธา แล้วมันก็ผสมกันวัฒนธรรรมพุทธหลายอย่างก็เข้าไปผสมผสานอยู่ในวัฒนธรรมของอิสลามอย่างการต่างงานก็มีแห่ขันหมากมีการยิงปืนขึ้นฟ้า พี่ชายผมก็ไปเป็นเจ้าภาพงานสวดศพของชาวพุทธได้ ในความกลมกลืนมันทำให้ชีวิตเรามีความสุขและเราอยู่กันมาแบบนี้ ในความเป็นเด็กนะมันทำให้เรามีความสนุกที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมของศาสนา มันเต็มไปด้วยมิตรภาพนี่คือในวัยเด็กสักเมื่อ 50-60 ปีที่แล้ว

แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนที่จะขึ้นมาเป็นอิหม่ามก็จะเป็นคนรุ่นใหม่ที่เรียนจบมาจากต่างประเทศจากจอร์แดน จากซาอุ ฯ คนเหล่านี้ก็จะนำแนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งเค้าไม่ได้บอกว่าใหม่แต่บอกว่าเป็นแนวคิดดั้งเดิมมาจากอัลกุรอ่าน แต่คนดั้งเดิมรุ่นเก่าเค้าบอกว่านี่มันเป็นความคิดใหม่นะ แต่คนรุ่นเก่าไม่กล้าถกเถียงกันคนรุ่นใหม่เพราะไม่เคยไปเรียนเมืองนอก อาจจะแปลกุรอ่านได้ไม่แม่นยำเท่า แล้วมันจะเป็นการเสียหน้ามากถ้าไปเถียงกับเค้า เช่นเค้าบอกต้องคลุมฮิญาบ ย้อนไปเมื่อ 40-50 ปีที่แล้วไม่มีใครคลุมฮิญาบเลยนะ แล้วสวยเลยไว้ผมกันแต่ว่ามีความเป็นมุสลิมนะ ความเป็นมุสลิมวัดกันตรงไหนได้บ้าง

รุ่นคุณตาผมก็สอนในแง่ว่าหลักการมันมีอยู่ 2 หลัก คือ หลักปฏิบัติกับหลักเชื่อหลักศรัทธา หลักศรัทธามีรายละเอียด 6 ข้อเช่น ต้องมีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ศรัทธาในศาสดาที่ท่านส่งมา ต้องศรัทธาในวันสิ้นโลก ต้องศรัทธาในการมีอยู่ของนรกสวรรค์ ศรัทธาว่าทุกสรรพสิ่งไม่ได้เกิดขึ้นเองแต่พระเจ้ากำหนด ส่วนหลักปฏิบัติก็จะมีละหมาดวันละ 5 เวลา ถือศีลอดปีละ 30 วัน ออกซะกาตสมมติเต็ดมีเงินอยู่ล้านนึงเต็ดต้องแบ่งมา 25,000 บาทแบ่งในทางที่ถูกต้อง แบ่งให้เด็ก แบ่งให้แม่หม้าย แบ่งให้ผู้ที่ลำบาก เหมือนภาษีเลย แต่เป็นภาษีทางจิตวิญญาณเป็นข้อบังคับ มุสลิมในอดีตที่ผมอยู่มาก็ทำแบบนี้ทั้งหมดตามหลักการที่จะเป็นมุสลิมที่ดี แต่ว่าพวกรายละเอียดเช่นคลุมฮิญาบ

การประกอบพิธีอย่างที่ผมเล่ามาแล้วเช่นนั่งร่วมโต๊ะกับชาวพุทธแล้วเค้ากินหมู เราก็ไม่รู้สึกอะไรเลย เราอยู่ด้วยกันแบบนี้แต่พอเด็กรุ่นใหม่ที่เข้ามามันเปลี่ยนแปลงเยอะ การเปลี่ยนแปลงมันนำมาซึ่งความอิหลักอิเหลื่อในความรู้สึกของผมว่ามันไม่สนุกแล้วอ่ะ ชักเริ่มมีความคัดง้างในใจ เป็นคนครุ่นคิดเลยว่าอะไรดีที่สุด ถูกต้องที่สุด รุ่นคุณตาผมผิดหรอ รุ่นเด็กใหม่มันถูกหรอ ถ้าย้อนไปดูหลักการส่วนใหญ่มันมาจากคัมภีร์กุรอ่านกับสองวัตรปฏิบัตรของท่านนะบีมูฮัมหมัดท่านทำอะไรไว้ยังไงดูเป็นหลักการได้ แต่นักวิชาการจะต้องเอาไปตีความอีกหลายอย่าง การตีความมันก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ ผมก็เริ่มนึกว่าคุณตีความผิดพลาดรึเปล่าเรื่องนี้ สมมติว่าตีความว่าดนตรีเป็นสิ่งผิดจริงรึเปล่า ชีอะห์ ซูฟีใช้ดนตรีในการเข้าหาพระเจ้าพวกเค้าผิดหรอ ทำให้ผมกลายเป็นคนพยายามคิดไม่ยอมลงให้อันใดอันหนึ่งและทำให้ผมกลายเป็นคนปรับตัวอย่างมากให้ตัวเองรู้สึกดีด้วย เพื่อให้อยู่กับชุมชนในสังคมของผมให้ได้ด้วย เพราะอิหม่านรุ่นใหม่เค้าก็ต้องเป็นผู้นำจิตวิญญาณของชุมชนถ้าผมไปเอ๊ะอ๊ะอะไรกับเค้ามากพ่อแม่ผมครอบครัวผมก็จะถูกเค้าตำหนิติเตียนได้ ผมกลายเป็นเหมือนสัตว์ที่ปรับตัวตามสภาพของสิ่งแวดล้อม แต่ไมได้แปลว่าเรากะล่อนนกสองหัว เรายังเป็นมาโนช พุฒตาลอยู่ เป็นนาย โมฮัมหมัด ฮาซันอยู่เหมือนเดิม ผมมีเพื่อนสนิทชื่อโชคชัย สามเณรโชคชัยผมก็ต้องคุยกับสามเณรโชคชัยให้รู้เรื่องให้ได้ ผมคุยกับอิหม่ามก็ต้องคุยให้รู้เรื่องให้ได้

ตอนเป็นเด็กเพื่อนก็เอาหมูโยนใส่กล่องข้าวเราแต่มันก็ไม่ได้เป็นการรังแกแบบหมิ่นศาสนาหรอก มันก็แกล้งโยนตุ๊กแกใส่ผู้หญิงเหมือนกัน เค้าไม่ได้หมิ่นศาสนาเราเราก็ไม่ได้หมิ่นศาสนาเค้า ผมก็ต้องปรับตัวอยู่โรงเรียนอยู่กับคนพุทธ ผมก็ต้องทำความเข้าใจศาสนาอื่นอย่างมากแหละ ประเด็นสำคัญเวลาที่ทีมใหม่ ๆ เข้ามา เวลาโต๊ะอิหม่ามเทศนาใช้ไมโครโฟนแล้วมันก็จะออกลำโพงดังไปทั่วชุมชน สิ่งที่เค้าเทศนาบางครั้งมันมีเรื่องแบบว่าล่อแหลมในความเห็นผมนะเช่น เฉพาะมุสลิมเท่านั้นที่จะไม่ต้องตกนรก ผมก็นึกถึงวัดที่อยู่รอบ ๆ เต็มเลยอ่ะ หลวงพี่ได้ยินจะรู้สึกยังไงวะ ใครได้ยินจะรู้สึกยังไงวะว่ากูตกนรกแน่นอน ตรงนี้มันทำให้ผมยิ่งคิดไปใหญ่เลยว่ามันใช่อย่างนี้หรือ

การเปลี่ยนแปลงมันนำมาซึ่งความอิหลักอิเหลื่อในความรู้สึกของผมว่ามันไม่สนุกแล้วอ่ะ ชักเริ่มมีความคัดง้างในใจ เป็นคนครุ่นคิดเลยว่าอะไรดีที่สุด ถูกต้องที่สุด

คำตอบของคณะใหม่ก็อาจบอกว่ายูก็เปลี่ยนศาสนาสิยูก็เลือกสิ คราวนี้มันกลายเป็นเรื่องว่าเราจะต้องเลือกอย่างไรจึงจะถูกที่สุด ผมก็คิดไปว่าชีวิตเหมือนแทงหวยรึเปล่า แทงถูกขึ้นสวรรค์แทงผิดตกนรก ที่พูดแบบนี้ไมได้แปลว่าผมหมดศรัทธานะ ผมยิ่งศรัทธายิ่งเรียนรู้ เพราะว่าผมสงสัยมีคนกว่า 1800 ล้านคนทั่วโลกที่นับถือศาสนาอิสลาม และในนั้นตรงมีคนฉลาดลึกซึ้งกว่าผมเป็น 1000 ล้าน และเด็กอย่างผมจะอหังการ์ได้ยังไง แต่ผมก็อยากรู้ของผมต่อ เพราะว่าพระเจ้าก็อนุญาตนะท่านบอกผ่านนบีว่ามนุษย์พึงหาความรู้อยู่เมืองไทยถ้าต้องไปถึงเมืองจีนก็ต้องไปถ้าจะได้ความรู้ล่ะก็ ผมก็เลยถือว่าผมปฏิบัติตามหลักการนะผมพยายามแสวงหาความรู้เพื่อที่จะมาตอบคำถามตัวเอง และไม่ใช่เพื่อจะอหังการ์หรือคัดง้างกับวิถีเดิมแต่เพื่อให้ผมสามารถยืนอยู่บนอยุธยาอยู่บนแผ่นดินไทยอย่างมีความสุขและไม่มีใครมาตำหนิได้ว่ามึงมาอาศัยแผ่นดินนี้อยู่แล้วมาพูดว่ายูเท่านั้นที่ถูกต้องคนอื่นผิดหมดและผมก็เห็นว่าอันนี้ไม่น่าจะถูกต้อง และผมก็เชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้ศาสนามีมลทินด้วย ยกตัวอย่างสมมติเต็ดเป็นพ่อผมและผมรักศรัทธาในตัวเต็ดมาก และผมก็ไปที่โรงเรียนเจอเพื่อนป๋าเต็ดพ่อกูนะเก่งที่สุด ดีที่สุด วิเศษที่สุด ลูกคนอื่นก็จะว่าพ่อมึงเก่งขนาดนี้เชียวหรอ โกรธพ่อเรา เกลียดพ่อเราขึ้นมาทันที ผมก็คิดนี่อาจทำให้คนเกลียดพระเจ้าของเราขึ้นมาแล้วก็ได้ ดีไม่ดีผมมีเรื่องกับเพื่อน เพื่อนเอาก้อนหินมาขว้างหัวผมเอง คิดว่าเต็ดจะดีใจหรอที่ลูกมีเรื่องเพราะเรื่องการภูมิใจในตัวพ่อ มันไม่ควรจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดของใครทั้งนั้นแหละ มันทำให้ผมคิดว่าไม่ได้คุณต้องรู้ให้ถึงที่สุด ไม่รู้จะสุดแค่ไหนแต่พยายามทุกลมหายใจ

ผมพยายามแสวงหาความรู้เพื่อที่จะมาตอบคำถามตัวเอง และไม่ใช่เพื่อจะอหังการ์หรือคัดง้างกับวิถีเดิม

ประเด็นสำคัญมันจึงอยู่ที่ว่าเราควรจะตั้งคำถามได้เพื่อนำไปสู่การหาคำตอบต่อเรื่องอะไรก็ตาม

อันนี้เป็นประเด็นที่ล่อแหลมมากเลยเพราะว่านักการศาสนาเนี่ย มีอยู่ข้อนึงที่สร้างความเจ็บปวดกับผมมากเลย ผมเคยถามคำถามคล้าย ๆ  แบบที่เต็ดบอกกับพี่ชายผมที่เคร่งศาสนามากเลย ไม่ใช่พี่ดำรงนะ พี่ดำรงจะคล้าย ๆ ผม พี่ชายผมก็จะบอกว่าตกนรกนะเนี่ย เรื่องบางเรื่องไม่ต้องถาม คัมภีร์สั่งไว้ให้ทำแล้วทำเลย แต่ผมกลับคิดว่าในนั้นบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้มีเมตตา รู้ทุกสรรพสิ่ง ก็ต้องรู้อยู่แล้วสิว่าเราเป็นใครคิดยังไงศรัทธาอะไร แล้วถ้าเราจะถามคำถามเนี่ยผมไม่คิดว่าพระเจ้าจะใจร้ายที่จะไม่พยายามหาคำตอบให้เรา

THE OPINION ความจริงส่วนตัว

และพี่ซันเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงรึเปล่าครับ

คำถามนี้มันคุยยาวเลยนะ อันแรกถ้าพูดแง่นึงเป็นเรื่องส่วนตัวบางทีเราอาจจะนึกเปรียบเทียบกับอย่างสมมติเต็ดเจอผู้หญิงที่เราไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่แล้วเราไปเผลอถามว่าอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ บางคนโกรธเลยนะ แล้วต่อว่าเราด้วยว่าเสียมารยาททั้ง ๆ ที่เรื่องแค่นี้ผมว่าเป็นเรื่องไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากเท่าไหร่แต่ยังถือว่าเสียมารยาทเลย แต่คำถามว่าพระเจ้ามีอยู่จริงรึเปล่ามันไม่เหมือนกับการไปดูบัตรประชาชนว่าอายุเท่าไหร่ ศาสนาอิสลามเป็นเรื่องระหว่างปัจเจกกับบุคคลและพระเจ้า พระเจ้ามีจริงรึเปล่าจึงเป็นเรื่องระหว่างผมกับท่าน คำถามนี้มันจึงนำไปสู่แล้วเชื่อในพระเจ้ารึเปล่าด้วย ถ้าผมตอบคำถามว่าพระเจ้ามีจริงก็ยังไม่ตอบว่าผมเชื่อในพระเจ้ารึเปล่า เพราะฉะนั้นคำถามนี้มันเลยลากไปไกลว่ามีจริงรึเปล่าแล้วเชื่อไหม

เอาเรื่องมีจริงรึเปล่าก่อน ใครจะตอบคำถามนี้ได้ ถามจริง ๆ ทำไมเต็ดถึงอยากรู้คำถามนี้ แล้วถ้าผมตอบไปแล้วเต็ดเชื่อผมได้หรอแล้วเต็ดจะเอาคำตอบที่ได้จากผมไปใช้ประโยชน์อะไรในชีวิตได้บ้าง เผลอ ๆ จะเอาไปใช้อะไรไม่ได้เลย ทีนี้ถ้าพี่ซันเชื่อแต่เต็ดไม่เชื่อ เต็ดก็อาจจมีคิดขึ้นมานิดหน่อยว่าพี่ซันงมงาย แต่ถ้าเต็ดไม่เชื่อผมก็ไม่เชื่อเต็ดก็จะรู้สึกว่าพี่ซันเจ๋งเว้ย ป๋าเต็ดทอล์กนี่คนดูเป็นล้าน แล้วคนล้านคนมันล้านความคิดถามว่ามันจะนำมาสู่อะไรในสิ่งเหล่านี้กับการตอบคำถามแบบนี้

ผมก็เลยนึกย้อนกลับไปว่ามนุษย์เราอยากรู้จริงหรือว่าพระเจ้ามีจริงรึเปล่า อะไรที่ทำให้เราอยากรู้คำตอบนี้ ผมนึกถึงสมมติถ้าผมเป็นทารกที่คลอดออกมาและถูกทอดทิ้งอยู่กลางป่าแล้วผมก็คงตายเพราะอยู่ไมได้ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แต่เกิดมีฝูงหมาป่ามาเลี้ยงผมแบบเมาคลีผมก็ไม่รู้นะว่าผมจะอยากรู้ว่าพระเจ้ามีจริงรึเปล่า เพราะมันเลี้ยงผมด้วยสัญชาตญาณของหมาป่า ทาร์ซานก็ได้ ทาร์ซานถูกฝูงลิงเอาไปเลี้ยง ทาร์ซานก็นึกว่าตัวเองเหมือนลิงทุกอย่าง ยกเว้นวันนึงไปส่องในแม่น้ำเห็นหน้าแตกต่างจากพวกลิง ผมก็อยากรู้ว่าทาร์ซานอยากจะมีคำถามแบบนี้ในใจเค้ามั้ย

แต่พอเราเป็นมนุษย์กันมาจนถึงทุกวันนี้จนมีความเชื่อมีศาสนามีคัมภีร์มีอะไรต่าง ๆ คำถามนี้กลับกลายเป็นคำถามยอดฮิตที่สุด ผมอ่านสตีเฟ่น ฮอว์คิงบอกว่านี่เป็นคำถามที่ถูกถามมากที่สุดว่าพระเจ้ามีอยู่จริงรึเปล่า ตัวฮอว์คิงตอบว่าสำหรับเค้าเชื่อว่าเป็นผู้จัดการระบบ เอกภพต้องมีคนจัดการสักคนล่ะน่า มันต้องมีการเซ็ตเอาไว้ไม่งั้นระบบมันจะเคลื่อนไหวไปได้ยังไงล่ะ ผมว่าเค้าน่าจะพูดในแง่ว่ามีผู้ให้กำเนิดและอาจจะตีย้อนไปเป็นบิกแบงจุดกำเนิดเอกภพจากไม่มีอะไรเลย พระเจ้าเป็นสิ่งที่มีมาก่อนไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นกาลเวลาอะไร เพราะมีมาก่อนเวลา มีมาก่อนการมีของเวลา เหมือนอธิบายเรื่องแสงสว่างกับความมืด ความมืดคือแสงสว่างหมดไปใช่ไหม จริง ๆ มันไม่ใช่ เพราะว่าตามคัมภีร์พระเจ้าสร้างแสงสว่างก่อน สร้างความมืดทีหลังด้วย ตอนที่ยังไม่มีแสงสว่างมันก็ไม่ใช่ความมืดนะ มันเป็นความว่างเปล่าอะไรบางอย่างซึ่งอธิบายไม่ได้

พอเราคิดในแนวคิดแบบนี้มันครุ่นคิดบ่อยนะว่ามันต้องมี ต้องมีพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งบางคนอาจใช้คำอธิบายว่าเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ แต่มันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เหนือความเข้าใจเรา ในเมื่อเราไม่รู้เลยว่าถ้าไม่มีแล้วจะเป็นยังไง แล้วเราเชื่อว่ามีไว้ก่อนแล้วมันจะเป็นยังไงมุมนึง กับอีกมุมนึงคือผมไม่ใช่ตัวคนเดียว ย้อนกลับไปสังคมบ้านเกิดเมืองนอนผม ผมมีพ่อแม่พี่น้องญาติเต็มไปหมดแล้วทุกคนมีหัวจิตหัวใจ มีความอ่อนไหว เกิดป๋าเต็ดทอล์กออกไปแล้วมีคนมาบอกพี่ชายผมพี่หมาน หมานไอ้ซันน้องมึงแม่งบอกว่าไม่เชื่อในพระเจ้าพี่หมานจะอกหักมั้ยเนี่ย กูเลี้ยงน้องยังไงวะเนี่ย ครูที่สอนกุรอ่านผมจะอกหักมั้ยเนี่ย แล้วผมจะทำให้คนเหล่านี้อกหักไปเพื่ออะไร ผมตอบไปทั้ง ๆ ที่ผมไม่รู้ด้วยเพื่ออะไร เพราฉะนั้นที่ดีที่สุดและผมคิดว่าใกล้เคียงจิตใจของเราในส่วนลึกที่สุด ‘พระเจ้ามีจริง’ และพระเจ้าเนี่ยวางระบบต่าง ๆ เอาไว้ให้

แต่ทีนี้ผมเป็นมุสลิมที่อยู่ในสังคมพุทธ สังคมพุทธไม่ได้พูดเรื่องพระเจ้าอะไรมากนัก หรืออาจะไม่ได้พูดเลย แต่พุทธเราจะพูดเรื่องกรรม การกระทำนำไปสู่ผลที่ตามมา พูดเรื่องทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำใจให้บริสุทธิ์ พูดเรื่องเวียนว่ายตายเกิด การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด มรรคต่าง ๆ ที่จะไปสู่ประตูแห่งการพ้นทุกข์ แต่ไอ้คำว่าเวียนว่ายตายเกิดเนี่ยมันรบกวนจิตใจผม พระถ้ามีการเวียนว่ายตายเกิด ไอ้วงจรนี้มันเริ่มต้นยังไง เริ่มต้นมาจากไหน ก็นำพาผมไปสู่ใครเซ็ตระบบ พระผู้เป็นเจ้าอีกทีนึงละ เพราะฉะนั้นชีวิตเราก็จะคิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ แต่ในแง่ของความศรัทธาแน่นอนผมต้องศรัทธาสิ ถ้าไม่ศรัทธาผมคงไม่นั่งอยู่ตรงนี้แบบนี้ ผมศรัทธาที่จะทำทุกอย่างให้มันให้ตัวเราเองมีคุณภาพชีวิตที่ดี คนที่อยู่รอบตัวเรามีคุณภาพชีวิตที่ดี อยุธยาที่ผมอยู่ ภาคกลาง สยามประเทศ ผมว่าคำพูดเนี่ยเป็นเรื่องสำคัญมากเลย ผมอาจจะไม่ใช่ผู้นำทางความคิดระดับที่แต่ละคำแล้วทุกคนเอาไปทำตาม แต่ว่าเพียงมีส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็เหมือนน้ำผึ้งหยดเดียวแหละ เรื่องดี ๆ คนมักไม่ค่อยเอาไปให้เป็นประโยชน์หรอก แต่เรื่องล่อแหลมคนมักจะเอาไปกระตุ้น ผมเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรที่มันล่อแหลม เพราะจริงๆ  มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับพระเจ้า ไม่ว่าผมจะพูดโกหกหรือพูดจริงมันก็เป็นระหว่างผมกับพระเจ้า ไม่รู้อันนี้ตอบคำถามเต็ดไหม

ป๋าเต็ด : ตอบครับแล้วก็มันทำให้ผมต้องมานั่งทบทวนใหม่ว่า จริง ๆ แม้กระทั่ง ณ ตอนที่ผมถามโต ซิลลี่ฟูลส์ผมก็ถามคำถามเหล่านี้ จริง ๆ ผมไม่ได้อยากรู้หรอกว่าพระเจ้ามีจริงหรือเปล่าหรือพี่ซันเชื่อพระเจ้ารึเปล่า ผมเชื่อว่าหลายคนคงคิดแบบผมว่ามันเป็นเรื่องที่น่าคิดมาก และเราถามไม่ใช่ว่าเราไม่เชื่อหรือไม่คิดว่ามีจริงแต่เราถามเพราะว่ามันมีปริศนาอยู่เยอะเหลือเกินและยิ่งในคำตอบของพี่ซันเมื่อกี๊มันยิ่งตอกย้ำว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่น่าคิดต่อมาก ๆ เลย หลังจากที่ผมทั้งถามคุณโต ถามพี่ซันแล้วก็ จริง ๆ ผมเสิร์ชกูเกิลบ่อย ผมชอบฟังดีเบตระหว่างผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าซึ่งมีการดีเบตมายาวนาน สิ่งนึงที่ผมค้นพบก็คือว่า บางทีเราที่คิดในแบบชาวโลกเนี่ยมักจะต้องคิดว่าทุกอย่างต้องมีคำตอบ ต้องมีคำตอบแบบที่เสิร์ชกูเกิลแล้วต้องเจอคำตอบ 1+1 เราต้องรู้ว่ามันเท่ากับ 2 เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วเมื่อเราถามคำถามแบบนี้มันทำให้เรารู้ว่ามันไม่ใช่ทุกอย่างต้องมีคำตอบแบบ 1+1=2 ซึ่งบางทีมันทำให้คนแบบพวกเรา หมายถึงคนฝั่งที่คิดแบบทางโลกเนี่ยมันทำใจไม่ได้ ไม่ได้สิมันต้องมีคำตอบสิ

ผมว่าคำพูดเนี่ยเป็นเรื่องสำคัญมากเลย มันก็เหมือนน้ำผึ้งหยดเดียวแหละ เรื่องดี ๆ คนมักไม่ค่อยเอาไปให้เป็นประโยชน์หรอก แต่เรื่องล่อแหลมคนมักจะเอาไปกระตุ้น ผมเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรที่มันล่อแหลม

ผมพยายามตอบคำถามพี่นะครับว่าทำไมผมถึงต้องถามคำถามแบบนี้ แต่มันทำให้ต่อไปถ้าผมเจอใครแบบนี้ผมคงไม่ถามคำถามแบบเดิมแต่ผมจะถามว่าพี่ช่วยอธิบายความเป็นพระเจ้าให้ฟังหน่อยซิ พี่ช่วยอธิบายสิ่งนี้หรือความเชื่อลักษณะนี้ให้ฟังหน่อย

ซึ่งถ้าคำถามแบบนี้มันยิ่งตอบยากใหญ่เลยเพราะมันถือว่าเรายังเป็นแค่มนุษย์ สมองแค่นี้ จะบังอาจไม่อธิบายสิ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับนั้นได้หรอ อย่างในศาสนายิวเนี่ยเค้าไม่เอ่ยแม้กระทั่งพระนามของพระเจ้านะ เพราะเค้าถือว่าถ้าเอ่ยพระนามนี่ถือว่าเป็นการแบบไม่คู่ควรน่ะ มันเป็นไปขนาดนั้นเลย ย้อนกลับมาเรื่องมีจริงไม่มีจริงนิดนึง ตัวอย่างในชีวิตประจำวันง่าย ๆ วันนึงผมพาครอบครัวไปหาครอบครัวจังหวัดกระบี่ลูกยังเล็ก ๆ อยู่เลยพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเป็นฤดูฝนแบบนี้พอถึงโรงแรมเปิดหน้าต่างโรงแรมมันมีแต่หมอก ขาวโพลนไปหมดเลย ผมเคยไปมาก่อนแล้วผมรู้ว่าหลังหมอกมีอะไร แต่ลูกผมไม่รู้เพราะไม่เคยไปมาก่อน รุ่งขึ้นหมอกมันไปแล้วเด็ก ๆ ตกใจพ่อมีภูเขาด้วยมาได้ไงอ่ะ แค่หมอกบังเรายังไม่เห็นเลยว่ามีภูเขาอยู่ นี่แค่เรื่องหมอกกับภูเขานะ แล้วนี่มันไม่ใช่เรื่องหมอกกับภูเขาอ่ะ

เราเหมือนกำลังคุยเรื่องหลังหมอก แต่บางคนเค้าเคยไปเห็นมาแล้ว

แต่พอเห็นแล้วว่าเป็นภูเขา เอาเข้าจริงมันอาจจะไม่เป็นภูเขาก็ได้ จากความเป็นภูเขามันคืออะไร ก้อนดินจำนวนนึง ก้อนหิน ต้นไม้ ประเภทนึง ถ้ามันยุบตัวลงมันก็ไม่ใช่ภูเขาอีกต่อไปแล้ว

ขอบคุณพี่ซันมากครับ

ขอบคุณเต็ดที่ถามคำถามอย่างนี้ครับ

ผมเคยไปมาก่อนแล้วผมรู้ว่าหลังหมอกมีอะไร แต่ลูกผมไม่รู้เพราะไม่เคยไปมาก่อน รุ่งขึ้นหมอกมันไปแล้วเด็ก ๆ ตกใจพ่อมีภูเขาด้วยมาได้ไงอ่ะ แค่หมอกบังเรายังไม่เห็นเลยว่ามีภูเขาอยู่ นี่แค่เรื่องหมอกกับภูเขานะ แล้วนี่มันไม่ใช่เรื่องหมอกกับภูเขาอ่ะ

FATE โชคชะตา

ในทางศาสนาเนี่ยผมก็ไม่ใจว่าทางอิสลามเป็นเช่นนี้รึเปล่าแต่ว่าในบางศาสนาจะมีการพูดเรื่องของการมีผู้กำหนดโชคชะตาเราไว้แล้วฟ้าลิขิตไว้แล้วกับอีกทางนึงก็คือตัวเรากำหนดเส้นทางของเราเองพึ่งพาตัวเอง พี่ซันอยู่ฝั่งไหนมากกว่ากัน

ผมเห็นว่าสองเรื่องนี้มันเรื่องเดียวกัน มันอยู่ด้วยกันมันไม่ได้แยกจากกันเพราะว่าถ้ากลับไปสู่ประเด็นพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก เป็นผู้กำหนดทุกอย่าง พระเจ้าสร้างให้เต็ดเป็นคนพึ่งตนเอง พระเจ้าสร้างให้เต็ดมีนิสัยว่าฉันจะทำเพื่อตัวเอง เหมือนคำตอบแรกที่บอกว่าสร้างระบบเอาไว้แล้วเรามาอยู่ในระบบนี้มาอยู่ในห่วงโซ่อาหารนี้ สมมติผมเป็นเสือผมก็ต้องไล่กินเก้งกวาง เก้งกวางก็กินหญ้า หญ้าก็กินปุ๋ย เดี๋ยวเสือตายกลายเป็นปุ๋ย ทั้งหมดพึ่งตนเองหมด ต้นหญ้าก็พึ่งตนเอง กวาง เสือ ก็พึ่งตนเอง แต่พึ่งตนเองผ่านระบบที่ได้กำหนดเอาไว้ และไอ้ระบบที่กำหนดเอาไว้เนี่ยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก เหตุบังเอิญ ดังนั้นเรื่องการพึ่งตนเองกับฟ้ากำหนดฟ้าลิขิตเนี่ย ทางที่ดีเราน่าจะเอามาใช้ร่วมกันเพื่อเป็นประโยชน์กับตัวเราเองและสังคม ให้เรารับรู้ว่าเราต้องสู้ เราต้องทำเต็มที่ ทำสุดความสามารถ ต้องตระหนักด้วยว่าสุดความสามารถแล้วก็ตามแต่มันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเลยก็ได้ ซึ่งผมมีประสบการณ์เรื่องนี้มาตลอดชีวิต ทำเต็มที่แทบทุกอย่าง อาจจะ 90% ของทุกอย่างซึ่งมักจะไม่ประสบความสำเร็จในทางโลก ที่ทางโลกที่เค้าเห็นว่าอย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ อย่างนี้เรียกว่าล้มเหลว ซึ่งอันนี้ก็ถือว่ามันอยู่ในระบบถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ผมก็สู้เต็มที่ ไม่เคยท้อถอย

ถ้าอย่างนั้น พี่ซันมีความเห็นยังไงกับคำว่าพรสวรรค์ครับ

ผมว่ามันเป็นเรื่องจริงนะ อย่างผมเนี่ยอยากเล่นกีตาร์ให้เก่งผมฝึกเวลาเดียวกับเพื่อนเท่ากันเป๊ะเลย เพื่อนมันเก่งกว่า ก็ไม่รู้จะอธิบายตรงไหนแล้ว มันเป็นพรสวรรค์ของเพื่อนคนนั้นเค้าเก่งกว่าจริง ๆ มันเป็นพรสวรรค์รึเปล่าที่บางคนสูงกว่าทำให้เค้าเล่นบาสได้ดีกว่าเรา บางคนนิ้วยาวกว่าเล่นกีตาร์ได้ดีกว่า บางคนร่างกายถูกสร้างมาให้กระดูกแข็งแรงกว่า ผมว่ามันใช้ได้นะคำว่าพรสวรรค์เนี่ย คือเพื่อนผมมันแนะนำดี เราทำให้ดีที่สุดของเรา ไอ้ที่ดีที่สุดนั่นล่ะมันคือสุดยอดแล้วด้วย สมมติเพื่อนผมมันเล่นได้เร็ว 58 โน้ตต่อหนึ่งนาทีแต่ผมเล่นได้ 33 โน้ตต่อหนึ่งนาที แต่ถ้าเราเล่นให้ 33 โน้ตนี้มันแม่นยำ ให้มันเคลียแล้วเรียงให้มันสวยมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าไอ้ 58 โน้ตต่อนาทีเลย

เรื่องการพึ่งตนเองกับฟ้ากำหนดฟ้าลิขิตเนี่ย ทางที่ดีเราน่าจะเอามาใช้ร่วมกันเพื่อเป็นประโยชน์กับตัวเราเองและสังคม ให้เรารับรู้ว่าเราต้องสู้ เราต้องทำเต็มที่ ทำสุดความสามารถ ต้องตระหนักด้วยว่าสุดความสามารถแล้วก็ตามแต่มันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเลยก็ได้

BEING MANOCH PUTTAL ความเป็น…มาโนช พุฒตาล

ในฐานะนักเล่าเรื่องพี่คิดว่าเจ็บปวดแบบไหนมากกว่ากันระหว่างเค้าไม่ฟังเรื่องที่เราเล่าแต่เค้าฟังแต่เข้าใจผิด

ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยถ้าไม่มีใครฟัง มันง่ายมากถ้าไม่ฟังก็เลิกเล่า แต่ผมจะรู้สึกว่ามันลำบากถ้าเล่าแล้วเข้าใจผิด เพราะความเข้าใจผิดมันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเจ็บปวดของผมคนเดียว มันอาจจะนำไปซึ่งความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ความรุนแรง มันไปเรื่อยเลย เพราะฉะนั้นผมระมัดระวังเรื่องนี้และเป็นห่วงเรื่องการเข้าใจผิดบ่อยมาก อย่างล่าสุดผมเพิ่งไลฟ์ยูทูบ แล้วผมก็เล่าเรื่องความกลมเกลียวกันของพุทธกับอิสลามที่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งนึงคือวัดท่าการ้อง อีกฝั่งนึงคือสุเหร่าดารุซซุนนะห์ คือกลมเกลียวเพราะว่าเจ้าอาวาสวัดท่าการ้องกับโต๊ะอิหม่ามสุเหร่านี้เป็นเพื่อนรักกัน แล้วเค้าชอบแซวกันแต่เค้าแซวกันแรงอ่ะ เช่น วันนึงหลวงพี่ก็มาถามอิหม่ามว่าอิหม่ามเคยกินหมูมั้ย อิหม่ามก็เป็นมุสลิมจะกินหมูได้งัย เจ้าอาวาสก็ยุ ลอง ๆ อิหม่ามก็แบบไปแอบลอง วันรุ่งขึ้นมาเจอกัน หลวงพี่ก็ถามเป็นไงอิหม่าม เฮ้ยอร่อยกว่าเนื้อหว่ะ  อิหม่ามก็เอาบ้าง หลวงพี่เป็นพระน่ะเคยลองดูสีกาบ้างมั้ย เฮ้ยชั้นเป็นถึงเจ้าอาวาสมันผิดศีลนะทำไม่ได้หรอก ปาราชิกเลยยิ่งกว่าอาบัติอีก ไปลอง รุ่งขึ้นเจ้าอาวาสเมื่อคืนไม่รู้เกิดอะไรขึ้น คงไปลองมาเจ้าอาวาสก็มาคุยกับโต๊ะอิหม่ามกลางแม่น้ำเจ้าพระยาว่ายน้ำมาคุยกันเลย โต๊ะอิหม่ามก็ถามว่าเป็นไงหลวงพี่ โอ้ยอร่อยกว่าหมูอีก 

คือมันเป็นเรื่องเล่าตลก ๆ ผมเล่าเรื่องนี้ออกสื่อปั๊บ คุณคิดว่าจะมีคนว่าผมหมิ่นศาสนามั้ย จะต้องถูกโจมตีว่าผมสร้างสงครามศาสนารึเปล่า แต่ผมเล่าให้เห็นว่าอารมณ์ขันเนี่ยมันเป็นเรื่องสำคัญ การอยู่ร่วมกันอารมณ์ขันมันสำคัญมาก คุณคิดหรอว่าคนอย่างเจ้าอาวาสที่ดี เจ้าอาวาสวัดนี้ท่านเป็นคนดีอย่างยิ่ง มีหรือว่าคนอย่างท่านจะทำผิด แต่ว่าเค้าแหย่กันเล่น อิหม่ามก็เหมือนกันมีหรืออิหม่ามที่ดีจะไปกินหมู เพราะฉะนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ  หรอก แต่มันเป็นเรื่องเล่าเพื่อสะท้อนว่ามันต้องมีอารมณ์ขันกันบ้าง จะพุทธ อิสลามจะคริสต์ คือคนในสังคมเราขาดอารมณ์ขัน ดันไปขำกันในเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์เรื่องอย่างนี้ก็ขำสิวะ แล้วมันก็สะท้อนว่าเค้าล้อกันเล่นมันไม่มีอะไรหรอก

อย่างผมไปหาดท้ายเหมืองที่จังหวัดพังงา ไปถ่ายรายการทีวี ทำเรื่องเต่ามะเฟืองขึ้นมาไข่และก็มีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าไปนั่งเฝ้านอนเฝ้า 24 ชั่วโมงต่อเนื่องเป็นเดือนกว่าไข่มันจะฟัก เค้าเบื่อ เค้าก็สังเกตชายหาด เค้าก็พบว่ามันมีร้องเท้ามาติดชายหาด เต็ดเชื่อมั้ยขยะที่มาติดชายหาดมีขวดมาจากมัลดีฟ มีขวดมาจากเมียนม่าร์คือดูจากยี่ห้อที่ขวด น้ำดื่มจากมัลดีฟเลย แต่รองเท้าแตะที่มาติดเนี่ยเป็นสิบ ๆ ข้างเลยเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าด้วยความว่างสังเกตเห็นความแตกต่างว่าเกือบ 95% เป็นรองเท้าแตะข้างซ้าย มีข้างขวา หนึ่งข้าง สองข้างเอง ผมก็เลยถ่ายรูปนี้และโพสต์ลงเฟซบุ๊กบอกว่าข้างขวาหายไปไหน แค่นั้นแหละไม่มีอารมณ์ขันกันเลยประชาชน โอ้โหบอกว่าพูดจาหมิ่นเหม่ไปถึงสถาบันเลยอ่ะ มันลากจากเรื่องนี้ไปหาได้อ่ะ มันก็มีแง่คิดเฮ้ยมาสนใจทางคณิตศาสตร์ทางฟิสิกส์ดีกว่าว่ามันเกิดอะไรกับรองเท้าข้างขวา ผมหวังว่าคนจะคิดเห็นแบบนี้ ว่าเกิดจากแรงดึงดูดของโลกรึเปล่า คนถนัดขวารึเปล่า มีน้อยมากเพราะเค้าขาดอารมณ์ขันที่สร้างสรรค์

ผมรู้สึกว่าใจอันเป็นบวกมันจะเปิดรับอารมณ์ขันได้กว้างกว่า แต่ถ้าเกิดใจที่มันอาจจะคิดลบซะเยอะมันก็เลยทำให้บางเรื่องมัน…ผมเป็นคนชอบดู stand up comedy เวลาฝรั่งตลกหยาบคายเนี่ยมันสุด ๆ แต่ทุกคนก็จะเข้าใจว่ามันเป็นการแสดงตลก

หรือแม้แต่คำหยาบนะผมว่าเวลาออกจากปากคนนะมันไม่เหมือนกันคำคำเดียวกันน่ะ ผมรู้จักผู้กำกับหนังคนนึงนะ คุณต้อม เป็นเอก เวลาเค้าพูดนะมันมีเหี้ย ฉิบหาย ตลอดนะ เค้าเจอผมที่เขาใหญ่เค้าเจอรถผม โหรถพี่ซันแม่งเหี้ยจริง ๆ ผมเอารถมาทำเป็นที่นอนไง โหแม่งเท่ชิบหาย คือเค้าไม่ได้ว่าพี่ เค้าชมอยู่ นั่นแหละครับเป็นแบบนี้

พี่ซันเกริ่นมาแล้วล่ะว่ากว่า 90% ในสิ่งที่ทำมันมักจะล้มเหลวในแง่ธุรกิจ ในแง่ยอดขาย ในแง่ชื่อเสียง พี่ซันผิดหวังรึเปล่าเวลามันล้มเหลวและรับมือกับความรู้สึกนั้นอย่างไร

ผมแทบไม่เคยรู้สึก ผมว่าผมไม่เคยรู้สึกเฟลกับความล้มเหลวเลยนะ อย่างตอนที่ผมทำนิตยสารบันเทิงคดีทำมาจนครบประมาณ 10 ปี แล้วยังไงมันก็ต้องเลิกเพราะมันขาดทุน ไม่มีสปอนเซอร์ มันขายไม่ได้ ผมก็เลิกคือเลิก แล้วไม่ได้เจ็บปวดอะไรด้วย ขืนฝืนทนอยู่มันจะเจ็บปวดกว่านี้

มันมีคำอธิบายอยู่ว่า หนึ่งเราทำหนังสือที่ไม่แมสไม่ถูกใจคนอ่าน เพราะมันมีให้เปรียบเทียบง่าย ๆ เพราะว่าคนข้างตัวผมเลยพี่ชายผม คุณดำรง พุฒตาล ส่งเสียผมเรียนจบนิเทศศาสตร์ จุฬา ฯ ซึ่งเป็นคณะที่สอนด้านการสื่อสารมวลชน ทำสื่อ ทำหนังสือ พี่ดำรงผมจบวิทยาลัยครูอยุธยา ไปต่อวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จ ฯ พี่ดำรงทำนิตยสาร ‘คู่สร้างคู่สม’ ยอดขายเค้า 500,000 เล่มต่อฉบับ พี่ดำรงยังบอกเลย ชั้นไม่เห็นต้องไปเรียนนิเทศอย่างแกเลย ชั้นก็ทำแบบนี้ได้

เพราะฉะนั้นการที่ผมล้มเหลวขายไม่ได้เนี่ย ผมไม่รู้สึกเสียใจหรือไม่รู้สึกอะไร แต่รู้สึกแปลกใจหน่อยว่า คนที่เค้าเก่ง ๆ ที่ทำสำเร็จเนี่ยเค้าไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน เค้ารู้ได้ยังไงว่าทำแบบนี้แล้วคนอ่านจะชอบ แต่ผมไม่รู้สึกเสียใจและผมก็ชอบในสิ่งที่ผมทำ ตอบด้วยเพลงหน่อยนึงนะครับสั้น ๆ ว่า อะไรที่ทำให้ผมรู้สึกว่ารับมันได้ผมจะชอบแบบ (เล่นกีตาร์ร้องเพลง) “ท้องฟ้าสีคราม แม่น้ำลำธารยังสวยงาม เมื่อยามเรามอง เป็นสุขเถิดในวันนี้ อย่ารอถึงพรุ่งนี้ ทำดีก็คือ

ทำมันต่อไปอ่ะ เพราะว่าหนังสือขายไม่ออกขาดทุน แต่อย่าให้ถึงกับเป็นหนี้ละกันหยุดซะก่อนที่จะเป็นหนี้แล้วเดินออกไปสิ แม่น้ำ ลำธาร มันยังสวยงามอยู่เลย ท้องฟ้ามันยังสีฟ้า สมัยก่อนมันยังไม่มี pm2.5 สักปี 39 ฟ้ามันยังเป็นฟ้าเมฆมันยังสวยอยู่ มีความสุขเถอะไม่ต้องรอพรุ่งนี้ มีความสุขซะวันนี้ทำดีคือทำของมันต่อไป

แล้วประเด็นอันนึงที่อยู่ในใจผมเสมอมานะ ไม่รู้ถูกรึเปล่านะ ผมชอบคิดว่าการงานที่ผมทำมันไม่ค่อยเป็นการงานเท่าไหร่ มันไม่ค่อยเหมือนกับแบบชาวนาที่เค้าหว่านข้าวบนที่ดิน 50 ไร่ ลงแรงมาตลอดฤดูกาลแล้วถ้าเกิดแมลงมาลงเนี่ย ผมว่าอันนั้นเนี่ยมันเจ็บปวดที่สุดเลย เพราะว่านี่คือการงานจริง ๆ เพราะคุณต้องเอาข้าวไปขายเพื่อเป็นเงินด้วยเพื่อกินด้วย

แต่สิ่งที่ผมทำมันเป็นเพลง มันเป็นนิยายอ่านเล่น มันเป็นรายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ คือถ้าไม่มีหนังสือเหล่านี้คนก็ไม่อดตาย ไม่มีรายการทีวีที่ผมทำ ไม่มีเพลงที่ผมเล่น คนก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเพราะมันไม่ใช่ปัจจัยสี่ ผมมักจะรู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำมันเป็นการละเล่นชนิดหนึ่ง ศิลปินบางคนร่ำรวยมหาศาลในขณะที่ชาวนาที่เกี่ยวข้าวหว่านข้าวไถนาทำงานหนักหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินทำให้เรามีกินกันได้เนี่ย กลับไม่อาจมีชีวิตที่ดีที่มีคุณภาพแบบได้เที่ยวต่างประเทศ ได้ใช้ของแพงกลับไม่มีโอกาสแบบนี้เลยผมก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมนะ ผมพูดอาจจะเหมือนสบประมาทเกินไป จริง ๆ มันมีดีของมันอยู่มันกล่อมเกลาจิตใจ มันทำให้ชาวนานั่นแหละที่เหนื่อยยากเปิดวิทยุฟังระหว่างเกี่ยวข้าวได้มีโอกาสปลดปล่อยตนเอง เหมือนหนังอินเดียคนอินเดียดูหนังเยอะมาก คนอินเดียยากจน หนังมันทำให้เค้ามีชีวิตได้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครจะต้องถูกตำหนิ แต่ผมรู้สึกเองว่าสิ่งที่ผมทำประโยชน์มันน้อยกว่าคนอื่น จะล้มเหลวมันก็ไม่เป็นไรหรอก

“ท้องฟ้าสีคราม แม่น้ำลำธารยังสวยงาม เมื่อยามเรามอง เป็นสุขเถิดในวันนี้ อย่ารอถึงพรุ่งนี้ ทำดีก็คือทำมันต่อไป”

พี่ซันเคยลองคิดแบบนี้มั้ยครับว่าหากวันนึงเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม มันต้องเกิดชุมชนใหม่ขึ้นมาไอ้คนที่มีสกิลแบบพวกเรามันจะมีประโยชน์อะไรรึเปล่า เมื่อเทียบกับช่างไม้วันนี้ดูไม่มีอะไรเท่เลย แต่วันนั้นช่างไม้เราอาจต้องยกเป็นผู้ใหญ่บ้าน

นี่เป็นปัญหาของบ้านเราที่ไม่ให้ค่ากับคนที่ทำผลงานที่มีคุณค่าจริง ๆ เพียงพอ เราไปให้ค่าให้ราคากับบางเรื่องซึ่งมันแทบจะไม่มีประโยชน์ขนาดนั้น ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น เวลาท่อประปาที่บ้านผมแตกถ้าไม่ได้พี่ตี๋มาเนี่ยผมก็ไม่ได้อาบน้ำหรอก แล้วเราจ่ายพี่ตี๋กี่ร้อย ในขณะที่เราไปจ่ายบางสิ่งบางอย่างซื้อตั๋วคอนเสิร์ต 6,000 บาท ผมไปแตะ… (หัวเราะ)

ไม่เป็นไร ๆ พี่มันเรื่องจริง ๆ ถ้าต้องเลือกระหว่างท่อแตกกับตั๋วคอนเสิร์ตผมก็เลือกซ่อมท่อก่อนพี่ ถ้ากลับมาน้ำท่วมครัวก็ไม่ใช่เรื่อง เป็นเรื่องน่าคิดครับ มันทำให้ผมคิดว่าบางทีเราต้องฝึกสกิลอื่นไว้ด้วย พี่ซันล่าสัตว์ได้ พี่ซันเข้าป่าได้ พี่ซันก็น่าจะมีประโยชน์กว่าผมล่ะครับ

แต่ผมก็ไม่เคยล่าสัตว์ ตกปลาก็ไม่ขึ้นอ่ะ ผมไปกลับแม่บ่อยนะตอนเด็ก ๆ แม่ผมตกได้ ผมตกเคยได้ปลาแขยงตาบอดมาตัวนึงได้ เพราะว่ามันตาบอด (หัวเราะ)

วัยรุ่นสมัยนี้ผ่านความล้มเหลว ผ่านความผิดหวังเค้าจะใช้คำว่า ‘move on’ พี่ซันมีความเห็นกับคำว่า ‘move on’ อย่างไรบ้าง

ผมอ้างถึงนิสิตคณะเดียวกับเราชื่อ จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง เวลาคนไปปรึกษาเค้าเรื่องอกหัก จุ้ยเค้าจะแนะนำคำนึงหายใจไว้ก่อน ให้หายใจเข้าไว้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือมีวิตต่อไป เหมือน move on แหละแต่ว่าถ้าผมใช้กับตัวผมเองนะ ผมก็เป็นคนที่จะต้อง move on เสมออ่ะ ต้องดันตัวเองไปข้างหน้าเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่มันจะมีหลักการของผมเอง ยกตัวอย่างถ้าผมทำงานหรือเดินทางแล้วผมไปเจอทางตัน สิ่งแรกที่ผมมักจะทำคือหาทางเลือกอื่น ผมมักไม่ดันทุรังต่อนะ ผมจะหาทางเลือกอื่นแต่ต้องชั่งน้ำหนักด้วยว่าทางเลือกอื่นที่จะไปกับทางที่จะตันเนี่ยถ้าสู้ต่ออันไหนมันคุ้มค่ากว่ากัน แต่ส่วนใหญ่ถ้ามันตันแล้วนะผมจะพยายามหาทางเลือกอื่น แต่ถ้าผมคำนวณแล้วไอ้ทางเลือกอื่นมันไม่ตอบโจทย์นี้  จะจัดการกับทางตันต่อ จัดการยังไงก็ทุ่มสุดพลังทุ่มเต็มที่จะแบบรุนแรงแบบช้า แต่ทุ่มเพื่อให้ทะลุทางตันนี้ไปให้ได้ แต่ทำแล้วมันยังตันอยู่ดี ผมถอย ผมก็หยุด วิธีผมจะเป็นแบบนี้

เหมือนกับยอมรับกับทุกผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

เหมือนกับคำพูดที่ว่ายิงธนู เมียผมเค้าชอบพูดเวลาผมบอกทำเรื่องนี้อยู่ว่าให้ยิงธนูดิ ยิงแล้วไม่ต้องมองว่ามันเข้าเป้ารึเปล่า แต่เราเล็งแล้วนะตอนแรก เล็งเป้าแต่พอปล่อยปั๊บ ไม่ต้องมองมันแล้ว เค้าจะคอยบอกแบบนี้กับผมอยู่บ่อย ๆ

พี่ซันมีความผิดหวัง เจ็บปวดครั้งไหนที่อยากกลับไปแก้บ้างมั้ยครับ

ถ้าความเจ็บปวดความล้มเหลวน่ะ ไม่มีนะที่อยากกลับไปแก้ แต่มีพฤติกรรมที่ถ้าผมย้อนกลับไปแก้ได้ ผมจะย้อนเลย เมื่อก่อนน่ะผมเป็นคนชอบสนุกปาร์ตี้กับเพื่อน และชอบปาร์ตี้ไปจนถึงจุดที่มันเลยความสนุกไปแล้วทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเลยสนุกแล้วนะ สมมติว่าความสนุกขีดสุดอยู่ตรงนี้เราน่าจะหยุดได้แล้ว ผมมักไม่ยอมหยุด จะทะลุขึ้นไปจนมีแต่ความเสียหายเกิดขึ้น เสียสุขภาพ เกิดอุบัติเหตุ

มีอยู่ทีนึงซึ่งมันแย่มากเลย แล้วผมมีเพื่อนมีคนอื่นที่ผมต้องรับผิดชอบอยู่ในรถผม ผมขับรถขับเคลื่อน 4 ล้อมีคนนั่งกับผมชื่อไอ้จู๊ด ซึ่งแบบมีเบียร์อยู่ในมืองสองขวดเลย นั่งข้างหลังอีกสามคนก่อนออกจากกรุงเทพ ฯ เนี่ยจุดหมายปลายทางอยู่ที่ป่าปราณบุรี ชื่อหุบอินทนิล ตอนนั้นอยู่สุชุมวิทซอย 8 สำนักงานไมล์สโตน ตีสาม ทำไมไม่ออกแต่หัวค่ำไม่รู้ อยู่มันจนตีสามแล้วก็ออกกัน แล้วไปถึงเช้า ถึงชะอำประมาณตีห้า โฟร์วีลนี่หว่าก็จอดรถชายหาดเลยแล้วก็ปาร์ตี้ต่อที่ชายหาดจนพระอาทิตย์ขึ้น ทะเลตะวันออกนี่ดูพระอาทิตย์ขึ้นซะหน่อย แต่เราอดนอนมาตลอดคืนเลยนะ ตี 5-6 โมงออกชะอำต่อ ออกหัวหินเพื่อที่จะไปปราณบุรี เส้นทางเป็นทางลูกรังเป็นทางป่า มีแต่ไร่อ้อยตลอดสองทางผมขับเปิดเพลง ‘หมอผีครองเมือง’ สนั่นรถเลย ตอนนั้นเพิ่งทำอัลบั้มเสร็จกำลังคึกเลย ผมสองมือจับพวงมาลัยเนี่ย อีกมือนึงมีคีบบุหรี่เอาไว้ อีกมือนึงถือกระป๋องเครื่องดื่ม ขับอย่างเมามันมาก แล้วแดดประมาณ 9 โมงเช้ามันคงแยงตามันทำให้เราเหมือนจะวูบเลย พอวูบรู้สึกตัวปั๊บ รถผมกำลังลงข้างทางข้างซ้า ยผมก็รีบหักมาข้างขวา พอมาข้างขวาก็รีบหักไปข้างซ้าย ทีนี้มันเลยกลิ้งพลิกสามสี่รอบเลย พอดีรถมันจังหวะมันดีมั้งก็ไม่มีใครตาย มีไอ้จู๊ดที่ถือเบียร์อยู่เนี่ยหัวเลือดเต็มเลยครับ มันยังรักสนุกบอกรถมึงเจ๋งมากเลย ขวดเบียร์กูไม่แตก แต่เลือดมันน่ะนองเต็มเลยนะ พอรถมันคว่ำปั๊บมันคือคว่ำกลับมาตั้ง แล้วมันเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อมันก็ไปต่อได้ ผมก็ขับขึ้นมาตอนนั้น 10 โมงแล้วมั้ง ทีมที่มาด้วยกันหลายคันเค้าจะไปต่อหุบอินทนิล ผมบอกไปไม่ไหวขอกลับดีกว่า

ผมก็กลับมาหัวหินหิวข้าว ไอ้จู๊ดน่ะมันหลับอยู่ในรถในสภาพที่รถพังยับเยิน หัวแตกเลือดเกราะกรัง ขี้ฝุ่นเต็มตัว รถนี่ยับเยินเลย แต่ผมนั่งที่ร้านอาหารร้านโกทิ ร้านดังเลยนั่งกับเพื่อนอีก 3 คนก็โทรตามประกัน ประกันมาจากเพชรบุรี คำแรกเค้าก็ถามมีคนตายรึเปล่า ผมก็ปากเสียมีไปดูที่รถ เค้าช็อกคิดว่ามีคนตายอยู่จริง ๆ สภาพแม่งเหมือนศพมากแม่งนอนแบบ.. ที่เล่าคือหมายความว่ามันเลยขีดไปแล้ว มันไม่ควร ถ้าถามว่าผมอยากกลับไปแก้ไขอะไรมั้ย ผมอยากกลับไปแก้ไขพฤติกรรมนิสัยแบบนี้ของผม ถ้าผมทำแบบนี้มาตั้งแต่วัยรุ่นนะ ปาร์ตี้กับเพื่อนสนุกกับเพื่อนพอมันมาถึงจุดที่สนุกแล้วก็กลับไปนอนสิวะ กินอาหารให้อิ่มหลับให้สบาย มันก็ใช้ชีวิตปกติได้ นี่ทำไมจะต้องรอพระบิณฑบาตทำไม เพื่ออะไรเนี่ยผมไม่เข้าใจตัวเองตรงเนี้ย

ผมก็ไม่เข้าใจเพื่อนแบบนี้ เพราะผมเองก็ไม่ใช่สายมุทะลุขนาดนี้

ผมประมาณว่าคำเยินยอของเพื่อนว่ามึงอึด มึงต่อมแตกแล้ว ระดับถ้าไอ้ซันเนี่ยต้อง มันเป็นคำสรรเสริญเยินยอที่เราหลงระเริงโดยที่มันไม่ถูกต้องนี่เป็นสิ่งนึงที่ผมคิดว่าผมอยากแก้ไขมากเลย ถ้าผมแก้ไขสิ่งนี้ได้นะ ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะมาถึงอย่างนี้ยังไง เพราะโชคชะตามันก็ตอบไม่ได้ เพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำไปในอดีตมันผิดพลาดอย่างสิ้นเชิงเลย

พี่ซันเคยบอกว่าหนึ่งในผลงานที่พี่ภูมิใจที่สุดคือการเลี้ยงลูก มันน่าภูมิใจยังไงครับพี่พอจะเล่าให้ฟังได้มั้ยฮะ

คือเราทำงานมันก็เหมือนผลผลิตของเราใช่มะ ทำอัลบั้มมาก็ภูมิใจ แต่เลี้ยงลูกเนี่ยมันไม่เหมือนทำอัลบั้ม อัลบั้มมันนิ่ง แต่ลูกมันเห็นการเติบโตของเค้า ยิ่งเค้าโตมาถึง ลูกชายคนโตผมอายุ 40 พอดี ลูกสาวคนโตอายุ 24 ย่าง 25 ลูกสาวคนเล็กผมอายุ 22 ผมได้เห็นแบบเค้ามีชีวิตที่มีคุณภาพของเค้า เค้าไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมายแต่ผมว่าเค้ามีความสุขกับสิ่งที่เค้าทำอยู่ สิ่งที่เค้าเป็นอยู่

ลูกชายคนโตผมเค้าเป็นครูสอนอยู่ประสานมิตร สอนด้านวิชวลแล้วก็อยู่ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ แล้วก็ทำอยู่ทีวีด้านการศึกษา เค้าก็มีความสุขของเค้า ดริฟต์กาแฟขายสนุก ๆ ของเค้า แต่มันก็จะมีอุดมคติที่เราคุยกับเค้าอยู่เสมอแล้วเหมือนเค้าเห็นด้วยแล้วเราภูมิใจกับสิ่งที่เค้าเห็นด้วย ลูกสาวคนโตผมเรียนจบศิลปกรรมจุฬาด้านบัลเลต์ ปัจจุบันเป็นครูสอนบัลเลต์ ถามว่าเธอจะรวยมั้ย ไม่น่าจะรวยนะ เป็นครูก็ได้รายได้เป็นรายชั่วโมง แต่เธอมีความสนุกกับได้เต้นได้แสดงออกทางสิ่งเหล่านี้

ผมเห็นแล้วเออภูมิใจแล้ว ก็อย่างนึงก็คือ มันมีอุดมคติบางอย่างที่เค้าเห็นด้วยกับสิ่งที่พ่อเป็น ลูกสาวคนเล็กผมอยู่นิเทศจุฬานี่แหละ เข้าไปปีเดียวแล้วบอกพ่อหนูไม่มีของ หนูอยู่นิเทศไม่ได้ หนูเป็นคนไม่มีของ หนูไม่ชอบแสดงออกแบบนั้น เค้าก็ซิ่วไป ตอนนี้อักษรจุฬาปี 3 เค้าก็มีความสุขของเค้าแบบนั้น ผมจำได้ว่าตอนผมเป็นเด็กเนี่ยผมขยันเรียนหนังสือมาก ผมตื่นตี 4 เพื่อดูหนังสือ ดูในมุ้งนะแล้วดึงหลอดไฟ เมื่อก่อนมันดึงลงมาได้ แล้วก็ม้วนแล้วเอาฉากมาบังเพื่อไม่ให้แยงตาพ่อแม่ผม เพราะห้องนอนที่มีหลอดไฟมีห้องพ่อแม่ห้องเดียว ห้องผมนอนไม่มีไฟหรอก อยู่แบบลำบากหน่อย ตื่นแต่ตี 4 ทุกวัน เพื่อจะสอบให้ได้คะแนนดี ๆ แล้วผมไปเห็นลูกสาวคนเล็กผมก็เป็นคนแบบนี้ขยันเรียนขยันมาก ผมก็รู้สึกว่าสิ่งนึงมันมาจากสิ่งที่เราทำสิ่งที่เราทุ่มเท ไม่ว่าเค้าจะประสบความสำเร็จหรือไม่อย่างไรก็เหมือนยิงธนูนั่นแหละ แต่เราเฝ้าดูอยู่แล้ว

มีเทคนิคอย่างไรมั้ยฮะที่ทำให้ลูกโตขึ้นมาเป็นแบบนี้ มีวิธีอะไรเป็นพิเศษมั้ยฮะ

ผมตามใจลูกมั้ง ผมไม่เคยขัดใจอะไรเลยนะ ยกเว้นเรื่องที่ดูล่อแหลมผิดกฎหมายหรือเป็นอันตรายกับตัวเองที่เหลือนอกนั้นแบบแล้วแต่จะง่ายมาก แต่ผมเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องลูกมาก คือถ้าผมมีนัดกันกับเพื่อน กับนัดกับลูกผมยอมแคนเซิลเพื่อนแต่ผมจะไม่ยอมแคนเซิลลูกผม  ไม่ใช่ผมไม่ให้ความสำคัญเพื่อนนะ แต่เพื่อนมันโตแล้ว แต่ลูกผมเค้าจะอยู่กับผมตลอดชีวิต ต่อให้เค้ามีครอบครัวไปแล้วนะ แต่ความผูกพันมันมีอยู่ตลอด ถ้าเป็นเรื่องลูกเมียจะมาก่อนเลย

พี่เติบโตมาในครอบครัวที่เคร่งศาสนาแล้วลูกพี่เติบโตมาในครอบครัวแบบไหนครับ

แบบผม ซึ่งถ้าจะใช้คำว่าเคร่งศาสนาในทัศนะแบบการปฏิบัติตน…ไม่เคร่งอย่างยิ่ง แต่ว่าถ้าในแง่อุดมคติเราก็จะสอนเรื่องศรัทธา เรื่องความเข้าใจ เข้าใจศาสนาอย่างไร เหมือนอย่างที่ผมเป็นอยู่อ่ะครับ เพราะเค้าเห็นผมเป็นอย่างนี้ วันนี้ก่อนออกเดินทางมาจากบ้าน ลูกสาวผมคนเล็กยังย้ำว่าพ่อเตรียมคำตอบที่แม่นยำแล้วนะ พ่ออย่าลืมว่ายุคนี้มันเป็นยุคที่โซเชียลมีเดียนะ ถ้าพ่อไม่แม่นพ่อต้องซ้อมให้ดีนะ

เค้าได้ดูคำถามหรอฮะ

ผมเล่าให้เค้าฟัง ผมมีอะไรผมจะคุยปรึกษาด้วยบางที ลูกคิดว่ายังไง เค้าบอกว่าถ้าคนยุคนี้พ่อพูดแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ แต่นี่ผมเล่าในด้านสวยงามนะ แต่ความขัดแย้งยังไงมันก็ต้องมีอยู่ แล้วคนในครอบครัว เราน้อยใจ เด็กไม่ใส่ใจเรา เราน้อยใจเค้าสนใจเพื่อนมากกว่าเราอะไรอย่างเนี้ย แต่ผมก็พยายามนึกว่าตอนเราเป็นเด็กเรายิ่งกว่านี้อีก เราร้ายกับพ่อแม่ยิ่งกว่าเค้าทำกับเราอีก เพราะฉะนั้นผมเห็นเต็ดผมก็อิจฉา ดื่มเบียร์กับลูกสาว ที่ว่าดื่มครั้งแรกดื่มกับพ่อ วันรับปริญญาเอาช่างภาพอินดี้มาถ่ายรูป ผมอิจฉาเลย แต่ผมก็นึกมันต้องมีทั้งสองด้านอ่ะครอบครัว สังคมก็เห็นแต่ด้านที่สวยงามของเราแต่เรามีด้านที่ไม่สวยงามอยู่เยอะแยะ

พี่ซันมีมุมมองเกี่ยวกับความตายอย่างไรบ้างครับ

ตอบเป็นเพลงได้เปล่า คำถามเหมือนปั้นมาให้ผมเลย มุมมองของผมที่เกี่ยวกับความตายคือ (เล่นกีตาร์ร้องเพลง) “ตายง่าย ๆ จะตาย ไม่ต้องทำอะไร แค่หยุดหายใจ คุณก็ตาย ตาย ตาย ต้าย ตาย ตายง่าย ๆ จะตาย ไม่ต้องทำอะไร แค่หยุดหายใจ ฉันก็ตาย หากฉันต้องตาย ขอกอดเมียอีกสักครั้ง ขอฟังเสียงฝนอีกที ขอมีเวลาอีกหน่อย พ่อคอยลูกอยู่ ขอดูหน้าอีกสักหน เป็นคนดีนะคนดี เพียงแค่นี้พ่อก็พอ พ่อพอแล้ว พอ ตายง่าย ๆ จะตาย ไม่ต้องทำอะไร เพียงหยุดหายใจ เราก็ตาย หมดลมหายใจ ก็ตาย…”

พี่ซันเริ่มคิดแบบนี้นานรึยังครับ

ผมคิดแบบเนี้ยเป๊ะ ๆ เลยแบบเนื้อเพลงก็คือวันที่ผมหัวใจวายนั่นแหละ วันที่ผมเป็นเส้นเลือดตีบแล้วกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการผมมันถึงขนาดวูบไปเลย แล้วตอนผมวูบไปเนี่ย เมียผมยืนอยู่ข้าหน้าผม วูบทีแรกที่คณะนิเทศศาสตร์จุฬาก่อน ไปวูบครั้งที่สองที่บ้าน เมียผมบอกผมดูตัวขาวซีดไปทั้งตัวเลย เค้าเรียกเหงื่อกาฬ ผมน่าจะหัวใจหยุดเต้นไปสัก 10-15 วินาที เราเปรียบได้ 2 อย่างถ้าเมียผมยืนดูอยู่เฉยๆ  และผมไม่ต้องทำอะไรต่ออีกชั่วโมงครึ่งผมก็จะตายเพราะฉะนั้นความตายมันง่ายมาก ก็คือไม่ต้องทำอะไรอยู่เฉย ๆ เราก็จะตาย แต่ถ้าเราอยากมีชีวิตอยู่ ต้องลุกขึ้น ต้องไปโรงพยาบาล ต้องเข้าห้องแล็บ มีหมอผู้เชี่ยวชาญ ต้องเจาะหว่างขา เจาะนี่สอดหลอดเลือดสอดอะไรเข้าไป ใส่สปริงเข้าไปขยายหลอดเลือดปฏิบัติการกันเป็นชั่วโมงใช้เวลา 2 วันพักฟื้น หมดเงินกันเป็นแสน เสร็จแล้วยังไม่จบแค่นั้นต่อไปนี้ห้ามกินไอ้นั่น ต้องออกกำลังกายอย่างนี้ คือมีเรื่องต้องทำเยอะมากเลย

ผมก็มาคิดว่าระหว่างตายกับมีชีวิตอยู่เนี่ย ตายง่ายกว่ามากเลย คือแค่หยุดหายใจเราก็ตาย แต่ถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่คุณมีภารกิจเป็นหางว่าวเลย ที่คุณจะต้องทำเพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่แล้วผมเลือกอะไร ผมเลือกอยากมีชีวิตอยู่ ทั้ง ๆ ที่ตายง่ายกว่ามากเลย บางทีเรายังถามตัวเองมนุษย์เราเลือกลำบากนะเนี่ย ง่าย ๆ หยุดหายใจแล้วก็ตายซะแต่ผมเลือกอยู่ จากเนื้อเพลงมันสะท้อนว่าอาจจะไม่ได้กลัวความตายโดด ๆ แต่กลัวความพลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก

ในเพลงผมพยายามเลือก ผมรักอะไรบ้าง เพลงมันยาวมากไม่ได้ ถ้าให้เลือกครบมันเต็มไปหมดเลยใช่มั้ยครับ ผมเลือกมาแล้วเบ็ดเสร็จเหลือแค่ ขอกอดเมียอีกสักครั้ง ขอฟังเสียงฝนอีกทีนึง ผมเป็นคนชอบฟังเสียงฝนมาก ยิ่งช่วงนี้มีพายุผมนอนฟังเสียงฝนในเต็นท์ในป่ามีความสุข การฟังเสียงฝน ผมหมายถึงว่าขอได้เห็นธรรมชาติอีกสักครั้งเถอะ ขอเวลาอีกหน่อยนึงอยากเห็นหน้าลูกเป็นครั้งสุดท้าย ขอสอนอีกสักครั้งเถอะว่าเป็นคนดีเถอะนะแค่นี้พ่อก็พอแล้วพอ เพลงนี้มันเลยตอบคำถามว่าผมไม่อยากตายหรอก เพราะไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งเหล่านี้ แต่ยังไงมันก็ต้องตายใช่มะก็หวังว่าเมียจะอยู่ได้อย่างมีความสุข ลูกจะเป็นคนดี ธรรมชาติจะดำรงต่อไป น่าจะเป็นความฝันของผมเลยนะเรื่องแบบเนี้ย

“ตายง่าย ๆ จะตาย ไม่ต้องทำอะไร แค่หยุดหายใจ คุณก็ตาย ตาย ตาย ต้าย ตาย ตายง่าย ๆ จะตาย ไม่ต้องทำอะไร แค่หยุดหายใจ ฉันก็ตาย หากฉันต้องตาย ขอกอดเมียอีกสักครั้ง ขอฟังเสียงฝนอีกที ขอมีเวลาอีกหน่อย พ่อคอยลูกอยู่ ขอดูหน้าอีกสักหน เป็นคนดีนะคนดี เพียงแค่นี้พ่อก็พอ พ่อพอแล้ว พอ ตายง่าย ๆ จะตาย ไม่ต้องทำอะไร เพียงหยุดหายใจ เราก็ตาย หมดลมหายใจ ก็ตาย…”

พี่ซันพูดว่าหลายครั้งเราไม่ได้เลือกเส้นทางชีวิต เส้นทางมันเลือกเราเอง หมายความว่ายังไงฮะพี่

ผมใช้คำพูดแบบว่าให้มันฟังเพราะ ๆ หน่อย แต่จริง ๆ มันหมายถึงเราพลัดเข้าไปเราเดินไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เช่นเราขับรถเราไม่ได้ตั้งใจเลี้ยวขวาสักหน่อย แต่ไม่รู้ว่าอะไรทำไมเลี้ยวขวาชีวิตอาจจะเปลี่ยนเลยก็ได้ เจอสิ่งที่นำพาชีวิตเราไปต่อยืดยาวเลย เพราะฉะนั้นเราอยากจะเลือกเส้นทางก็จริงแต่บางทีเราก็เลือกไม่ได้ เพราะว่าเราดันอาจจะใช้คำว่าเราพลาดก้าวไปยังเส้นทางนี้ซะแล้ว

TO BE CONTINUED

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส