ก่อนที่เราจะได้ไปสัมผัสกับ ‘Third Eye View’ ผลงานอัลบั้มเต็มชุดใหม่ที่จะปล่อยออกมาในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ของวงร็อกหัวก้าวหน้าผู้ท้าทายตนเองด้วยการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ตลอดมา ‘Slot Machine’ เฟิด – คาริญญ์ยวัฒ ดุรงค์จิรกานต์ (ร้องนำ), แก๊ก – อธิราช ปิ่นทอง (เบส) และ วิทย์ – เจนวิทย์ จันทร์ปัญญาวงศ์ (กีตาร์) ที่คราวนี้พร้อมเดินหน้าต่อด้วยผลงานเพลงสากลทั้งอัลบั้มที่สานต่อจากงานเพลงชุดก่อนคือ ‘Spin The World’ เราได้มีโอกาสพูดคุยกับพวกเขาถึงเรื่องแนวคิดเบื้องหลังผลงานเพลงชุดนี้ที่พวกเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องของ ‘ดวงตาแห่งปัญญา’ จนไปถึงแง่มุมดี ๆ ที่พวกเขาได้เล่าให้ฟังผ่านประสบการณ์การทำงานกับโปรดิวเซอร์ชาวต่างชาติรุ่นใหญ่สุดปัง และแง่งามความคิดและเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางร่วมกันมาเกือบจะ 20 ปี ขอเชิญสัมผัสเรื่องราวอันน่าประทับใจจาก Slot Machine ผ่านบทสนทนาต่อไปนี้ได้เลยครับ
จุดเริ่มต้นของอัลบั้มชุดล่าสุด ‘Third Eye view’ เริ่มต้นมาจากอะไรครับ
เฟิด : ก่อนที่เราจะทำเพลงเข้าห้องอัดเราก็ต้องทำเป็นเดโมก่อน น่าจะ 80% ของเพลงในชุดนี้มันจะเป็นเดโมที่ทำไว้หลังจากชุด Cell ก็คือชุดที่มีเพลง ‘จันทร์เจ้า’ แล้วก็ทำเพลงสต็อกเอาไว้ การทำงานก็จะเป็นประมาณนี้พอทำอัลบั้มเสร็จแล้วก็จะทำเพลงสต็อกเอาไว้เผื่อว่าเอามาได้ใช้ เวลาผ่านไป 10 ปีเราก็นำเดโมชุดนั้นพัฒนาต่อแล้วก็แลกเมล์คุยกับโปรดิวเซอร์ ส่วนคอนเซ็ปต์ก็เริ่มมาระหว่างทางตอนที่อยู่ในสตูดิโอเริ่มมีโปรดิวเซอร์แล้ว และเริ่มคุยกันเรื่องไดเรคชันกับคอนเซ็ปต์เพราะว่ามันจะมีส่วนในการทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ด้วย บางทีเค้าจะถามว่าเพลงนี้อยากจะสื่ออะไรหรือมีคอนเซ็ปต์มั้ยมีไดเรคชันอะไร
อัลบั้มชุดนี้ตั้งใจจะให้เป็นสากลตั้งแต่แรกเลยรึเปล่าครับ
เฟิด : ใช่ครับ ชุดนี้ก็จะเป็นชุดที่สองที่จะทำให้เป็นสากล ชุดแรกก็คือ ‘Spin The World’ ก็จะเป็นด้วยเรื่องของความต่อเนื่องด้วยและก็แฟนเบสที่อยากจะสร้าง ทำและพัฒนาต่อ
ฟีดแบคเป็นยังไงบ้างครับ
เฟิด : ฟีดแบคดีมากเลยจนมาเจอโควิด (หัวเราะ) จริง ๆ สล็อตแมชชีนในตลาดสากลก็เหมือนกับ set zero เลยครับ เริ่มจากศูนย์เลย เพราฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้มากที่สุดก็คือการที่เราพาตัวเองไปเล่น ก็เป็นการแนะนำตัวที่ดีที่สุด คิดอะไรก็สามารถสื่อสารกับคนดูได้โดยตรง ก็ได้แฟนมาค่อนข้างเยอะเลยครับจากการได้ไปทัวร์มาในอัลบั้ม Spin The World ก็เลยเหมือนเป็นแรงผลักดันต่อทั้งเราและผู้ใหญ่ และพาร์ตเนอร์ทุก ๆ คนว่าเรามาทำกันต่อเถอะ
มาต่อกันที่คอนเซ็ปต์ของอัลบั้มครับ คำว่า ‘Third Eye View’ นี่มันมาได้ยังไงครับ
เฟิด : สำหรับงานของสล็อตแมชชีนในพาร์ตที่เป็นเนื้อหาหรือสิ่งที่สื่อสาร คำว่า ‘Third Eye View’ ของเราก็คือ ‘ดวงตาที่สาม’ ก็หมายถึงสติปัญญาในเชิงของศาสนานี่ล่ะ แล้วเราก็ไปศึกษาเพิ่มเติมอ่านหนังสือบ้าง ดูหนังบ้าง ดูสารคดีบ้าง ก็เลยทราบว่าการพูดถึงปัญญาเนี่ยเป็นเรื่องที่มนุษยชาติพูดมานานแล้ว และพูดในหลากหลายมิติด้วยในทุก ๆ ความเชื่อ ในทุก ๆ ศาสนา และจุดเริ่มต้นของเราที่ทำให้เรากลับมามีชื่อเสียงเนี่ยก็คือเพลง ‘ผ่าน’ ซึ่งเนื้อหาของเพลงผ่านเนี่ย มันเป็นเพลงที่ถ้าเราพูดถึงเนื้อหามันเป็นเพลงเพื่อชีวิตก็คือเนื้อหาพูดถึงชีวิต แต่ดนตรีมันจะเป็นร็อก ฮิปฮอป ลูกทุ่ง นั่นมันก็เป็นเรื่องของสไตล์ดนตรี
จริง ๆ แล้วเพลงของสล็อตแมชชีนเนี่ยพูดได้เลยว่าเป็นเพลงเพื่อชีวิตเพราะเนื้อหามักจะพูดถึงสัจธรรมของชีวิต นอกจากความรักหรือเพลงทั่วไปด้วยก็เลยเป็นที่มาของคำว่า ‘Third Eye View’ และเราก็คุยกันสามคนด้วยว่า มันถึงเวลาแล้วที่เราจะอธิบายเพิ่มเติมในสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดเกือบประมาณ 20 ปี ก็คือด้วยความที่มันจะมีแฟนเพลง Gen ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นที่เค้าไม่ได้เริ่มตั้งแต่เพลง ‘รอ’ หรือเพลง ‘ผ่าน’ ด้วยซ้ำ ก็จะไม่รู้ที่มาที่ไปว่าสล็อตแมชชีนเป็นวงที่มีเพลงที่มีเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้นะ เป็นสไตล์เป็นเอกลักษณ์ของเรานะ
ชุดนี้ก็เหมือนกับ wrap up ให้แฟนเพลงทุกเพศทุกวัยของเราอีกทีนึง ตอกย้ำว่าสล็อตแมชชีนคือวงที่พูดถึงเรื่องนี้นะก็เลยตั้งเป็นชื่ออัลบั้มเลย แล้วก็ชุดนี้ก็เหลือกันสามคนด้วยก็จะแบบเลย 3 ก็จะชัดมาก ท่าสามเหลี่ยม ตาที่สาม สามคน มุมมองของคนสามคนแล้วก็เป็นมุมมองของบุคคลที่สามที่เหมือนกับเราแทนค่าตัวเอง
ถ้าเปรียบเทียบเป็นหนังก็เหมือนกับเราเป็นผู้บรรยายที่มาแต่เสียง แต่ไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องก็จะสื่อประมาณนี้ด้วย เพราะว่าเรื่องที่เราพูดในชุดนี้มันจะเป็นเรื่องความคิด ความเชื่อ เรื่องการเมือง เรื่องสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งถ้าเป็นมุมมองความรัก มันก็จะเป็นความรักที่เหมือนเราเห็นตัวละครสองตัวพระเอกนางเอกแต่เราเป็นคนเล่าเรื่อง ไม่ใช่ว่าเราเป็นพระเอกในเรื่องก็จะเป็นมุมมองของบุคคลที่สามครับ ก็เลยเป็นคำว่า ‘Third Eye View’
อัลบั้มชุดนี้เป็นชุดที่ 7 แล้ว ทำให้นึกไปถึงเครื่องสล็อตแมชชีนที่ถ้าโยกแล้วออกมาเป็น ‘777’ นั่นหมายความว่าได้แจ็กพอต ก็เลยอยากถามสล็อตแมชชีนว่าคาดหวังมั้ยครับกับการโยกครั้งที่ 7 นี้ว่าผลจะออกมาเป็น ‘777’
แก๊ก : ถ้าได้ก็จะดีมากเลย เพราะมันเป็นอัลบั้มที่ ‘ใส่เต็มข้อ ล่อทุกอย่าง’ เอ้ย (หัวเราะ) ‘ใส่เต็มข้อ จัดเต็มทุกเม็ด’ จัดเต็มทุกอย่าง แนวคิดดนตรี วิธีการทำงาน คอนเซ็ปต์ทุกอย่าง ก็หวังว่า ‘777’ ถึงแม้จะไม่ได้ success ในแง่มุมไหน แต่สำหรับพวกเราเองเนี่ยใช่แล้ว คือเราว่าเราสำเร็จแล้ว เราภูมิใจ เราชอบมากเลยครับ
สิ่งไหนที่พอคนมาฟังเพลงของเราแล้วอาจจะเป็นเด็กรุ่นใหม่หรือคนที่เพิ่งทำความรู้จักกับเราก็ได้ อะไรคือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นสล็อตแมชชีนได้ดีที่สุด ที่ทำให้คนสามารถรับรู้ได้ว่านี่แหละงานเพลงของสล็อตแมชชีนครับ
เฟิด : ธรรมชาติของงานเราผมจะรู้สึกว่ามันแปลก มันจะแปลกกว่าเพื่อน ๆ ท่านอื่น ศิลปินท่านอื่น ลายเซ็น แม้กระทั่งบางเพลงที่มันไม่น่าจะใช่วงร็อกทำ ผมว่ามันน่าจะมาตั้งแต่วิธีคิด วิธีที่คิดที่แปลกแตกต่างจากชาวบ้าน เรา perform เป็นวงร็อกก็จริง แต่ความหมายของคำว่า ‘ร็อก’ สำหรับพวกเรามันไม่ใช่แค่แนวเพลง อย่างที่ได้อธิบายไปว่าจริง ๆ แนวเพลงของสล็อตแมชชีนมันเป็นเพื่อชีวิตด้วยซ้ำคือความเป็นร็อกของมันคือการที่เป็นผู้นำ ผู้นำก็คือการพยายามที่จะไม่ตามใคร ไม่ตามกระแส ไม่ตามเทรนด์ ไม่ตามค่านิยม ไม่ตามสมัยนิยม แล้วก็เนื้อหา เรารู้ว่าคนชอบฟังเพลงรัก เพลงรักเราก็มีแต่เราไม่ได้ทำแต่เพลงรัก เราพยายามทำให้มันแตกต่างคือศิลปะในแง่ของดนตรีและเพลงเนี่ย มันไม่จำเป็นที่จะต้องทำแต่เพลงรักก็ได้นะ มันเป็นความคิดที่ว่าอันนี้ล่ะคือร็อกสำหรับเรา มันมีความขบถต่อยุคสมัย ต่อค่านิยมที่อยู่ในยุคสมัยนั้น
อย่างเช่นการใส่สูทก็เหมือนกันในยุคที่เราเริ่มใส่สูทอาจจะเป็นวงแรก ๆ ของยุคเราเนี่ย ก็คือยุคนั้นวงร็อกก็จะแต่งตัวกันเป็นแพทเทิร์นเสื้อยืดกางเกงยีนส์สีดำ เราก็แหกมาเลยเป็นสูทเต็มมาเลย ซึ่งเมืองไทยก็ร้อนด้วยก็ไม่ควรจะใส่สูทเล่น ซึ่งมันก็คือความพังก์ในมุมของพวกเราเหมือนกัน มันก็คือแบบย้อนแย้ง มันคือขบถ มันขัดต่อสิ่งที่ถูกหรือผิดไม่รู้แต่คนส่วนใหญ่มองว่ามันควรจะเป็น แต่เราจะมองอีกอย่าง
แก๊ก : มันเป็นจินตนาการของพวกเรา คือเวลาเราจะทำเพลงเราจะไม่เคยมานั่งคุยกันว่า เฮ้ยคนฟังจะชอบรึเปล่า มันก็เลยออกมาแบบว่าไม่ได้มีท่อนชัดเจน ไม่ได้มีโน้ตที่เป็นสูตรสำเร็จออกมา พอมันไม่เหมือนคนอื่นในวิธีคิดมันก็เลยฟังดูแตกต่าง
วิทย์ : มันมีบางอย่างที่ผมรู้สึกว่าน่าจะพูดถึงและบอกความเป็นสล็อตแมชชีนได้ดีในไดเรคชัน ในอัลบั้มนี้มันก็คือการทำทุกอย่างเพื่อให้คนจำไม่ได้บ้าง
เฟิด / แก๊ก : มีแต่คนเค้าจะทำให้คนอื่นจำได้นี่ทำให้จำไม่ได้ (หัวเราะ)
วิทย์ : นี่คือสิ่งที่สล็อตแมชชีนทำทั้งในดนตรี เนื้อหาหรือว่าไดเรคชัน อย่าง ‘เรามาอย่างสันติ’ ทุกคนคาดหวังว่าเฟิดจะต้องร้องเสียงสูงเพลงนี้เราก็เลยเปลี่ยนเรนจ์ร้องของเฟิดเพื่อให้กลิ่นเพลงมันเปลี่ยนไป เป็นเจตนาของการทดลองที่รู้สึกว่าก็เฟิดร้องอย่างนี้แล้วทุกคนก็รู้สึกดีว่านี่แหละคือสล็อตแมชชีน เพราะเราเชื่ออยู่อย่างนึงว่าไม่อยากจะจำกัดตัวเองด้วย DNA ทางดนตรี เพราะคนจะคาดหวังว่าอยากจะได้ยินเสียงแบบนี้จากสล็อตแมชชีน มันก็เหมือนกำปั้นทุบดินนะถ้าพูดว่า ‘เพลงที่ดี มันก็คือเพลงที่ดีล่ะ’ นี่คือเรื่องจริง ๆ คนพร้อมเปิดรับเสมอถ้ามันดีพอผมคิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราไม่ได้กลัวที่เราจะต้องออกไปทำอะไรในสิ่งที่มันไกลจากคำว่าสล็อตแมชชีนที่คนเคยคาดหวังว่ามันจะเป็น ผมมองว่าเราทำได้มากกว่านั้นและเราก็เจตนาที่จะทำเพื่อให้คนรู้สึก
เราพยายามจะเปิดพื้นที่ให้คนเจออะไรใหม่ ๆ บ้าง และเราก็เชื่อว่ากลุ่มคนฟังในพ.ศ.นี้เค้าก็คาดหวังที่จะฟังอะไรที่มันมากกว่าสิ่งที่เคยเป็นเหมือนกันเรายังเชื่อในสิ่งนี้อยู่ เราก็เชื่อว่ามันยังมีทางสำหรับสิ่งใหม่ ๆ มันยังมีทางสำหรับคนดนตรีที่ทำมาสักระยะนึงและพร้อมจะเสิร์ฟอะไรใหม่ ๆ เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นในพ.ศ.นี้และมันก็เกิดขึ้นมาสักพักแล้วด้วย ถ้าจะให้รวบรวมสรุปว่าอะไรคือสล็อตแมชชีนผมว่ามันคือเรื่องของไดเรคชัน มันคือการทดลองทำทุกอย่าง บางทีเราเล่นกับความรู้สึกของคนที่ได้ฟังด้วยเจตนาที่อยากจะเสิร์ฟอะไรใหม่ ๆ จริง ๆ ด้วยความหวังดี อยากจะทำให้เค้าได้อะไรที่มากกว่าที่เค้าเคยมีในสต็อกของความคิดครับ
ผมว่ามันเป็น circle ของการให้และรับเลยจริง ๆ เราทำออกมาแล้วเรารู้สึกว่าเราได้ทำอะไรใหม่ ๆ ให้กับคนที่ได้ฟัง แล้วผมก็รู้สึกว่าเราก็ได้รับกลับมาเหมือนกันนะ การที่ทำอะไรแบบนี้เราก็ต้องตกผลึกความคิดตัวเองเหมือนกัน เราไม่มีแพทเทิร์นกรอบ ไม่มีสมการที่มาใช้ในกับเพลงที่มันจะฮิตได้ แค่ว่าเราโอเคเราชอบเมโลดี้แบบนี้ เราชอบสิ่งที่เป็นแบบนี้ แต่เราบอกไม่ได้ว่าเพลงนี้จะเป็นเพลง ‘ผ่าน 2’ เราทำแบบนี้ไม่ได้ ด้วยจรรณยาบรรณทางดนตรีด้วยนะ มันเป็นเรื่องสำคัญ ทุกอาชีพก็คงจะมีอะไรแบบนี้
เฟิด : มันก็จะกลับไปที่ชื่อวงของเรา มันก็คือ ‘สล็อตแมชชีน’ จริง ๆ มันก็คือการทดลอง การโยกครั้งนึงเปรียบเทียบเหมือนหนึ่งอัลบั้มก็ได้ เราไม่รู้ว่าหน้าตักมันจะออกมาเป็นแบบไหน ซึ่งอันนั้นคือความตั้งใจของเราด้วยซ้ำในการที่เราตั้งชื่อนี้ตั้งแต่แรก ถ้าเท้าความไปเลยพวกเรานี่จะเป็นเด็กยุค nu-metal มันก็จะตอบโจทย์ว่าทำไมพวกผมถึงย้อนแย้ง ขบถ หรือมีอะไรบางอย่างที่มันดูขัด ๆ คือผมเติบโตมาจากยุคนั้นและในเมืองไทยมันจะเป็นยุคเฟื่องฟูของอัลเทอร์เนทีฟร็อกซึ่งคำว่าอัลเทอร์เนทีฟจริง ๆ มันคือทางเลือกแต่ในเมืองไทยมันจะมีคำว่าร็อกมาต่อ เพราะฉะนั้นมันจะเป็นดนตรีอัลเทอร์เนทีฟแต่ว่าในสไตล์ร็อก แต่ทั่วโลกเนี่ยเค้าจะมีอัลเทอร์เนทีฟฮิปฮอป อัลเทอร์เนทีฟอาร์แอนด์บี แต่ในไทยเราจะเป็นร็อกมันก็เลยกลายมาเป็นสล็อตแมชชีนที่แบบมันยืดหยุ่น มันสามารถที่จะทดลองอะไรได้ ในชุด Spin the World มันก็จะมีเพลงที่ชื่อว่า ‘Say What You Want’ ซึ่งเราเรียกว่ามันเป็นเพลงลูกทุ่งของสล็อตแมชชีน เพราะเราอยากจะทำให้มันเป็นเพลงลูกทุ่งในสไตล์ของเรา
แก๊ก : เป็นการให้เราได้ฝึกตัวเองด้วย ให้เราไม่ยึดติด และได้ลองทำงานดนตรีในอีกแบบ ได้รู้เคล็ดลับรู้วิธีคิดของเค้า ก็อย่างที่บอกว่าเพื่อคนฟังครับ เพื่อให้ฟังเพลงเราและมีความสุขต่อไปเรื่อย ๆ เนอะ
วิทย์ : จริง ๆ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้นะครับ ในการที่เราจะทำอะไรสักอย่างแล้วเราต้องเลือกทางระหว่างทำในสิ่งที่เค้ามีอยู่หรือว่าทำสิ่งใหม่ ผมว่าไอ้อันหลังมันดูน่าสนใจกว่าจริง ๆ ในมุมของคนทำงานเพราะว่าประวัติศาสตร์ดนตรีมันมีมาตลอดเวลาอยู่แล้ว มันมี Nirvana มันมี Nu-Metal มีทุก ๆ อย่างที่มันเกิดมาเพราะว่ามันหลุดออกมาจากสิ่งเดิม ผมว่าไอ้อันนี้ถ้ามองว่าเป็นโจทย์ที่น่าสนใจ ผมว่ามันน่าสนใจ
เราหวังถึงขนาดว่าเราจะเป็นวงที่เป็นจุดกำเนิดของดนตรีแนวใหม่เลยรึเปล่าครับ
แก๊ก : ก็หวังตั้งแต่วันแรกที่เล่นดนตรี (หัวเราะ)
เฟิด : เราก็รับมรดกมานะ อย่างที่บอกว่า Nu-Metal มันก็เป็นแนวดนตรีใหม่ที่เป็นการผสมผสานระหว่างร็อกกับฮิปฮอป วัฒนธรรมจากอเมริกา เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะใหม่มั้ยหรือมันจะหยุดอยู่แค่นี้ เพราะว่าที่ผ่านมาก่อนที่มันจะเป็นฮิปฮอปอย่างตอนนี้ ก่อนหน้านั้นมันก็จะเป็น EDM ซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันก็ใหม่นะแล้วมันก็ไม่ใหม่ซะทีเดียว มันใหม่แต่ไม่ถึงกับเปลี่ยนโลกอย่างดนตรีร็อก ดนตรีแจ๊ส หรือฮิปฮอป ก็หวังครับ แต่จุดเริ่มต้นเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน ก่อนที่จะมีอะไรให้คนที่เค้าได้แรงบันดาลใจมาจับต้องได้
วิทย์ : การเกิดแนวดนตรีใหม่มันคงจะต้องมีความหมายมากกว่าแค่เราแล้วล่ะ ผมว่ามันจะต้องมีความหมายกับคำว่าผู้ตามด้วยซึ่งมันน่าจะมากกว่าแค่สล็อตแมชชีน มันก็เลยจะตอบยากเหมือนกัน แต่ว่าสิ่งที่แน่ ๆ ในการที่เราทำให้สล็อตแมชชีนมันเป็นโลโก้เป็นสิ่งหนึ่งขึ้นมาที่จับต้องได้ ที่ทุกคนเชื่อในมันไม่ได้แค่เรา ไม่ว่าจะเป็นแฟนเพลง คนที่เราไม่เคยเห็นหน้าค่าตาในคอนเสิร์ต แต่พอมีคอนเสิร์ตใหญ่หนึ่งครั้งเค้ามากันเต็มฮอลล์ เราก็ถือว่าเราทำสิ่งนี้สำเร็จ เราทำให้คนหลาย ๆ คนรักในเสียงเพลงรักในสล็อตแมชชีนรักในความเชื่อหลาย ๆ อย่าง อันนี้เป็นการบอกว่า 17 ปีที่ผ่านมาเป็นความสำเร็จ ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดแบบนั้นเพราะทุกอย่างมันฟ้อง น่าหมั่นไส้มั้ยครับ (หัวเราะ)
(อ่านต่อหน้า 2)
อัลบั้มนี้ได้ทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์สองท่านคือ คุณ แบรนดอน ดาร์เนอร์ (Brandon Darner) และ คุณ จัสติน สแตนลีย์ (Justin Stanley) การทำงานกับโปรดิวเซอร์ทั้งสองท่านนี้เป็นยังไงบ้าง
เฟิด : ในการทำงานกับสองท่านนี้ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เหมือนหนึ่งปีการศึกษาก็จะมีการแบ่งเป็นภาคเรียน เป็นเทอมหนึ่ง เทอมสอง ก็จะแบ่งกันไม่ได้มาทำพร้อมกันเลยทีเดียวพร้อมกันสองคน อย่างเทอมแรกก็จะเป็นกับคุณแบรนดอนซิงเกิลเด่น ๆ ก็จะมี ‘Know Your Enemy’ ที่เป็นซิงเกิลแรก แล้วก็ ‘Bangkok’ คุณแบรนดอนก็จะมีกลิ่นอายของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และมีเทคนิคบางอย่างที่มีความเป็นสมัยใหม่มีความร่วมสมัย และคุณแบรนดอนนี่จะเป็นอดีตสมาชิกยุคก่อนเดบิวต์ของวง ‘Slipknot’ เล่นเพอร์คัสชัน
แต่ตอนนี้เค้ามีวงอินดี้ของเขาเองชื่อวง ‘The Envy Corps’ ซึ่งก็จะอินดี้จริง ๆ อินดี้แบบว่าไม่เอาใครเลย ซึ่งในมุมนี้ที่เค้ามาจากวงอินดี้และเป็นอดีต Slipknot เค้าก็จะมีประสบการณ์หรือความคิดบางอย่างที่มาสอนเราเยอะเลยครับ เค้าจะแทนค่าตัวเองว่าเป็นความสุดโต่งไปเลย เค้าก็จะสอนเราตลอดว่าโอเคอันนี้มันได้อันนี้มันไม่ได้แค่คุณควรจะหาตรงกลางนะ เพราะว่าผมทำแบบนี้ผมก็ได้แบบนี้ผมถึงไม่ได้อีกอย่าง ผมจะเป็นวงที่ไม่ได้มานั่งแจกลายเซ็นคนดูตอน 3 โมงและมีโชว์ตอน 4 ทุ่ม นี่เค้าก็พูดแบบนี้สำหรับ Slipknot เค้ากลับไปเยี่ยมเพื่อนก็แบบว่าเฮ้ยทำไมเพื่อนมันแก่จังวะ ต้องแหกขี้ตามาแจกลายเซ็นตั้งแต่เที่ยง แล้วโชว์จริง ๆ ตอน 4 ทุ่ม ถ้าเป็นผมผมจะไม่ทำแต่ผมก็จะไม่ได้แฟนคลับไง เค้าก็มีอะไรมาสอนนอกจากเรื่องของดนตรี มีประสบการณ์ของวิชาชีพด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง ซึ่งคุณแบรนดอนก็เป็นคนที่น่ารักมากก็จะย้อนแย้งในตัวเองเหมือนกันถ้าไม่บอกว่าเค้าเป็นอดีตวง Slipknot นั่นนู่นนี่หรือวงร็อกอะไรอย่างนี้ ถ้ามองภายนอกเค้าจะเหมือนคนที่ทำงานเป็นหมอมากกว่าจะเนี๊ยบมาก ใส่แว่น ขนาดอยู่ในห้องอัดเค้ายังใส่สลิปเปอร์ ชุดคลุมนอน วันอาทิตย์ไปโบสถ์เนี้ยบมาก ๆ แต่ว่างานที่ออกมาไม่ได้มีความเนี้ยบเป็นกรอบหรือเป็นลิมิตเลย ก็คือแบบฟรีดอมมากมีการทดลองเยอะ
อย่างเพลง ‘Know Your Enemy’ ก็จะมีการลองให้แก๊กร้องแทนที่จะเป็นผมร้อง เพราะเค้าอยากได้คาแรกเตอร์ คือเราร้องได้ทั้งคู่แหละ แต่ผมเป็นนักร้องร้องมาเกือบจะ 20 ปีละ ผมก็จะต้องร้องเก่งกว่า แต่สิ่งที่เค้าอยากได้ไม่ได้ต้องการคนที่ร้องเก่ง เค้าอยากได้คนที่ร้องมาแล้วเป็นคาแรกเตอร์แบบนี้ซึ่งบางอย่างผมก็ทำไม่ได้ซึ่งแก๊กเค้ามีคาแรกเตอร์ตรงนั้นซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องร้องเก่งหรือไม่เก่งเพียงแต่ว่ามัน born to be this ไม่มีแบบว่าเฮ้ยมันจะเป็นอะไรมั้ยถ้าให้แก๊กร้อง มันเป็นสล็อตแมชชีนเราสามคนคือศิลปินที่รวมตัวกันเป็นวงนี้ ผมไม่ mind เลยที่จะต้องให้ใครร้องอนาคตพี่วิทย์อาจจะร้องก็ได้ (หัวเราะ)
ส่วนในเรื่องของการทำงานคุณแบรนดอนมีความเป็นมืออาชีพสูงมากแล้วก็ค่อนข้างที่จะให้อิสระในการตัดสินใจและให้เกียรติมาก ๆ เลยครับ เพราะชุดนี้เราทำงานแบบที่ไม่มีโค-โปรดิวซ์เลย ไม่มีทีมงานจะเป็นโปรดิวเซอร์กับศิลปินโดยตรงเหมือนทำงานร่วมกัน ตัดสินใจร่วมกัน เลือกและดีไซน์ร่วมกันทุกขั้นตอน ตั้งแต่เลือกเสียงเลือกไมค์เลือกอะไรจนไปถึงเนื้อหาของเพลงด้วย เพราะว่าเราจะต้องให้เค้าช่วยในพาร์ตของภาษาอังกฤษผมก็จะปรึกษากับเค้าว่าผมอยากสื่อสารแบบนี้ถ้ามันเป็นภาษาอังกฤษเค้าจะพูดว่าอะไร มันคงไม่ใช่แบบ ‘I read a book’ อะไรแบบนี้ (หัวเราะ) เพราะการแต่งเป็นเพลงมันก็ไม่ใช่ภาษาพูดซะทีเดียวมันต้องเป็นภาษาเพลงนิดนึง เค้าก็จะช่วยมาก ๆ ในเรื่องความคิด ส่วนใหญ่เพลงของสล็อตแมชชีนด้วยความที่เราเป็นคนไทยเป็นคนพุทธ มันก็จะมีเรื่องของความเชื่อ ศาสนา เราก็จะต้องอธิบายเค้าว่าผมอยากสื่ออย่างนี้ ๆ ซึ่งเค้าก็จะเป็นคริสเตียนที่เคร่งมาก แต่ว่ามันจะมีจุดร่วมบางอย่างที่โอเคเราถอดเรื่องของศาสนาออกไป แล้วเรามาพูดถึงสิ่งนี้ ถึง Eye of Wisdom ร่วมกัน ถึง Third Eye View ร่วมกันว่าโอเคเราพูดให้มนุษย์โลกทุกคนฟังได้ ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไรแต่ชุดความคิดนี้โอเคอย่างเพลง ‘Know Your Enemy’ เราพูดถึงอีโก้ พูดถึงถ้าคำท่านพุทธทาสก็คือ ‘ตัวกู ของกู’ คือแบบมันง่ายที่สุด ซึ่งเค้าก็แบบเออใช่เราต้องทำลายอีโก้ เพราะว่าที่ทุกวันนี้โลกมันวุ่นวายเพราะว่าทุกคนไม่จัดการกับอีโก้ของตัวเองแต่ไปจัดการกับอีโก้ของคนอื่น ก็คุยกันสำหรับพวกเรามันคือเรื่องที่พุทธมาก ๆ เลยแต่สำหรับเค้าแล้วมันเลยเรื่องศาสนาไปแล้วมันคือเรื่องของ ‘ความเป็นมนุษย์’ นี่ล่ะ
มีอีกเพลงนึงที่อยากเล่าคือเพลง ‘Siren Song’ มันคือเพลงที่ไม่ใช่วงร็อกเลยอ่ะ แล้วก็เหมือนเป็นเพลงท้ายๆ ของอัลบั้ม ทุกเพลงผมใส่เรื่องความคิด ใส่ทุกสิ่งที่อยากจะพูดหนัก ๆ ไปเยอะแล้ว เพลงนี้ผมอยากพูดแค่ว่า ‘ไม่ต้องคิด’ ไม่อยากร้องเพลงละ ไม่อยากคิดละ ไม่อยากทำอะไรเครียด ๆ ละ ไร้สาระบ้างอะไรบ้าง เค้าก็แบบถ้าไม่ใช่แบรนดอนก็ไม่รู้ว่าจะทำเพลงออกมายังไง อันนี้ก็ต้องให้เครดิตว่าก็ต้องเป็นฝรั่งที่จะเข้าใจไอเดียอะไรแบบนี้ เพลงแบบนี้ ที่พูดเรื่องที่ไม่ต้องคิดละ ไม่ต้องทำอะไรละ อยากนอนทั้งวันแล้วแต่งมาเป็นเพลงได้ (หัวเราะ) เพราะว่าเค้าห่ามกวาเราเยอะ เพดานเค้าสูงกว่าเราเยอะ
ส่วนจัสตินคนนี้ก็อีกแบบเลย ถ้าเปรียบเทียบก็จะเป็นเหมือนกับ auto กับ manual จัสตินก็จะเป็นสไตล์แบบว่าเค้าเก่งไลน์ร้องประสาน การคิดคอร์ด การคิดเมโลดี้ และก็ทำงานร่วมกับศิลปินในตำนานอย่างเช่น Prince การทำงานกับสองคนนี้มันก็จะมีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมาอย่างเช่น Prince เค้าเล่าให้ฟังสนุกมาก
แก๊ก : จัสตินเค้ามิกซ์เพลงให้ Prince ใช่มั้ยครับ Prince ก็เดินกลับมา เอ้ยไม่ชอบบอร์ดมิกเซอร์ก็โดนรูดให้กลายเป็นศูนย์หมดเลย
เฟิด : นั่งทำสองสามชั่วโมง Prince รูดลงมาศูนย์หมดเลย แล้วก็ทิ้งทวนไว้ว่าอะไรนะ
แก๊ก : ‘อย่าไปเสียดาย ผมรู้ว่าคนอย่างคุณน่ะทำได้อยู่แล้ว’ (หัวเราะ)
วิทย์ : ผมว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของการทำงานที่ชั่วโมงมันเยอะมากไป แล้วมันทำให้เกิดซาวด์ที่มันแปลกไปหมดละ เพราะฉะนั้นการรูดลงเค้าก็คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้งานมันดีขึ้น
เฟิด : อันนี้ผมว่าเป็นบทเรียนที่ล้ำค่ามาก ๆ เราจะได้คำว่า ‘Overproduce’ เพราะคนที่ทำงานมานานมีประสบการณ์เยอะ มีความคิดที่ซับซ้อน พูดง่าย ๆ คือรู้เยอะแล้วในงานของตัวเอง มักจะติดกับตรงนี้ และนี่คือสิ่งที่ Price สอนจัสตินและจัสตินสอนพวกเราว่าบางทีงานศิลปะมันก็ต้องกลับไปที่จุดเดิมนะก็คือ มันยังเป็นงานศิลปะอยู่รึเปล่าหรือเราคิดกับมันเยอะไป หรือเราตั้งคำถามกับมันเยอะไปจนความกังวลมันทำให้งานเราเป๋ มันทำให้เราไขว้เขวรึเปล่า เพราะฉะนั้นงานเพลงชุดนี้ของเราก็จะมีคำนี้ในการที่แบบเป็นสแตนดาร์ดของการทำงานว่าเพลงนี้เรากำลังคิดเยอะไปมั้ย เรากำลัง overproduce มันรึเปล่า เราต้องหาจุดที่พอดีนะ ไม่คิดเยอะเกินไปนะ และไม่ใช่ไม่คิดเลยนะ
ล้ำลึกมากเลยนะครับ
เฟิด : ล้ำลึกครับ การอยู่กับเค้านี่เหมือนถูกสะกดจิตอยู่ตลอดเวลา สภาวะจิตเค้านิ่งมากเพราะเค้าเป็นฮิปปี้ด้วยครับ อยู่แอลเอเป็นคนออสเตรเลียที่ไม่ทำงานที่อเมริกา เป็นคนสงบนิ่งมาก ๆ แต่ว่างานก็พลุ่งพล่านเหมือนกัน คือสงบข้างในแต่เวลาที่จะต้องร็อกก็คือร็อกเลย
วิทย์ : ความรู้สึกเหมือนกับเวลาเราดูหนังแล้วเห็นมือปืนเค้าจะตัวใหญ่ ๆ แต่ในชีวิตจริงมือปืนคือคนตัวเล็ก โปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงเก่ง ๆ แล้วทำให้เราว้าว ๆ ผมเชื่อว่าตัวจริงเค้าจะเป็นแบบนี้ คนแบบนิ่ง ๆ สุขุมเหมือนเค้าเกิดมาเพื่ออยู่ในห้องอัด ในวันที่เราโตมาในรูปแบบของการเป็นศิลปินพอยิ่งเจอคนแบบนี้เยอะ มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าบางอย่างมันเป็นพื้นที่ของเค้าเราต้องเคารพในพื้นที่ของเค้า เคารพในการที่เค้าบอกว่าอันนี้ใช่อันนี้ไม่ใช่ ผมว่าเรื่องนี้สำคัญเลยเพราะว่าโปรดิวเซอร์หนึ่งคนไม่ได้มาเพื่อที่จะคิดอะไร เราต้องการแค่การบอกบางอย่างว่าเอ้ยเอาหรือไม่เอา นี่เป็นเรื่องสำคัญมากเลยครับ มันเหมือนชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในห้องอัดและเอาชีวิตทั้งชีวิตมาใส่ในอัลบั้มนี้มันมีคุณค่า ผมว่าการทำงานกับโปรดิวเซอร์หลายคนอย่างสตีฟ (สตีฟ ลิลลี่ไวท์ โปรดิวเซอร์อัลบั้ม ‘Spin The World) นี่ก็โหดเหมือนกัน คนนี้ก็จะเป็นโปรดิวเซอร์ U2 ซ่า ๆ หน่อย เพลงที่เค้าทำคือเราไม่เคยได้คิดว่าเพลงมันจะต่อกันได้ ตอนนั้นเราคิดว่าเค้าแกล้งเรา
แก๊ก : นึกว่าโดนรับน้อง (หัวเราะ)
วิทย์ : แล้วเค้าก็สอนเราว่าอย่าไปฟังมันมาก มันทำให้เราเห็นภาพเลยนะ อย่างเราเคยได้ยินว่าโปรดิวเซอร์ห้ามมิกซ์เพลงเอง เรียกว่าไม่ควรดีกว่า บางทีคือเพราะเค้าต้องการมิติอื่น เราก็เลยอ๋อ โอเค คนอยู่ในอุตสาหกรรมดนตรีมา 40 กว่าปีพูดกับเรามันก็ต้องมีตรรกะบางอย่างที่พิสูจน์ได้มากกว่าเรื่องของรสนิยมแล้วล่ะ เค้าเจอประสบการณ์มากกว่าวันละ 10 ชั่วโมงในห้องอัดแล้วคงไปเจอไปเห็นอะไรมาจนมาบอกกับเราได้ ถือว่าเราโชคดีที่มีโอกาสทั้งอัลบั้มนี้อัลบั้มที่แล้วและก่อนหน้านี้ที่เราได้มีโอกาสร่วมงานกับโปรดิวเซอร์เก่ง ๆ ที่เป็นชาวต่างชาติ
วงอยู่กันมา 17 ปีแล้วถือเป็นเวลาที่นานมาก แต่ดูเหมือนว่าวงเหนียวแน่นกันมากเลย เชื่อว่าวงต้องเคยผ่านจุดต่าง ๆ ในชีวิตของการทำงานมาแล้วล่ะไม่ว่าจะเป็นจุดที่เห็นไม่ตรงกัน ขัดแย้งกันหรือทะเลาะกันบ้าง เรารับมือกับเรื่องพวกนี้อย่างไรและอะไรที่ทำให้สล็อตแมชชีนอยู่กันอย่างเหนียวแน่นได้แบบนี้ครับ
เฟิด : จริง ๆ ถ้าสำหรับผมก็คือว่ามันผ่านกันมาเยอะ มันผ่านกันมาหลายจุดมาก แล้วก็จริง ๆ มันมีหลายจุดเลยแหละที่ถ้ามันจะไม่ผ่านมันก็คือไม่ผ่านเลย แต่ว่าเราเลือกที่จะคุยกันแล้วก็ยอมรับความจริง เพราะว่าอย่างผมเองผมก็เคยทำผิดพลาดกับวง ถ้ามันเลิกมันก็จบไปเฉย ๆ แต่ว่าเราเลือกที่จะคุยแล้วก็ให้อภัยและให้โอกาส มันไม่ใช่ว่ามีครั้งเดียวด้วยมันก็มีมาเรื่อย ๆ คนอยู่ด้วยกันมากกว่าหนึ่งคนปัญหามันก็มีอยู่แล้ว แต่เราก็จะคิดว่าครั้งก่อนมันก็มีเคสนี่มันก็ผ่านมาได้นี่ เราก็จะใช้วิธีนั้นแหละที่เอามาปรับความเข้าใจกัน แต่ผมว่าสิ่งสำคัญคือให้อภัย คุยกันและยอมรับกัน เหมือนคนผิดก็ต้องซื่อสัตย์ต้องยอมรับว่าเราผิด โอเคขอโทษและเพื่อนก็มีเมตตาธรรมให้อภัย และก็เอาใหม่ เริ่มต้นกันใหม่ มันพูดเหมือนง่ายนะแต่ทำยากมากเลย
เพราะเราเป็นเพื่อนกันด้วยรึเปล่าครับ
เฟิด : ผมว่าอาจจะไม่เกี่ยวเพราะผมกับแก๊กก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยม แต่จริง ๆ ก็ไม่ได้สนิทกันมาก มาเจอกันในเรื่องดนตรีมากกว่า อย่างพี่วิทย์ก็มาในอัลบั้ม ‘Mutation’ ไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ต้น แต่ว่าพอมาอยู่ด้วยกันแล้ว มันก็ต้องมาสร้างความเป็นเพื่อน ความเป็นครอบครัว
แก๊ก : มันเป็นเรื่องยากนะครับที่เปลี่ยนความสัมพันธ์จากเพื่อนมาเป็นเพื่อนร่วมงาน มันไม่ง่าย
เฟิด : ต่อไปจะพัฒนามากกว่าเพื่อน (หัวเราะ)
วิทย์ : ออกแนวจิ้น ๆ วาย ๆ แล้ว (หัวเราะ)
แก๊ก : จากเพื่อนร่วมงานมาเป็นเพื่อนอันนี้ก็ไม่ง่าย
เฟิด : อันนี้ก็สำคัญครับความเป็นเพื่อนกับเพื่อนร่วมงาน
วิทย์ : ผมว่ามันก็กึ่ง ๆ เรื่องโชคชะตาด้วยเหมือนกันนะ เพราะเมื่อ 17 ปีก่อนเราทั้งหมดจากวันแรกจนถึงวันนี้เราสามคนก็ไม่ได้มีอะไรเหมือนเดิมเลย มันน่าจะเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่เราจะต้องเป็นแบบนั้น แต่ผมว่าสิ่งที่พูดตอนนี้เราถือว่าปลายทางของเราวงไม่แตกอยู่ แต่จากวันนี้จนถึงอนาคตทำยังไงให้มันไม่แตกต่อ และผมว่าเอาอันนี้แหละไปพูดกับวงรุ่นใหม่ที่กำลังทำวงขึ้นมาอันนี้ผมว่าน่าสนใจกว่า จากวันนี้ไปข้างหน้าผมมองว่าก่อนที่จะคิดไปในภาพรวมขององค์กรหรือว่าวง ผมมองว่าเราควร ‘เคลียตัวเองในหัวก่อน’ ผมว่าสิ่งแรกที่เราควรจะต้องทำก็คือสิ่งนี้ ‘จริงเราจริงเค้าไม่เหมือนกัน’ ก็เป็นไปได้นะ บางทีมุมมองบางอย่างมันต่างกัน เห็นตัวเองก่อนว่าโกรธรึเปล่า เห็นตัวเองก่อนว่ารู้สึกอะไรรึเปล่า ผมว่าอันนี้สำคัญ ผมเล่าเรื่องเหตุการณ์จริงให้ฟัง ผมไม่นั่งทานหม่าล่ากับเพื่อนอยู่ดี ๆ มีรากบัววางอยู่สองไม้ ผมบอกว่าผมไม่ได้สั่ง
เฟิด : โคตรละเอียด (หัวเราะ)
วิทย์ : นี่เหตุการณ์จริง คือที่จะเล่าให้ฟังเพราะว่าจริงเค้าจริงเรามันไม่เท่ากันจริง ๆ ผมบอกว่าผมไม่ได้สั่งแล้วใครสั่ง เค้าก็บอกว่าถ้าไม่มากินกับมึงกูก็ไม่สั่งแล้วใครสั่ง เช็กบิลมาผมถามพนักงานว่านี่ใครสั่ง พนักงานบอกว่าเปล่าพี่ผมเห็นพี่มากินบ่อยก็เลยแถม จริงเค้าจริงเราไม่เท่ากันจริง ๆ นี่มันเป็นเรื่องชัดเจนมากเลย ผมรู้สึกว่าเรื่องใกล้ตัวมากบนโต๊ะถ้าหากไม่รอพนักงานเด็กเสิร์ฟมาแล้วผมเกิดทะเลาะกันเอาขวดเขวี้ยงกันนั่นคือวงแตกไปแล้ว นั่นคือสมาชิกวงยกเลิกกันไปแล้วเอาแก้วเขวี้ยงกันไปแล้วเพราะกินหม่าล่า นี่คือความจริงคนละมุมผมรู้สึกว่าการจะแก้ความจริงบางทีมันต้องใช้เวลา รอเวลาที่จะมาวางบิล เช็กบิลและได้ถาม เพราะฉะนั้นก่อนถึงวางบิลคุณอดทนรอ คุณมีสติพอที่จะไม่ตัดสินไอ้รากบัวนั่นรึเปล่า มันเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กแต่ผมว่ามันเป็นทุกเรื่องในชีวิตเหมือนกันนะ เราอยู่เหนืออารมณ์ได้จริง ๆ รึเปล่า เราเป็นผู้เฝ้าดูเหมือนเพลงเราได้รึเปล่า เรากลายเป็นบุคคลที่สามที่เฝ้าดูและรู้ว่านี่โกรธอยู่นี่หว่า ถ้าเราทำได้นะผมว่าการปะทะทุกอย่างหลาย ๆ อย่างมันอาจจะไม่เกิดขึ้นในสังคมครับ
เฟิด : ‘รากบัววัดคุณธรรม’
แก๊ก : ได้เพลงใหม่ละ (หัวเราะ)
ได้คุยกับสล็อตแมชชีนแล้วรู้สึกได้ว่าทุกคนมีบางสิ่งที่เหมือน ๆ กัน เช่น ช่างสังเกตชีวิตและนำมาตีความเป็นบทเรียน คือมันมีคำกล่าวที่ว่า ‘You are what you eat.’ คุณกินอะไรคุณเป็นแบบนั้น สล็อตแมชชีนที่เป็นแบบในวันนี้เราคิดว่าเพราะอะไรหรือเพราะเราใช้ชีวิตยังไง เราอ่านอะไร เราฟังอะไร หรือเราทำอะไร จึงทำให้เราเป็นแบบนี้ครับ
วิทย์ : อย่างแรกเลยคือผมไม่เชื่อเรื่อง ‘You are what you eat.’ เราเป็นในสิ่งที่เราไม่ได้กินก็ได้
เฟิด : เรากินนกแล้วเราก็บินไม่ได้ (หัวเราะ) มันไม่ 100% แหละผมว่า ‘You are what you eat.’ ก็จริงแต่ไม่ทั้งหมด แต่อย่างที่พี่พูดผมว่าถูกเราทุกคนเป็นนักสังเกตหมด เราจะสังเกตตัวเอง สังเกตคนรอบข้าง บางสิ่งบางอย่างทุก ๆ เหตุการณ์ บางทีมันก็เป็นธรรมชาติของเราที่ไปสังเกตเฝ้ามองและไปเรียนรู้กับมัน เรื่องเล็ก ๆ อย่างเรื่องรากบัวเนี่ยใครจะไปคิด อย่างผมเรียนศิลปะแค่การเหลาดินสอมันก็ทำให้ผมเห็นเหมือนกันนะว่าการเหลาดินสอคือการเอาสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เปลือกไม้มันก็คือเปลือกสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ มันคือแก่นก็คือไส้ดินสอ ผมก็เรียนรู้จากสิ่งใกล้ ๆ ตัวหรือบางทีผมก็เรียนรู้จากเพื่อน ๆ นี่ล่ะ ก็สามคน สามแบบ สามคาแรกเตอร์ อย่างเมื่อก่อนผมก็จะเป็นคนจริงจังเกินไป ตึงจนเกินไป แล้วก็ซีเรียสทุกอย่าง ผมก็เห็นเพื่อน ๆ เค้ามีความสุขมากกว่าในเรื่องทีเราไม่มีความสุขและเพื่อนเค้าทำยังไง เค้ามีวิธีคิดยังไง เราก็รู้จักเพื่อนประมาณนึงว่าเพื่อนเป็นคนยังไงมีวิธีคิดแบบไหนกับเรื่องเดียวกัน ผมก็ปรับตัวเองจากการที่เลียนแบบเค้าเหมือนกัน เช่นถ้าเป็นแก๊กเรื่องแบบนี้แก๊กเค้าคงไม่คิดแบบนี้หรอกเค้าถึงไม่เครียด ก็มาจากการสังเกต
แก๊ก : และเราก็ชอบฟังเพลงด้วยล่ะครับ สิ่งที่สอนพวกเราก็คือเพลงดี ๆ สมัยก่อนที่พวกเราฟังกันมา ทั้งเพลงไทย เพลงต่างประเทศ ทั้งดนตรีทั้งเนื้อหานี่แหละที่ปลุกปั้นที่ทำให้เรามีวิธีคิด เชื่อว่าดนตรีมันก็มีสิ่งดี ๆ ที่ทำให้คนฟังได้ประโยชน์จากดนตรี เนี่ยทุกคนชอบฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก ประถมเลย มันอยู่ในสายเลือดมาตั้งแต่ตอนนั้นทั้ง ๆ ที่ไม่มีครอบครัวใครเป็นนักดนตรีเลย
วิทย์ : เราเรียนรู้จากชีวิตทุก ๆ ด้านทั้งการที่เราทำดีและทำไม่ดี ที่ทำไม่ดีบางทีมันก็ส่งผลอะไรกลับมาให้เราเปลี่ยนการกระทำ ผมเชื่อเรื่องนึงว่าโลกหมุนรอบตัวเรา เรากับโลกเป็นกระจกสะท้อนกัน การคิดไม่ใช่เรื่องไม่ดี การคิดไม่ได้อยู่ที่ว่าคิดมากหรือคิดน้อย การคิดไม่ได้อยู่ที่ปริมาณมันอยู่ที่คุณภาพ คิดมากไม่สำคัญเท่ากับคิดดีผมเชื่อเรื่องนี้ผมเชื่อว่าสุดท้ายถ้าจบในหัวแล้วดีแล้วไม่ได้มีเสียงสองในหัว เราโยนสิ่งดี ๆ ออกไปให้โลกผมว่ายังไงมันก็ไม่มีเรื่องแย่ ๆ กลับมา อย่างน้อยถ้าวันนึงคนไม่ได้ชอบความคิดเรา เราตกผลึกความคิดตัวเองจบแล้ว เราจะเข้าใจในเหตุของการไม่ชอบของเค้า ผมว่ามันน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องคือ การที่จะเคลียคนอื่นเคลียตัวเองให้จบก่อนว่าตัวเองดีพอที่จะส่งอะไรที่มันเป็นสสารที่มันมากกว่ามาร์เก็ตติง เพราะทุกคนมักจะมีร่างสองที่เป็นมาร์เก็ตติงอยู่ตลอดเวลาว่าฉันทำอย่างนี้เพื่อให้ได้อย่างนี้ ฉันทำไม่ดีเพราะว่ามีสิ่งนี้ ฉันทำดีเพราะฉันต้องการสิ่งนี้ ผมรู้สึกว่าบางครั้งมันไม่ได้จำเป็นอย่างนั้นกับโลกใบนี้ เราอาจจะแค่คิดให้มันจบทำสิ่งนี้แล้วมันดี เราอยากจะทำให้มันดีและก็ทำมันไป ผมว่ามันดูง่ายมากเลยนะในการลดทอนรอยต่อความคิด การพยายามคิด หนึ่ง สอง สาม สี่ แล้วบางทีเราลืมแพทเทิร์น อะไรที่มันดีมันต้องง่าย ความคิดที่ดีมันก็ควรจะง่าย แค่คิดให้ดีแล้วก็ทำ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส