เดิมทีปีนี้จะเป็นปีที่ James Bond ตอนที่ 25 No Time To Die จะเข้าฉายในโอกาส 58 ปีของแฟรนไชส์สายลับพยัคฆ์ร้ายและเป็นภาคส่งท้ายสั่งลานักแสดง Daniel Craig ด้วย แต่หนังก็เลื่อนฉายออกไปเป็นปีหน้า ท่ามกลางข่าวลือว่าผู้อำนวยการสร้างได้เร่ขายสิทธิ์ให้กับสตรีมมิงเจ้าใหญ่ แต่ไม่มีใครสู้ราคาไหวจึงกลับไปรอจ่อเข้าฉายในโรงเหมือนเดิม บวกกับเมื่อมีข่าวการเสียชีวิตของ James Bond คนแรกอย่าง Sir Sean Connery เมื่อวานนี้ (31 ตุลาคม) ก็ยิ่งทำให้การเหลียวหลังกลับไปมองความทรงจำและความผูกพันที่คอหนังมีแต่หนังชุดนี้ทวีค่ามากขึ้นไปอีก What the Fact จึงจะขอชวนย้อนเวลาหา Bond ที่ชื่อ Sean Connery กับบทความชิ้นนี้ในโอกาสแห่งความอาลัย

Sean Connery เป็นนักแสดงผู้รับบท Bond คนที่ 2 ที่เสียชีวิต หลังจาก Roger Moore ผู้รับบทเป็น Bond คนที่ 3 (ต่อจาก Connery และ George Lazenby) เสียชีวิตด้วยวัย 90 ปีเช่นกันไปเมื่อ 3 ปีก่อน Moore นั้นครองสถิติเล่น 007 ไว้มากที่สุดคือ 7 เรื่อง ใน 12 ปี ตามมาด้วย Connery ที่ 6 เรื่อง ใน 9 ปี (ถ้านับ Never Say Never Again ที่เป็นหนัง 007 นอกสารบบการสร้างของ EON Production ด้วยก็จะเป็น 7 เรื่องเท่ากัน) ถ้ามองจากการล้มลุกคลุกคลานกับแฟรนไชส์นี้ที่เริ่มจากทุนสร้างแค่ 1 ล้านเหรียญฯ ในภาคแรก มาจนถึงภาคสุดท้ายของ Connery ทุนสร้างก็เพิ่มขึ้นมาสูงถึง 7 ล้านเหรียญฯ และถ้ารวมรายได้ทั้งหมด เขาทำให้ Bond 7 เรื่อง ทำรายรับทั่วโลกไป 789.4 จากทุนสร้างแค่ 66.7 ล้านเหรียญฯ

จุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์สายลับพยัคฆ์ร้าย

James Bond เป็นตัวละครในนิยายจากปลายปากกาของ Ian Fleming เขาเกิดเมื่อ 28 พฤษภาคม 1908 ในครอบครัวชนชั้นสูงของอังกฤษ มีปู่เป็นเจ้าของสถาบันการเงินและมีพ่อเป็นสมาชิกวุฒิสภา แต่โชคร้ายที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากการเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 Ian จึงมีชีวิตที่ค่อนข้างเกเร แม้จะได้เรียนที่โรงเรียนอีตัน โรงเรียนของชนชั้นสูงของอังกฤษแต่ก็โดนไล่ออก เมื่อถูกส่งไปเรียนที่ออสเตรีย ที่นั่นเขาค้นพบความสามารถด้านการเขียนของตัวเอง แต่ก็เกิดไปมีสัมพันธ์กับนางโชว์จนติดโรคหนองในและโดนไล่ออกจากโรงเรียน ต่อมาในปี 1939 เขาไปทำงานเป็นเลขาของผู้อำนวยการข่าวกรองของเหล่าทหารเรือ และได้เป็นนายร้อย รวมถึงเขายังได้ไต่เต้าเป็นมันสมองของทีมวางแผนในปฏิบัติการลับหลายครั้ง

โต๊ะเขียนหนังสือตัวโปรดของ Fleming ในบ้าน Goldeneye ประเทศจาไมก้า
ปัจจุบันบ้าน Goldeneye เปิดเป็นบ้านพักตาอากาศและสถานที่ท่องเที่ยวด้วย

วันหนึ่งเขาเริ่มคิดถึงชีวิตและความสามารถด้านการเขียนในอดีต เลยเดินทางไปบ้านพักในจาไมก้าหลังที่ชื่อ Goldeneye และเขียนนิยายที่มีตัวละครเอกเป็น James Bond ขึ้นมา (เรื่องราวใน Dr. No ก็เกิดขึ้นที่จาไมก้า) ปี 1952 เขาเริ่มเขียนนิยายเรื่องแรก “Casino Royale” โดยถอดแบบของตัวละคร Bond ทั้งสไตล์การใช้ชีวิต รสนิยมการเลือกผู้หญิง และชีวิตการทำงานมาจากตัวเขาเองสมัยอยู่กองทัพเรือ ส่วนชื่อ James Bond นั้นจริง ๆ แล้วเป็นชื่อของนักดูนกคนหนึ่งที่เขียนคู่มือการดูนกออกมาหลายเล่ม หนึ่งในผลงานของเขาอยู่บนชั้นหนังสือของ Fleming จึงถูกหยิบมาเป็นชื่อตัวละครเอกเสียเลย

Ian Fleming กับ Sean Connery

Fleming ยังคงทำงานอยู่ในกองทัพเรือมาตลอด แต่ใช้เวลาว่างจากการทำงานและลาพักร้อนปีละ 2 เดือน ช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ เพื่อกลับไปที่บ้านหลังเดิมในจาไมก้าและนั่งลงเขียนนิยายปีละเรื่อง ตลอดชีวิตของเขาเขียนนิยาย James Bond ไว้ทั้งหมด 12 เล่มและเรื่องสั้นอีก 2 เล่ม แต่ด้วยความที่เขาเคร่งเครียดกับการทำงานและชีวิต เขาจึงมีนิสัยสูบบุหรี่จัดและดื่มหนัก จนในปี 1961 เขาเคยเกิดอาการหัวใจวายจนต้องเข้าโรงพยาบาลมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังโชคดีที่มีชีวิตอยู่มาจนมีโอกาสได้เห็นหนัง Bond 2 ตอนแรก คือ Dr. No และ From Russia with Love (1963) ก่อนที่เขาจะหัวใจวายซ้ำอีกครั้งและเสียชีวิตเมื่อ 12 สิงหาคม 1964 ด้วยวัย 56 ปี

Ian Fleming กับ Sean Connery

การเดินทางมาพบกันของ BOND และผู้ชายชื่อ Sean Connery

หลังจากเล่นหนังในบทตัวประกอบมาครบ 10 เรื่องพอดี (เรื่องแรกคือ Action of the Tiger (1957) ซึ่งเป็นงานกำกับของ Terrence Young เขาประทับใจในนิสัยของ Connery มากและให้สัญญากับ Connery ไว้ว่า ถ้ามีบทบาทดี ๆ จะติดต่อไปให้มาเล่น ต่อมา Young ก็คือผู้กำกับของ James Bond 3 ตอนแรกนั่นเอง และระหว่างกำกับนั้น Young ก็ทำหน้าที่เป็นเหมือนครูฝึกที่คอยดูแลการแสดงของ Connery เป็นอย่างดี เช่น การวางท่าการยืน การเดินต่าง ๆ ) Sean Connery ก็ได้รับเลือกให้มาแสดงในบทบาทที่โด่งดังและเป็นที่จดจำที่สุดของเขาอย่างสายลับพยัคฆ์ร้าย James Bond 007

Sean Connery ในผลงานภาพยรตร์เรื่องแรก Action of the Tiger (1957)
Terrence Young ผู้กำกับที่ให้โอกาสทางการแสดงกับ Connery อย่างแท้จริง ในภาพกับ Ursula Andress และ Connery

Sean Connery เป็นชาวสก็อตแลนด์ เกิดมาในครอบครัวชนชั้นแรงงาน ทำงานเป็นเด็กส่งนมมตามบ้าน รวมถึงรับจ้างเป็นนักแสดงเดินผ่านหน้ากล้องด้วย เขาเคยต้องไปสมัครเป็นทหารเรือเพราะไม่มีจะกิน Connery เคยทำงานเป็นกะลาสีบนเรือรบ และเข้าโรงเรียนทหารปืนใหญ่แต่เกิดอุบัติเหตุจนมีแผลติดเชื้อ จนผู้บังคับบัญชาสั่งไม่ให้เขาทำงานบนเรืออีก (ต่อมาประสบการณ์ที่เคยเป็นทหารเรือดันตรงกับปูมหลังของ James Bond ซึ่งทำให้เขาเล่นได้อย่างแนบเนียน)

ตอนประกวด มิสเตอร์ยูนิเวิร์ส

ต่อมาเขาลองไปเข้าประกวด “มิสเตอร์ยูนิเวิร์ส” (หรือชายงามจักรวาล รางวัลที่อยู่คู่กับนางงามจักรวาลในสมัยนั้น ภายหลังรางวัลชายงามนี้ได้ยกเลิกไป) โดยได้รางวัลอันดับ 3 นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเข้าตาแมวมองและได้เริ่มเข้าสู่การแสดง ต่อมาเขาไปทดสอบบทกะลาสีเรือในละครเวที South Pacific และได้บทมาอย่างง่ายดาย เรื่องที่หลายคนไม่ค่อยรู้คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าเขาจะไปได้ดีกับการแสดงละครเวที เมื่อคณะละครไปเปิดการแสดงที่เมืองแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ และ Connery ได้ลงปะทะฝีเท้ากับทีมเยาวชนของทีมฟุตบอลระดับโลกอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนเข้าตา Matts Busby ผู้จัดการทีมที่ออกปากชวนเข้ามาเป็นนักฟุตบอลของทีม แต่ท้ายที่สุดเขาก็ตอบปฏิเสธไปเพราะคิดว่าการทำอาชีพนักฟุตบอลนั้นมีอายุสั้นกว่าการเป็นนักแสดงหนังหรือละคร

Albert R. Broccoli, Sean Connery, Ian Fleming และ Harry Saltzman

Connery ได้ไปแสดงหนังของ Disney แต่ก็ยังไม่ดัง สุดท้ายภรรยาของเขาก็ได้บอกให้ลองไปทดสอบบทกับ 3 โปรดิวเซอร์ Albert R. Broccoli, Harry Saltzman และ Stanley Sopel รวมถึง Ian Fleming เจ้าของนิยาย James Bond ที่กำลังมองหาคนมารับบทนี้อยู่ ในเวลาน้ัน มีนักแสดงดังแห่งยุคมากมายที่เป็นที่หมายตาของทีมสร้าง อย่างเช่น Christopher Lee ที่ต่อมากลายมาเป็นตัวร้ายของตอน The Man with the Golden Gun (1974)), David Niven ที่ได้มาเล่นเป็น Bond ในหนังนอกสารบบ Casino Royale (1967) อีกเรื่อง, Cary Grant จาก North by Northwest (1959) และ James Mason จาก Lolita (1962)

Christopher Lee
David Niven กับบท Bond ใน Casino Royale (1967) ของหนัง Bond นอกสาระบบ
Cary Grant
James Mason

แต่เนื่องจากทีมสร้างมีทุนสร้างแค่ 1 ล้านเหรียญฯ ซึ่งนับว่าน้อยมากในยุคนั้นจึงต้องหาดาราโนเนมมารับบท นักเขียน Fleming เมื่อได้พบกับ Connery แล้วเขาบอกว่า ชายคนนี้ไม่ตรงกับ Bond ในความคิดของเขาเลย แต่สิ่งที่ทำให้ทีมสร้างทุกคนตัดสินใจเลือก Connery ก็คือภรรยาของ Fleming ที่พูดขึ้นมากลางห้องประชุมเลยว่า “ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์เป็นบ้า!” Sean Connery ได้สร้างมาตรฐานของ Bond ที่จะต้องเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ สมชายชาตรี เป็นสุภาพบุรุษ หล่อเหลาจนเป็นนักรักที่มีเสน่ห์เกินห้ามใจ

สุดท้าย Sean Connery ก็คว้าบทนี้ไป

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

DR. NO (1962)

ตอนแรกสุดอันถือเป็นต้นกำเนิดของหนัง James Bond ตลอด 25 เรื่อง Sean Connery ที่เคยเข้าประกวดมิสเตอร์ยูนิเวิร์สหรือชายงานจักรวาลจนได้อันดับ 3 และเคยรับบทเล็ก ๆ ในหนังของ Disney ได้รับการคัดเลือกมารับบทสายลับพยัคฆ์ร้าย เขาเป็นชาวสก็อตแลนด์ แต่ด้วยเพราะมีบุคลิกได้สัดส่วนแกมแววเจ้าชู้ จึงทำให้ได้รับบทนี้ไป สมทบด้วย Ursula Andress นักแสดงสาวที่กลายเป็นดาวเซ็กซี่มาอีกหลายสิบปี หนังภาคแรกยังคงเอกลักษณ์นิยายของ Ian Fleming ในการเป็นเรื่องราวสายลับแต่เพิ่มเติมบทบู๊โลดโผนเข้าไปทำให้ถูกใจคอหนังทั่วโลก แม้ตอนฉายจะมีกลุ่มหัวอนุรักษ์นิยมออกมาต่อต้านหนังว่าเต็มไปด้วยฉากเซ็กซ์และความรุนแรงที่มากเกินไปก็ตาม

ตอนนี้เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการของอังกฤษและเลขานุการส่วนตัวถูกฆ่าตายอย่างลึกลับที่จาไมก้า James Bond ได้รับคำสั่งจาก M ให้เขาไปสืบสวน พร้อมกับหาสาเหตุว่า ทำไมจรวดของสหรัฐฯ ที่ส่งไปจากแหลมคาร์นาเวอร์รัลจึงไม่ตกไปยังเป้าหมายที่กำหนดไว้ ที่จาไมก้า Bond ได้พบกับสายลับ CIA Felix Leiter และได้สืบสาวไปจนเกือบจะถูก Miss Taro ฆ่าตาย เธอเชื่อมโยงไปถึง Dr. No บุรุษลึกลับที่ Bond ตามไปจนถึงเกาะลึกลับที่ไม่มีใครกล้าเดินทางไป Bond ได้พบกับ Dr. No สมาชิกคนสำคัญขององค์การร้าย Spectre ที่สร้างเครื่องมือพิเศษเพื่อควบคุมเรดาร์นำวิถีแบบพิเศษล่าสุด เพื่อให้ไปตกยังที่ใดก็ได้ตามที่ต้องการ Bond จึงต้องหยุดยั้งวายร้ายคนนี้ให้ได้

  • นักแสดง: Sean Connery, Ursula Andress, Joseph Wiseman, Jack Lord, Bernard Lee, Lois Maxwell
  • ผู้กำกับ: Terrence Young (007- From Russia With Love, Thunderball, Bloodline, Inchon)
  • ชื่อภาษาไทยของหนัง: พยัคฆ์ร้าย 007
  • วายร้ายประจำเรื่อง: เศรษฐีนักวิทยาศาสตร์ Dr. No แห่ง Spectre
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 1/16 ล้านเหรียญฯ

FROM RUSSIA WITH LOVE (1963)

ตอนที่ 2 ของสายลับพยัคฆ์ร้ายหลังจากความสำเร็จในภาคแรก ทำให้ได้ทุนสร้างเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัว Sean Connery ยังคงกลับมารับบทเดิมที่แจ้งเกิดเขาให้เป็นนักแสดงระดับโลก สมทบด้วยนางเอก Daniela Bianchi ชาวอิตาเลียนที่ Ian Fleming ผู้เขียนนิยายแนะนำให้มารับบทนี้ หลังจากเล่นเรื่องนี้เธอแต่งงานกับมหาเศรษฐีและอำลาวงการแสดงไป หนังยังเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของ Q หัวหน้าแผนกอาวุธของหน่วยงานราชการลับอังกฤษ รับบทโดย Desmond Llewelyn ซึ่งรับบทนี้ยาวนานมาจนถึงภาค The World is not Enough (2000) ก่อนจะเสียชีวิต และหนังยังเปิดตัววายร้ายตลอดกาล Blofeld เป็นครั้งแรก ที่ยังไม่เปิดเผยใบหน้า เพียงแต่นั่งลูบแมวเปอร์เซียสีขาวเท่านั้น

เรื่องราวของตอนนี้ องค์การ Spectre ต้องการกำจัด James Bond เพราะแค้นที่ฆ่า Dr. No สมาชิกคนสำคัญแถมยังทำลายแผนการจะครองโลก จึงได้ส่งสมาชิกลำดับ 3 Rosa Klebb กับสมาชิกลำดับ 5 ที่เป็นนักหมากรุกระดับแชมป์โลก วางแผนฆ่า Bond Klebb โดยใช้สาวสวย Tatiana Romanova เจ้าหน้าที่สถานทูตรัสเซียเป็นเหยื่อล่อ Bond ที่ได้รับคำสั่งให้มารับเครื่องมือถอดรหัสรุ่นใหม่จากสถานทูตรัสเซียที่ประเทศตุรกี เมื่อ 007 ได้รับเครื่องถอดรหัสไปแล้ว เขาและ Tatiana ที่ Bond มารู้ทีหลังว่าถูกหลอกเป็นเหยื่อล่อ จึงถูกติดตามจากสายลับ Donald ‘Red’ Grant ลูกน้องของ Klebb ที่จะมาแย่งเครื่องมือถอดรหัสจาก Bond Red ที่ทั้งโหดและฝีมือใกล้เคียงกับเขา จนกระทั่ง Bond ได้เผชิญหน้ากับ Rosa Klebb ในท้ายที่สุด

  • นักแสดง: Sean Connery, Daniela Bianchi, Pedro Armendáriz, Lotte Lenya, Robert Shaw
  • ผู้กำกับ: Terrence Young (007- Dr. No, Thunderball, Bloodline, Inchon)
  • ชื่อภาษาไทยของหนัง: เพชรฆาต 007
  • วายร้ายประจำเรื่อง: สายลับสองหน้าชาวรัสเซีย Rosa Klebb
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 2/24 ล้านเหรียญฯ

GOLDFINGER (1964)

Goldfinger ได้รับการโหวตจากคอหนังให้เป็นตอนที่แฟน ๆ ชอบที่สุดของ Sean Connery รวมถึงยังเป็น Bond ตอนที่ Steven Spielberg ผู้กำกับชื่อดังชอบมากที่สุดด้วยเช่นกัน “จอมมฤตยู 007” เป็นตอนที่ Bond เริ่มเปลี่ยนจากหนังนิ่ง ๆ มีฉากแอ็กชันไม่เยอะ มาเป็นหนังที่เข้าสู่สูตรสำเร็จของหนัง 007 ที่ปรากฏมาจนถึงยุคหลัง นั่นคือการเปิดเรื่องด้วยฉากแอ็กชันตื่นตา และเต็มไปด้วยฉากสัมพันธ์หวาบหวามกับสาว ๆ หนังยังมีตัวละครสาวใหญ่ครั้งแรกที่อายุมากกว่า Bond มาเป็นสาว Bond นั่นคือ Pussy Galore ที่ในนิยายของ Fleming บอกว่าเธอเป็นเลสเบียนด้วย แต่ในที่สุดเธอก็พ่ายแพ้ต่อเสน่ห์ของ Bond ตอนนี้เป็นตอนเดียวของ Connery ที่ตัวร้ายไม่ได้ข้องเกี่ยวกับองค์การ Spectre เลย

เรื่องราวของตอนนี้ James Bond ไปพักผ่อนที่ไมอามี เขาได้รับคำสั่งให้ติดตาม Goldfinger มหาเศรษฐีนักธุรกิจการเงินระดับโลก Bond จับกลโกงไพ่ของเขาได้ตอนเจอกันจากความช่วยเหลือของ Jill Masterson ที่ Bond มีสัมพันธ์ด้วยก่อนที่เธอจะถูกฆ่าตายและใช้ทองคำทาทั่วศพของเธอ อีกครั้ง Bond ซ้อนแผนกลโกงของ Goldfinger ตอนมาตีกอล์ฟด้วยกัน นั่นทำให้ Goldfinger แค้นฝังใจ หลักฐานปรากฏว่า Goldfinger ลักลอบขนทองคำข้ามประเทศและเป็นผู้สะสมทองจำนวนมาก กำลังจะปล้นทองคำสำรองของสหรัฐฯ ที่ฟอร์ดน็อกซ์ ทำลายทองคำเหล่านั้นด้วยนิวเคลียร์ด้วยความร่วมมือจากประเทศจีน โดยหวังจะให้ทองคำสำรองของสหรัฐฯ ปนเปื้อนไปทั่วโลก 007 จึงต้องหยุดวายร้ายนี้ให้ได้

  • นักแสดง: Sean Connery, Gert Fröbe, Honor Blackman, Shirley Eaton, Tania Mallet
  • ผู้กำกับ: Guy Hamilton (007- Diamonds Are Forever, Live and Let Die, The Man with the Golden Gun)
  • ชื่อภาษาไทยของหนัง: จอมมฤตยู 007
  • วายร้ายประจำเรื่อง: นายทหาร Goldfinger
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 3/124 ล้านเหรียญฯ
  • บทบาทบนเวทีออสการ์: ชนะ 1 สาขา (เอฟเฟกต์และซาวด์เอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม)

THUNDERBALL (1965)

ลิขสิทธิ์การสร้างหนัง James Bond ทุกตอนนั้นเป็นของบริษัท EON Production ของ Albert R. Broccoli และ Harry Saltzman จะมีก็แต่เรื่องราวในนิยายจากภาค Thunderball นี้เองที่ลิขสิทธิ์เป็นของ Kevin McClory ที่ถือลิขสิทธิ์ร่วมกับ Ian Flemming ผู้เขียนนิยาย EON ได้ทุ่มงบมหาศาลเพื่อซื้อสิทธิ์นิยายเรื่องนี้มาสร้าง ทำให้งบสร้างถีบตัวจาก 3 ล้านเหรียญฯ ในภาคก่อนเป็น 9 ล้านเหรียญฯ และก็ยังต้องยอมให้ Kevin McClory เป็นผู้อำนวยการสร้างแต่เพียงผู้เดียว Thunderball ยังเป็นหนัง 007 ที่ทำรายได้สูงสุดของ Sean Connery ด้วย

ตอนนี้เป็นเรื่องราวขององค์กร Spectre วางแผนขโมยระเบิดปรมาณู 2 ลูกขององค์การ Nato โดย Blofeld ได้มอบหมายให้สมาชิกหมายเลข 2 Largo เป็นผู้ดำเนินการ โดยให้สมาชิกขององค์กรปลอมตัวเพื่อเป็นนักบินของ Nato และสังหารนักบินตัวจริง Largo ส่งมือสังหารคนสวย Fiona เข้าไปจัดการฆ่านักบินที่ศูนย์พักฟื้นสุขภาพที่ James Bond ไปรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บอยู่พอดี Spectre ขโมยระเบิดปรมาณู 2 ลูกได้สำเร็จและเรียกค่าไถ่ 289 ล้านเหรียญฯ หรือ 100 ล้านปอนด์ ไม่อย่างนั้นจะถล่มใส่สักเมือง ไม่อังกฤษก็สหรัฐฯ Bond จึงต้องออกปฏิบัติการภายใต้รหัสลับ Thunderball เขาออกเดินทางไปหมู่เกาะบาฮามาส ได้รับความช่วยเหลือจาก CIA Felix Leiter เพื่อแทรกซึมเข้าไปถึงตัว Largo ผ่านทาง Domino เมียเก็บของ Largo

  • นักแสดง: Sean Connery, Claudine Auger, Adolfo Celi, Luciana Paluzzi, Rik Van Nutter
  • ผู้กำกับ: Terrence Young (007-Dr. No, From Russia With Love, Bloodline, Inchon)
  • ชื่อภาษาไทยของหนัง: ธันเดอร์บอล 007
  • วายร้ายประจำเรื่อง: มหาเศรษฐี Largo สมาชิกหมายเลข 2 ขององค์กร Spectre
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 9/141 ล้านเหรียญฯ
  • บทบาทบนเวทีออสการ์: ชนะ 1 สาขา (สเปเชียลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม)

(อ่านต่อหน้าถัดไป)

YOU ONLY LIVE TWICE (1967)

หนัง James Bond ลำดับที่ 5 ที่พลิกแนวไปจากเดิมตรงที่มาดำเนินเรื่องกันที่ประเทศญี่ปุ่น และใช้นักแสดงญี่ปุ่นกันเกือบตลอดทั้งเรื่อง หลังจากเรื่องนี้ Sean Connery ขอถอนตัวจากบท Bond หลังจากเรื่องนี้ หนังจึงได้ George Lazenby มารับบท Bond ใน On Her Majesty’s Secret Service (1969) แต่หนังล้มเหลวมาก ทำให้ผู้อำนวยการสร้างต้องกลับไปจีบ Connery มาสร้างความเชื่อมั่นอีกครั้ง ส่วนในภาคนี้หนังได้แสดงท่าทีกดขี่ทางเพศกับเพศหญิงอย่างชัดเจน ซ้ำสองด้วยการเป็นผู้หญิงเอเชียอย่างญี่ป่นเสียด้วย ตั้งแต่ฉากร่วมรักของ Bond กับสาวฮ่องกงและญี่ปุ่นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้น Bond ก็ได้เข้าพิธีแต่งงานแบบญี่ปุ่น (ปลอม ๆ เพื่อทำงานลับ) เป็นคร้ังแรก

องค์การร้ายระดับโลก Spectre ร่วมมือกับประเทศจีน สร้างยานอวกาศพิเศษขนาดยักษ์เพื่อดูดกลืนยานอวกาศของสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต สร้างเรื่องให้เกิดการเข้าใจผิดระหว่างกันของขั้วมหาอำนาจและหวังจะให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 กองทัพเรือของอังกฤษต้นสังกัดเดิมของผู้การ Bond จึงขอความช่วยเหลือมายังหน่วย MI6 และขอให้ 007 ออกปฏิบัติการ มีการสร้างเรื่องว่า Bond ออกสืบราชการลับในฮ่องกงและถูกยิงตาย แต่จริง ๆ แล้วเป็นการสร้างข่าวลวง เขาบุกไปถึงญี่ปุ่นได้สู้กับซามูไรและนินจา ตามไปจนเจอฐานลับของ Spectre ที่ซ่อนไว้ในปล่องภูเขาไฟ และได้เผชิญหน้ากับคู่ปรับตลอดกาล Blofeld เป็นครั้งแรกในภาคนี้ ที่บอกกับ Bond (ที่แกล้งตายไปแล้วว่า) “คุณมีแค่สองชีวิตเท่านั่นละ”

  • นักแสดง: Sean Connery, Donald Pleasence, Akiko Wakabayashi, Mie Hama, Tetsurô Tanba
  • ผู้กำกับ: Lewis Gilbert (007-Moonraker, The Spy Who Loved Me, Educating Rita)
  • ชื่อภาษาไทยของหนัง: จอมมหากาฬ 007
  • วายร้ายประจำเรื่อง: คู่ปรับตลอดกาล Blofeld แห่ง Spectre
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 9/111 ล้านเหรียญฯ

DIAMONDS ARE FOREVER (1971)

กลับมารับบท Bond อย่างพกความมั่นใจสูงสุดว่าไม่มีใครมาแทนที่เขาได้ในบทนี้ แม้เนื้อเรื่องจะดำเนินคล้าย ๆ กับภาคที่แล้ว You Only Live Twice แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่แฟน ๆ จะไม่ดูหนัง 007 ภาคนี้ถือว่าลดความแฟนตาซีจ๋าลงจากภาคก่อน ๆ และอ้างอิงสงครามเย็นน้อยลง และภาคนี้เป็นภาคสุดท้ายจริง ๆ ของตัวร้าย Blofeld ที่ได้เป็นตัวร้ายแบบเต็มตัว (ซึ่งก็ไม่ได้จบตัวละครนี้ว่าถึงแก่ความตายแต่อย่างใด) และกว่าจะกลับมาอีกทีก็ภาค Spectre (2017) ที่เหมือนเป็นการรีเมกกลาย ๆ กับบทที่ Christoph Waltz แสดงไว้

เรื่องราวในภาคนี้ M ได้สั่งให้ Bond ตามคดีลอบค้าเพชรเถื่อนที่ดูไม่ชอบมาพากลที่ประเทศฮอลแลนด์ เพราะอยู่ดี ๆ เพชรก็หายไปเฉย ๆ ไม่ปรากฏแม้ในตลาดมืด 007 ปลอมตัวเป็น Peter Franks นักค้าเพชรเถื่อนทำทีตีสนิท Tiffany Case ที่รับจ้างขนส่งเพชรซึ่งเธอก็แอบหลงรัก Bond แถมยังรู้ตัวตนจริงของเขาแล้วด้วย Bond กับ Tiffany ขนส่งเพชรเข้าสหรัฐฯ ไปในโลงศพของ Franks โดยมี Mr. Wint กับ Mr. Kidd 2 นักฆ่าโรคจิตคอยติดตามสะกดรอย Bond รอดมาได้เพราะความช่วยเหลือของ CIA ก่อนจะสืบเสาะไปพบว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือชายชื่อ Willard Whyte ที่ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะนาน 3 ปี ก่อนที่ Bond จะบุกไปเจอว่า Blofeld ได้สวมรอยเป็น Whyte และดำเนินแผนชั่วร้ายนี้โดยใช้เพชรไปหักเหแสงเลเซอร์ในดาวเทียมเพื่อทำลายเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก

สิ่งที่ต้องขอหมายเหตุเอาไว้สำหรับ Sean Connery ในการรับแสดงหนังเรื่องนี้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ เขาตัดสินใจมอบเงินค่าตัวทั้งหมดในการแสดงของภาคนี้กว่า 1.2 ล้านเหรียญฯ ให้กับองค์กรการกุศลในสก็อตแลนด์ด้วย

  • นักแสดง: Sean Connery, Jill St. John, Charles Gray, Lana Wood, Bruce Cabot
  • ผู้กำกับ: Guy Hamilton (007- Goldfinger, Live and Let Die, The Man with the Golden Gun)
  • ชื่อภาษาไทยของหนัง: เพชรพยัคฆ์ราช 007
  • วายร้ายประจำเรื่อง: คู่ปรับตลอดกาล Blofeld แห่ง Spectre
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 7/43 ล้านเหรียญฯ
  • บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 1 สาขา (ผสมเสียงยอดเยี่ยม)

NEVER SAY NEVER AGAIN (1983)

ที่มาที่ไปของหนัง Bond นอกคอกหรือนอกสารบบของ EON Production เรื่องนี้เกิดมาจากช่วงปลายยุค 1950s ตอนที่ Ian Fleming ได้ร่วมงานกับ Kevin McClory โปรดิวเซอร์อิสระ และแชร์ลิขสิทธิ์นิยายตอน Thunderball ร่วมกันกับ McClory นิยายตอนนี้ของ Fleming นั้นเคยเป็นบทหนังมาก่อนซึ่ง Fleming ร่างไว้กับ Jack Whittingham ในชื่อหนังว่า Longitude 78 West แต่เกิดทะเลาะกันจนวงแตกไปก่อนหนังจะสร้างจริง Fleming จึงเอามาเขียนเป็นนิยายวางขายต่อโดยไม่ได้ขออนุญาตหรือให้เครดิต McClory เลย เขาจึงยื่นฟ้องต่อศาลเรียกร้องสิทธิ์ของนิยายและหนังที่จะสร้างจากนิยายเรื่องนี้ ซึ่งสุดท้าย McClory ชนะคดีในปี 1963 ส่งผลให้เขาได้เครดิตเป็นผู้อำนวยการสร้างคนเดียวในภาค Thunderball ของ EON Production ปี 1965 แต่ก็มีเงื่อนไขว่า McClory จะต้องไม่สร้างหนังที่ดัดแปลงจากนิยายชุดนี้จนกว่าจะผ่านไป 10 ปี

ต่อมากลางยุค 1970s McClory ก็ได้นำนิยายมารีเมกเป็นหนัง Bond อีกครั้ง และได้ Sean Connery กลับมารับบทเดิม เล่นในหนังที่เนื้อเรื่องที่เหมือนเดิมเป๊ะ ออกฉายปี 1983 ชนกันกับทีมสร้างแฟรนไชส์หลักที่ส่งตอน Octopussy ของ Roger Moore เข้าฉาย Never Say Never Again นั้นระหว่างการสร้างก็ประสบปัญหามากมาย หลัก ๆ คือการถูกเล่นงานทางข้อกฎหมายจาก EON Production ส่วนชื่อหนังมีที่มาจากคำพูดของภรรยา Connery ที่พูดขึ้นมาเพราะกังวลว่าหนังจะสร้างไม่เสร็จและทีมสร้างก็หยิบมาใช้เป็นชื่อหนังเสียเลย สุดท้ายหนังประสบความสำเร็จระดับปานกลาง (เพราะคนดูก็ไม่รู้หรอกว่า เป็นหนัง 007 ที่สร้างโดยทีมไหนกันแน่) และค่าย MGM ก็ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของหนังกลับมารวมอยู่กับเรื่องอื่น ๆ ในที่สุด

หนังเล่าเรื่องของ James Bond ที่เข้าสู่วัยทอง M ส่งให้เขาเข้าคลินิกตรวจสุขภาพเพื่อตรวจเช็กร่างกาย ทำให้ Bond ได้พบกับ Fatima พยาบาลลึกลับที่พันผ้าพันแผลไปทั้งตัวและมีท่าทางแปลก ๆ ความจริงเผยว่า Fatima นั้นทำงานให้กับองค์กร Spectre บงการโดย Blofeld ที่กำลังดำเนินแผนการร้ายด้วยการจารกรรมหัวรบนิวเคลียร์ 2 ลูกไปและนำมาใช้เป็นเงื่อนไขข่มขู่เงินจากประเทศต่าง ๆ M ได้มอบหมายให้ Bond ติดตามหัวรบกลับคืนมาโดยให้เข้าทางน้องสาวของ Fatima ที่ชื่อ Domino ซึ่งถูกควบคุมตัวไว้โดย Maximilian Largo มหาเศรษฐีที่เป็นหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของ Spectre

https://www.youtube.com/watch?v=0RIICiAaEwI
  • นักแสดง: Sean Connery, Klaus Maria Brandauer, Max von Sydow, Barbara Carrera, Kim Basinger
  • ผู้กำกับ: Irvin Kershner (Star Wars: The Empire Strikes Back, Robocop 2,)
  • ชื่อภาษาไทยของหนัง: พยัคฆ์เหนือพยัคฆ์
  • วายร้ายประจำเรื่อง: คู่ปรับตลอดกาล Blofeld แห่ง Spectre
  • ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 36/55 ล้านเหรียญฯ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส