พบกับเรื่องราวอันเปี่ยมไปด้วยสีสันของชายที่มีชื่อว่า ‘ซัน มาโนช พุฒตาล’ กันต่อ ตลอดระยะเวลาชีวิต 64 ปีจากจุดเริ่มต้นของการเป็นคนที่มีใจรักในเสียงดนตรีแต่รู้ดีว่ามิอาจเก่งเหนือใครจึงหันเหไปสู่การเป็น ‘นักเล่าเรื่อง’ จนพบว่าการเล่าเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเขาก็คือ ‘การเล่าเรื่องผ่านบทเพลงและเสียงดนตรี’ จนได้เติบโตสู่การเป็นนักจัดรายการโทรทัศน์และวิทยุที่มีท่วงท่าลีลาและรูปแบบการนำเสนอไม่เหมือนใคร การทำนิตยสารทางดนตรีที่เข้มข้นถึงใจ เปิดค่ายเทปเพียงเพื่อจะช่วยเอาผลงานของเพื่อนศิลปินมาขายแต่สุดท้ายก็ได้ทำอย่างจริงจังในที่สุด รวมไปถึงการเป็นคนที่จัดเทศกาลดนตรีครั้งแรกในเมืองไทยด้วยรูปแบบที่แปลกใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนจนเป็นต้นแบบเทศกาลดนตรีเจ๋ง ๆ ของไทยในปัจจุบัน
หากคุณเคยได้ยินชื่อเหล่านี้ ‘เที่ยงวันอาทิตย์ รายการบันเทิงคดี นิตยสารบันเทิงคดี เทศกาลบันเทิงคดี และ Milestone Records’ ต่อไปนี้คือเรื่องราวของชายผู้อยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้กับบทเรียนและประสบการณ์ อันมีค่าที่เขาได้รับมาจากการได้ลงมือทำในสิ่งที่รัก ลองสัมผัสเรื่องเล่าจากชายผู้เป็นนักเล่าเรื่องที่ชื่อ ‘มาโนช พุฒตาล’ กันต่อได้เลยครับ
ทุกวันนี้พี่ซันทำอะไรบ้างครับ
จัดรายวิทยุที่อสมท. 2 คลื่น จัดรายการโทรทัศน์ที่ช่องไทยพีบีเอสหนึ่งรายการนี่คืองานอาชีพ ที่เหลือก็ทำงานเก่าเช่นงานของไมล์สโตนที่ยังขายอยู่ก็ทำให้มันเคลื่อนไหวผ่านทางยูทูบ ผ่านทางเฟซบุ๊กบ้าง
ค่ายไมล์สโตนยังแอ็กทีฟอยู่ใช่มั้ยครับ
แอ็กทีฟในด้านยังขายของอยู่แต่ยังไม่ได้สร้างงานใหม่ มีบ้างแต่ไม่ได้เผยแพร่
สองรายการวิทยุนี่เป็นยังไงบ้างครับ
มีคลื่น 96.5 (คนกรุงเก่าเล่าเรื่อง : จันทร์-พฤหัส 5ทุ่ม – เที่ยงคืน) เป็นรายการคุยเล่าเรื่องอะไรต่าง ๆ ที่จั่วหัวว่าคนกรุงเก่าเล่าเรื่อง ส่วนอีกคลื่นนึงคือ 97.5 (Music Journey ทุกวันเสาร์ 9.00-12.00) เป็นรายการเพลงชื่อคลื่นว่า Mellow ผมเรียกมันว่ารายการเจอนั่นเจอนู่นเป็น Music Journey ผมเล่าเรื่องการเดินทางผ่านการอุปโลกน์ว่าเป็นยานอวกาศชื่อว่า ‘ยานกำมะลอ ชมพ 2499’ อย่างกัปตันเคิร์กก็มี USS enterprise และก็มีรหัสใช่มั้ยครับ ผมก็เอาของผมบ้าง ชมพ. ก็มาจาก ‘ช่องมาโนช พุฒตาล’ ส่วน 2499 ก็ปีเกิดผม แล้วผมก็เป็นกัปตันชื่อว่า กัปตันกำมะลอ คำว่ากำมะลอนี่ก็คือไม่มีอยู่จริง แต่ผมก็จะพาแฟนเพลงขึ้นมาด้วยกัน ก็จะบีมขึ้นมาบนเครื่องเวลาเดินทางผมก็จะบอกรัดเข็มขัดนะ อากาศแปรปรวนนะผมก็จะเปิดเพลง Black Sabbath ออกไป พาคุณผู้ฟังเดินทางไปสนุก ๆ โดยมีเพลงเป็นเครื่องมือ
ดูพี่ซันเป็นคนสนุกกับการเล่าเรื่องจริง ๆ นะครับ เป้าหมายของการเป็นนักเล่าเรื่องของพี่ซันคืออะไรครับ
ผมต้องพยายามทำให้เค้าเห็นภาพ ได้กลิ่น มีความรู้สึกร่วม ถ้าคุยเรื่องอาหารก็อยากให้เค้าหิว คุยเรื่องร็อกแอนด์โรลส์ก็อยากให้เค้าดิ้น แต่ก็มีเป้าหมายลึก ๆ อยากให้เรื่องเล่าของผมนำพาพวกเขาไปสู่การชำระล้างจิตใจ อยากทำสิ่งที่มีประโยชน์ ผมชอบถามตัวเองว่าทำเพื่ออะไร
พี่เริ่มถามมานานรึยังครับหรือเพราะมีประสบการณ์มากขึ้น
เป็นเพราะมีประสบการณ์มากขึ้น สมัยก่อนผมมักไม่ค่อยถามตัวเองว่าทำไปเพื่ออะไร นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมล้มเหลวอยู่ตลอด พี่ดำรงก็เป็นคนสอนผม ผมก็เริ่มคิดว่าทำแล้วได้อะไร ทำเพื่ออะไรแต่ไม่ได้เป็นในเชิงธุรกิจอย่างเดียวนะ มันมีเหตุผลของมัน
THE BEGINNING จุดเริ่มต้น
การที่มีพี่ชายเก่งอย่างคุณดำรงได้ส่งผลต่อการเป็นนักสื่อสารมวลชนของพี่มั้ยครับ
ในตอนวัยเด็กตอนที่พี่ผมโด่งดังแล้ว มันมีความภูมิใจแอบเอาชื่อเสียงเค้ามาเป็นเครื่องประดับ ‘เป็นน้องดำรง’ แต่พอผมโตมาเริ่มทำสื่อเวลาใครบอกนี่น้องดำรง เราก็คิดว่าเวลาเจอดำรงทำไมไม่มีใครบอกว่า ‘พี่มาโนช’ บ้างวะ (หัวเราะ) เรื่องอิทธิพลนั้นชัดเจนอยู่แล้ว เพราะพี่ดำรงเป็นมือกลอง เค้าชอบเป่าฮาร์โมนิกา เป็นนักเพลงคันทรี่แฟนเพลงแฮงก์ วิลเลียม ที่บ้านก็จะมีเพลงเพราะ พี่เค้าหามา เราก็ชอบฟังเพราะพี่ชาย ต่อมาพอเค้าโด่งดังผมก็ยังไม่รู้ว่าชอบทำอะไร แต่ทำสวน ปลูกต้นไม้ ขุดดิน ก็เข้าใจว่าชอบต้นไม้ เราควรจะเรียนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็เลยจะสมัครคณะวนศาสตร์ที่เกี่ยวกับป่าไม้ ก็เป็นโชคที่พ่อไม่ได้บังคับให้เรียนศาสนาและก็เป็นโชคที่เราสอบไม่ติด แล้วผมก็ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมีเวลาหนึ่งปีที่อยู่กับตัวเองมากกว่าที่เคยผ่านมา มีโอกาสไตร่ตรองว่าเราถนัดอะไร อิทธิพลของพี่ดำรงส่งผลช่วงนี้มาก เราเลยคิดว่ากลับมาเรียนนิเทศศาสตณ์ดีกว่าจะได้เป็นนักสื่อสารแบบพี่รงแล้วผมก็มาเอนท์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬา ฯ ตอนเด็กเราอหังการ์มาก อยากเป็นนักกีตาร์ที่เก่งระดับโลก เวลาเจอวงรุ่นพี่ที่เก่ง ๆ เราจะมองข้ามหัวเค้าเลย เราจะต้องไปไกลกว่านี้ ไปแบบ Steve Howe วง Yes ก็คิดว่าตัวเองจะต้องเก่งให้ได้แบบนี้ แต่พอเริ่มเจอเพื่อน ๆ ในวงการโอ้โหมันเก่งกว่าเรามาก แค่ระดับเพื่อนเราเรายังไม่ถึงเลย ก็เลยหาหนทางที่เราทำได้ดีกว่าเล่นดนตรี ก็แต่ก็ยังเล่นดนตรีนะ ก็เลยมาพบว่าผมพูดได้ เล่าเรื่องดีพอสมควร โน้มน้าวจิตใจได้ แต่เอากีตาร์ เอาดนตรีมาช่วยด้วยสิ แล้วมันน่าจะทำให้ผมได้อยู่กับดนตรีได้ด้วย
แล้วพยายามอยากเป็นอย่างที่ฝันมั้ยครับ
พยายามอย่างยิ่ง อยากเป็นมือกีตาร์แต่เราไม่มีกีตาร์เพราะพ่อไม่สนับสนุนเป็นมุสลิมที่เข้มงวดกลัวเราห่างจากพระเจ้า เราไปโรงเรียนให้เพื่อนสอนด้วยไม้ทีแล้วเอาชอล์กตีเส้น 6 เส้นแล้วฝึกจับคอร์ดมีเพื่อนสอนให้ เราก็ได้พัฒนาเรื่อสมมาธิในการฟัง เปิด I.S. Song Hit เราก็ฟัง Sound of Silence แล้วก็จับฉากทีตาม มันสอนให้เราหัดมีสมาธิ มีจินตนาการ กว่าจะมีกีตาร์จริง ๆ ก็พี่ ๆ ช่วยกันออกเงินซื้อกีตาร์มาให้หนึ่งตัวยี่ห้อเอคโค่ ต้องเล่นหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่อยากให้พ่อได้ยินเกรงใจเค้า
แล้วความเป็นนักดนตรีของพี่ซันในขณะที่เราเป็นมุสลิมด้วยพี่ซันมองว่ายังไงครับ
ต้องย้อนกลับมาในหลักศาสนาก่อน หลักการต่าง ๆ เกิดจากการตีความในอัลกุรอ่าน ทีนี้มันเป็นภาษาโบราณที่ซับซ้อน อย่างการเอามือวางบนมือ อาจจะแปลว่าปรบมือ หรือแปลว่าทำบุญก็ได้ คราวนี้มาถึงเรื่องดนตรีมันก็มีการตีความที่แตกต่าง บางความเชื่อก็บอกว่าไม่ให้ฟังเลย เล่นก็ไม่ให้เล่น จะเล่นก็เพลงกล่อมลูก หรือเล่นกลองดัฟ หรือแต่งเพลงแบบ ‘นางฟ้าองค์ใดแปลงกายลงมา’ นี่ก็ขัดกับหลักศาสนา เพราะไม่มีนางฟ้ามีแต่พระเจ้า แต่ในขณะที่อีกแนวคิดอธิบายว่าทุกอย่างมันคือเครื่องมือ มีดถ้าอยู่ในมือหมอก็สามารถผ่าตัดคนไข้รักษาคนได้ อยู่ในแม่เราก็ทำอาหารอร่อยให้เรากิน อยู่ในมือขี้เมาเกรี้ยวกราดก็ทำร้ายคนได้ ทีนี้มันก็มาตีความกับดนตรีได้ ดนตรีชักนำคนมาสู่กิเลสก็ได้ มาทำเพลงอธิบายความหมายชีวิตไม่งมงายมองหาความจริงก็ได้ อย่างในปากีสถานมีนักดนตรีที่แต่งเพลงร้องเพลงทางศาสนาเยอะมาก บางคนดังระดับโลก อย่าง นัสรุส ฟาเตห์ อาลี ข่าน ดังระดับ ปีเตอร์ เกเบรียลต้องเชิญมาร้อง เพลงเค้าเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น
บางกลุ่มก็บอกเค้าเป็นพวกอุตริ บางกลุ่มก็บอกว่านี่ไงเค้าทำในสิ่งที่ทรงคุณค่า มันก็เป็นเรื่องของใครเชื่อแบบไหนจะตีความแบบไหน พอถึงที่สุดอิสลามก็จะบอกว่ามันเป็นเรื่องของพระเจ้ากับเรานะ ผู้ที่จะตัดสินมีแต่พระเจ้าเท่านั้น ผมก็มาในแนวคิดว่าพระเจ้าจะตัดสินผม ผมไม่เคยทำเพลงไปในเชิงงมงายหรือชักจูงให้คนตกต่ำ แต่ละเพลงจะบอกให้คนมองไปที่ธรรมชาติสิ มองลงไปในแม่น้ำสิมีอะไรอยู่ในนั้นตั้งเยอะ มันสอนเรา ความดียังมีอยู่นะ ผมเลยมั่นใจในสิ่งทำอยู่ หรือเวลาเปิดเพลงในรายการวิทยุ เราก็พบว่าเพลงสากลหลายเพลงชักนไปในทางที่ไม่ดีผมก็จะอธิบาย เพราะถ้าเราไม่อธิบายหรือไม่ยอมเปิดเลยคนก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ผมว่าให้เค้ารู้ดีกว่า เหมือนเด็กเห็นไฟเค้าไม่รู้ไปจับลวกมือเลยนะ เด็กควรจะรู้ว่าไฟนั้นมันร้อนนะ ความชั่วร้ายอะไรบางอย่างมันก็เป็นเครื่องมือที่มาสอนได้ ผมก็เลยขึ้นอยู่กับเราว่าเราจะใช้มันยังไง
ตอนเลือกเรียนนิเทศพี่ซันตั้งใจว่าจะเป็นนักสื่อสารมวลชนจริง ๆ หรือว่าเห็นว่ามันสนุกดีหรือเพราะเห็นว่าพี่ชายทำครับ
ผมยังอยากเป็นนักดนตรีเหมือนเดิมครับ ผมก็เลยคิดว่าถ้าผมเป็นนักสื่อสารมวลชนผมจะใช้โอกาสนี้ที่ได้อยู่กับดนตรี แต่เป็นในแนวจัดวิทยุ จัดรายการโทรทัศน์ ตอนเรียนปีสามผมต้องทำโพรเจกต์ส่งอาจารย์ ผมก็ทำรายการ ‘เที่ยงวันอาทิตย์’ นั่นล่ะส่งอาจารย์ แต่ชื่อรายการว่า ‘ร็อก’ คนที่มาเล่นด้วยกันตอนนั้นมีทั้ง เก้ง จิระ มะลิกุล มีทั้ง กริช ทอมมัส
ตอนยุค ตุลา’19 พี่ซันก็เป็นวัยรุ่นและอยู่ในบรรยากาศช่วงนั้น พี่ซันพอจะเล่าให้ฟังได้มั้ยครับว่ามันเป็นยังไงบ้าง
ก่อนนั้น 3 ปี คือ 2516 ผมยังเรียนอยู่มัธยมปลาย ก็มีการเคลื่อนไหวของนิสิต นักศึกษาประชาชน ลูกเสือชาวบ้าน ใครต่อใครเต็มไปหมดเพื่อขับไล่รัฐบาล บรรยากาศมันก็คล้าย ๆ วันนี้เลยครับ เรารู้ว่ากรุงเทพ ฯ มีเดินขบวน ที่อยุธยาก็ทำตามที่โรงเรียนทุกคนเดินมาเป็นแถวที่ห้องประชุมก็มาแสดงความเห็นว่าเราสนับสนุนนักศึกษา ประธานนักเรียนขึ้นกล่าวคำปราศรัยสั้น ๆ เราก็นั่งฟัง ผู้ใหญ่ก็ปล่อยให้ทำและก็ให้เข้าห้องกลับไปเรียนหนังสือต่อ เราก็เริ่มรับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในสังคม พี่ชายเรียนช่างกลกลับมาจากรุงเทพ ฯ ก็มาเล่าใฟ้หัง เราก็ฟังอย่างตื่นเต้น แล้วเหตุการณ์มันก็ผ่านไป นักศึกษายุคนั้นเรียกได้ว่าเป็นคนขับเคลื่อนสังคมเลย
จนถึงปี 19 จอมพลถนอมที่ลี้ภัยขอกลับมาประเทศ ใช้วิธีการบวชก็ห้ามไม่ได้ ความขัดแย้งก็เกิดขึ้น มีการสังหารใครต่อใคร นักศึกษาก็ประท้วง มาทำฉากแขวนคอแล้วหนังสือพิมพ์ก็เริ่มเอาไปลงโดยการตกแต่งภาพให้เกิดความขัดแย้ง จนเริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ตอนนั้นผมเรียนอยู่นิเทศศาสตร์ปี 1 ผมเรียนอยู่ชั้น 4 วิชาจิตวิทยารุ่นพี่ชื่อช้าง ตอนหลังเป็นนักข่าวมติชนเค้าเคลื่อนไหวด้วยโทรโข่งให้นักศึกษาผละห้องสอบไปรวมกันที่ตึกจักรพงษ์ เดี๋ยวเราจะเดินไปธรรมศาสตร์กัน นักศึกษาจำนวนมากก็ทำตาม ผมก็ดีใจที่ไม่ต้องสอบ
ตอนนั้นผมมีวงดนตรีชื่อ ‘Canned Can’ เล่นเพลงแนว Southern Rock ช่วงนั้นจิตใจผมมันอยู่กับดนตรีหมดเลย ติดตามข่าวสารนะแต่มันไม่มีใจให้ จิตใจมันอยู่กับดนตรีหมดเลย อยากเล่นแบบ Wishbone Ash (หยิบกีตาร์ขึ้นมาบรรเลงบทเพลง ‘Warrior’ ของ ‘Wishbone Ash’) มีรุ่นพี่ชื่อเล่นกีตาร์เก่งมากเอาแผ่นมาให้ฟัง เราก็แกะเล่นกันดิบดี เสร็จแล้วเวลามันเป็นนักเรียนถ้ามีเวลาว่างเราก็จะดีใจที่มีเวลาซ้อมกัน มือเบสเค้ามีห้องซ้อมอยู่ที่ทองหล่อ พอพี่ช้างประกาศว่าให้ทุกคนลงมา คนส่วนใหญ่ก็ไปตึกจักรพงษ์ ส่วนผมกับเพื่อนก็ไปอีกทางนึงไปทองหล่อไปซ้อมดนตรีกัน ไม่มีจิตสำนึกทางด้านการเมืองเลย ผมก็โดยรุ่นพี่บางคนตำหนิแล้วยุคนั้นเค้าต่อต้านอเมริกันด้วย แต่เรากลับนุ่งยีนส์เล่นเพลงร็อกอเมริกันเราก็เหมือนเป็นแกะดำเลย
เวลาเราเป็นแกะดำแบบนั้นอยู่ยากมั้ยครับพี่
เอาเข้าจริงก็ไม่อยากนะ เพราะนักศึกษาที่สนใจการเมืองเค้าก็มาดูเราอยู่ดี แต่เวลาเค้าไปเคลื่อนไหวก็ไป ดนตรีถ้าเราใช้ในแง่การผ่อนคลาย บันเทิง กระตุ้นพลังมันก็ทำได้ดี
ย้อนกลับไปถ้ารู้ว่าเหตุการณ์มันจะรุนแรงแบบนั้น พี่ซันจะตัดสินใจแบบเดิมมั้ยครับ
คิดว่านะตัดสินใจเหมือนเดิมแน่นอนเลย เพราะมันน่ากลัว แต่มันก็ทำให้เราเป็นคนขี้ขลาดไม่เสียสละไม่ต่อสู้ แต่ตลอดชีวิตที่ผมผ่านมาจนถึงวันนี้ ผมก็ทำหน้าที่ที่มีคุณค่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง
THE JOURNEY การเดินทาง…ของมาโนช พุฒตาล
ถึงแม้พี่จะได้รับอิทธิพลจากพี่ดำรงมาพอสมควรแต่รายการ ‘เที่ยงวันอาทิตย์’ ที่พี่ทำมันมีทั้งเนื้อหาและวิธีนำเสนอที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครเลย มันเป็นเพราะอะไรครับ
เราถูกเลี้ยงมาให้เป็นตัวของตัวเองได้มั้ง ผมก็เป็นอย่างที่ผมเป็น ผมไม่อยากเป็นอย่างพี่ดำรง พี่ดำรงชอบคันทรี ช่วงนั้นผมก็ฮาร์ดร็อกเลย พี่รงทำรายการโดยต้องการให้คนดูเยอะ ๆ แต่ผมกลับอยากทำรายการที่แตกต่างไม่ฮิตไม่อยาก popular อยากให้มีความเป็นส่วนตัวสูง ๆ
ความตั้งใจพี่อยากให้มันเป็นยังไงครับ
อยากทำรายการเพลงนำเสนอวงดนตรี การแสดงดนตรี นำเสนอบทเพลงที่ผมอยากนำเสนอ เช่น Highway Star ของ Deep Purple แต่ผมไม่สามารถเอา Deep Purple มาเล่นได้จริง ๆ ตอนนั้น MV ก็ไม่มี ผมก็ใช้วิธีหาวงดนตรีไทยที่เล่นเพลงเหล่านี้ ผมก็ไปหาวงแมคอินทอช ตอนตีสามเค้าก็ให้ความร่วมมืออย่างดี เราก็ถ่ายทำ เล่าเรื่อง Highway Star ของ Deep Purple แต่เล่นโดยแมคอินทอช อยากนำเสนอวงแจ๊สร็อกวง Chicago เพลง 25 Or 6 To 4 ผมก็ไปโรงแรมแมนดารินวงแฟลชก็เล่นที่นั่น ตอนตีสามเค้าเราก็จะเสร็จงาน ตีห้าเอามาตัดต่อ เราก็เล่าเรื่องวง Chicago แล้วก็เข้าเพลง 25 Or 6 To 4 นำเสนอโดยวงแฟลช
ต่อมาเริ่มมีสิ่งที่คล้าย ๆ MV เกิดจากซาวด์แทร็กหนังเรื่อง Toosie ชื่อเพลง It Might Be You เรามีเพลงที่เป็นสิ่งบันทึกเสียงแต่ไม่มีภาพ แต่คุณเฮนรี ทรานที่เป้นตัวแทนจำหน่ายหนังเรื่องนี้มีภาพจากในหนัง คุณเฮนรีอยากจะโปรโมตเพลงนี้ก็เลยชวนผมเอาเพลงแล้วตัดภาพจากในหนังใส่เข้าไป ปรากฏว่าคนชอบมากเลยว่านี่มันคือ MV นี่หว่า ต่อมาเริ่มมีค่ายเทปต่างประเทศในไทยเริ่มติดต่อเข้ามาเพราะเราเป็นรายการเดียวที่นำเสนอแบบนี้ เค้ามี MV จริง ๆ เลยก็ถามว่าอยากจะใช้มั้ยแต่ยุ่งยากหน่อยนะ จำได้ว่าเพลงแรกเลยที่ใช้ชื่อ ‘Chariot of Fire’ ของ Vangelis เป็นซาวด์แทร็กหนัง วัตถุดิบมาเป็นฟิล์มต้องไปรับที่ดอนเมืองแล้วเอาฟิล์มมาช่อง 5 ก็เทเลซีนจากฟิล์มมาเป็นวิดีโอออกอากาศ จนสักพักนึงถึงเริ่มเป็นวิดีโอกล่องใหญ่ถึงค่อยสะดวกขึ้นเรื่อย ๆ
ทำไมต้องมีการปรับเปลี่ยนจาก ‘เที่ยงวันอาทิตย์’ เป็น ‘บันเทิงคดี’ ครับ
สถานีโทรทัศน์เนี่ยมันมีรูปแบบประหลาดอยู่เหมือนกันคือทุกปีต้องมีการปรับผัง คนมีพลังมากกว่าเค้าก็เอาเวลาดี ๆ ไป ผมก็ถูกย้ายมา 5 โมงเย็นวันเสาร์ก็เลยใช้ชื่อเดิมไม่ได้ วันนึงผมไปปาร์ตี้กับพี่ ๆ ก็มีพี่ดนู ฮันตระกูล มีอัสนี โชติกุล เมื่อก่อนเค้าจะชอบมาชุมนุมกันอยู่ที่ร้านวนคาม สุขุมวิท 23 ข้าง ๆ เป็นโรงเรียนดนตรีพอเลิกสอนเค้าก็จะมาที่นี่กัน วันนึงอาจารย์ดนูเค้าบอกว่ายุโรปสมัยก่อนเวลาดูคอนเสิร์ต ชาวบ้านก็จะเอากระบะใส่ไข่เน่าใส่มะเขือเทศ แล้วก็ดูวงควอเท็ต ถ้าไม่ถูกใจก็เอาไข่เอามะเขือปาใส่ อาจารย์ดนูก็บอกว่าเรื่องราวที่เล่านี่ล่ะเค้าเรียกว่า ‘บันเทิงคดี’ อาจารย์ดนูเอ่ยคำว่านี้ขึ้นมา ผมก็ประทับใจกลับไปบ้านตั้งชื่อรายการได้เลย โทรหาอาจารย์ขอใช้ชื่อนี้ อ.ก็บอกว่าตามสบายผมก็เลยใช้ชื่อมาตั้งแต่นั้น
ตอนดูรายการผมเห็นชื่อบริษัทไมล์สโตนเป็นครั้งแรก ๆ ด้วย ตอนนั้นไมล์สโตนมันเกิดขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ
ตอนทำเที่ยงวันอาทิตย์ พ.ศ. 2525 ผมทำภายใต้บริษัทพุฒตาลโปรโมชัน บริษัทของพี่ดำรงแล้วพอทำเค้าขาดทุนมาหลายปี พี่รงบอกอยากทำต่อใช่มั้ยต้องไปจดทะเบียนบริษัทเอง ลงทุนเอง นั่นคือจุดผลักดันที่ทำให้ผมเปิดบริษัท ก็เลยเปิดไมล์สโตนขึ้นมา
มันมีที่มายังไงครับชื่อนี้
ตอนแรกจะชื่อ Muse ชื่อหินกลิ้ง อะไรหลายอย่าง สุดท้ายมาใช้ชื่อไมล์สโตนเพราะว่าหนึ่งมันเป็นหิน สองผมคุ้นเคยกับการเดินทางด้วยรถยนต์จะเห็นหลักกิโลเมตรสะท้อนถึงการเดินทางไปเรื่อยไม่จบสิ้น แต่ความหมายลึก ๆ มันหมายความถึงจุดนึงที่เราสร้างผลงานที่ดีเด่นขึ้นมา อย่าง The Eagles เค้าถือว่าชุดห้า Hotel California นี่เป็นไมล์สโตนของดิ อีเกิลส์ และพวกเค้าก็ยังไม่หยุดยังสร้างผลงานต่อไปเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นบันเทิงคดีก็เปิดตัวนิตยสารมันเกิดขึ้นได้ยังไงครับพี่
เวลาทำงานเราซื้อหนังสือหาข้อมูลเยอะเลย แต่รายการบันเทิงคดีหรือเทีย่งวันอาทิตย์มันมีเวลาแค่ 25 นาทีแล้วข้อมูลมันเหลือ เสียดาย และผมทำงานกับพี่ดำรงที่ทำนิตยสาร ‘คู่สร้างคู่สม’ ก็เลยตัดสินใจทำนิตยสารบ้างเพื่อเอาวัตถุดิบที่เหลือจากรายการมาใช้ ก็มียอดขายประมาณ 12,000 เล่มต่อเดือนซึ่งถือว่าได้ ต่อมาเริ่มลดลงมา 8-9 พัน ก็ไปได้เรื่อย ๆ เริ่มหาสปอนเซอร์เป็น จนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งก็เลยหยุดเลย จากนั้นผมก็เปิดค่ายเพลง ‘ไมล์สโตนเร็คคอร์ดส์’ ที่เปิดเพราะผมสนิทกับโอ้ มือกีตาร์ ดิ โอฬาร โปรเจกต์ ตอนนั้นเค้าทำกับเสียงทองแล้ว จากนั้นจะทำอัลบั้มที่สองคือชุด ‘หูเหล็ก’ อัลบั้มแรกขายได้ประมาณ 60,000 ม้วน ก็ไม่แฮปปี้เท่าไหร่ ตอนทำชุดที่สองโอ้ก็มีค่าใช้จ่ายสูงเพราะเค้าทำงานเหมือนไมเคิล แจ็คสัน น่ะค่าใช้จ่ายก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็ติดเงินกับทางเสียงทองหลายแสนบาท
ทีนี้คุณประกิต (เจ้าของค่ายเสียงทอง) เป็นนักธุรกิจก็เห็นช่องทางว่าการขายตึกที่มีน่าจะสร้างกำไรได้ดีกว่าการทำค่ายเพลงก็เลยคิดจะเลิก พอจะเลิกโอ้ก็เล่าให้ผมฟังว่าอยากเอามาสเตอร์หูเหล็กออกมา ผมก็ไปขอยืมเงินพี่ชายคนโตมาก้อนนึง เพราะยืมพี่ดำรงมาเยอะแล้ว เพื่อจะไปจ่ายเงินให้เสียงทองเพื่อเอาชุดหูเหล็กออกมา คุณประกิตก็โอเคตามนั้น ก่อนจะออกจากห้องประชุมคุณประกิตซึ่งก็สนิทกับพี่ชายผมอยู่แล้ว ก็ถามผมว่าเอาหูเหล็กไปแล้วและกุมภาพันธ์ 2528 นี่ล่ะ เดี๋ยวชั้นขายแข่งนะเอาไปด้วยสิแต่ขออีกก้อนนึงครึ่งนึงของหูเหล็ก งั้นผมเลยบอกขอติดต่อพี่ชายก่อนก็ได้มาครบจ่ายให้คุณประกิตไป พอได้มาก็เลยคิดว่าต้องตั้งค่ายเพลงแล้ว ก็เริ่มดีไซน์ให้ฝ่ายอาร์ตหนังสือบันเทิงคดีนี่ล่ะออกแบบปก ปกติปกเทปต้องมีรูปศิลปินใช่มะนี่เราก็ทำให้แตกต่างเป็นปกดำ ๆ เฉย ๆฟอนต์ให้มันเฮฟวี่เมทัล เลยออกมาเป็นปกหนังสีดำ
ผมก็ไปติดต่อบริษัท MGA ที่จัดจำหน่าย ตอนนั้นเค้าก็อิดออดนิดหน่อย ผมก็บอกว่ามันขายได้นะมีสื่อมีนิตยสารมีครบทุกอย่าง เค้าก็เลยจัดจำหน่ายให้ ก็สั่งพิมพ์ปก 30,000 ปก นั่งประทับตรากันทั้งคืน วงก็ช่วยกันหมดเลย พอรุ่งขึ้นจะไปแคมปิงกันที่น้ำตกพลิ้วจันทบุรี ระหว่างนั้น MGA โทรมาขอสั่งเพิ่ม ตื่นเต้นชิบเป๋งเลย นึกไม่ถึงว่าเพลงเฮฟวี่เมทัลภาษาไทยมันขายได้ แต่ผมมั่นใจเพราะมีแฟนที่ชอบเฮฟวี่เต็มไปหมดเลย ยอดแรกได้ 80,000 ม้วนเลย หลังจากนั้นเลยทำกุมภาพันธ์ 2528 ตามออกมา และผมก็ทำนิตยสารบันเทิงคดีต่อ ค่ายเพลงก็กะทำแค่นี้ไม่ได้คิดต่อ แต่ต่อมามีเด็กฝึกงานเป็นเด็กศิลปากรเอาเทปมาให้บอกว่าเป็นของอาจารย์หนูเองชื่อวง ‘มาลีฮวนน่า’ ชื่ออัลบั้ม ‘บุปผาแห่งเสียงเพลง’เค้าทำขายแค่ 500 ม้วนผมก็เอามาฟังพอฟังแล้วก็ โห ว่ะ
ช่วงนั้นในวงการมีแต่เพลงอัลเทอร์เนทีฟแต่ไม่มีเพลงออกโฟล์กเลย แต่นี่มันโฟล์กเลย แถมมันยังเพราะอีกว่ะ ดูมันน่าตื่นเต้นก็เลยให้ดุจรัตน์เด็กคนนี้น่ะไปตามอาจารย์มาว่าเค้าสนใจมั้ย อาจารย์ไข่เค้าก็เป็นแฟนรายการเที่ยงวันอาทิตย์อยู่ก็เลยพามาทั้งวงเลย ก็คุยกันว่าผมจะจ่ายค่าอัลบั้มคุณเลยนะแฮปปี้มั้ย เค้าเอาแต่ผมขอเปลี่ยนหลายอย่างนะ เปลี่ยนชื่ออัลบั้มเป็น ‘บุปผาชน’ ถ่ายรูปอะไรใหม่ เค้าก็โอเคหมดเลย ก็ทำมาลีฮวนน่าขายต่อ ต่อมามันต้องทำอะไรที่เหมือนการแถลงข่าว แต่ผมอยากให้มันต่างเพราะแบบนั้นมันไม่มัน พอดีผมมีรุ่นน้องที่สนิทกันมากชื่อ ชนินทร์ โปสาภิวัฒน์ (ผู้ริเริ่มการทำคอนเสิร์ตที่เป็นมาตรฐานสากลในไทย) ผมบอกเราจะจัดอะไรก็ตามที่ไม่ใช่งานแถลงข่าวแต่ให้มันใหญ่ไปเลย เรามีรายการ มีนิตยสาร มีวงสามวง ดิ โอฬาร ฯ มาลีฮวนน่า และ Heretic Angels (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Growing Pain) เราเอาให้มันใหญ่ไปเลยนะ ก็ช่วยกันคิดทำเทศกาลบันเทิงคดีกันดีกว่า
ก่อนหน้านั้นมันไม่เคยมีเทศกาลดนตรีในบ้านเรา ตอนนั้นอะไรทำให้พี่รู้สึกว่ามันต้องเป็นเทศกาลดนตรี
ก็เราเห็น Woodstock เราเห็น Isle of Wight เพราะเราเป็นสายดนตรีร็อก เราเป็นสายจิมมี เฮนดริกซ์ เราเห็น The Who เล่นใน Woodstock แล้วเราอยากเห็นภาพแบบนี้จังเลย แล้วเราก็เริ่มทำอัลบั้ม ‘ไตรภาค’ แล้วก็เริ่มอยากแสดง วงใหญ่มากเลยมีพี่ต๋อง เทวัญเป่าแซ็ก มีอาจารย์เล็กทีโบนตีกลอง แกปเล่นกีตาร์ กอล์ฟร้อง อ้วน คาไลโดสโคป เฮ้ยมันเยอะนะเว้ยมันต้องทำงานใหญ่ ๆ หน่อยว่ะก็เลยคุยกันกับนินเราทำเทศกาลดนตรีดีกว่า ก็เดินทางกับนินสองคนเริ่มจากทำโมเดลเวที
ผมกับนินก็หอบไปเนสท์เล่ KFC ไปไหนต่อไหนกัน แล้วเราก็มีแนวคิดว่าจะถอดนิตยสารบันเทิงคดีออกมาให้มันสัมผัสได้ ไม่ได้มีเพียงคอลัมน์ อย่างเวที ‘The Song Remain The Same’ ก็จะเป็นเวทีที่เปิดตัววงดนตรี 6 แบบด้วยกัน แบบนึงก็คือเฮฟววี่เมทัลก็มีวง ‘เฮฟวี่มด’ มา แจ๊สนี่ก็ ‘อาจารย์อานนท์’ เล่นเพลงร็อกยุคโบราณก็วงตำนาน ‘ชาโดว์’ ก็เล่นเพลงเดอะ ชาโดว์อย่างเดียวเลย แล้วก็มีวงแนวโฟล์กคือ ‘มาลีฮวนน่า’ อัลเทอร์เนทีฟก็ ‘โมเดิร์นด็อก’ ตอนโมเดิร์นด็อกขึ้นเวทีคนปีนตามหลังคาตึกดูกันเต็มไปหมด เพราะเวทีมันอยู่กลางแจ้ง เอื้อง สาลินี เป็นโปรโมเตอร์อยู่ทำแผ่นซิงเกิลโมเดิร์นด็อกมา 5000 แผ่นขายหมดเลย แล้วผมก็เชิญค่ายเทปมาเปิดบูธ บริษัทกีตาร์มาเปิดบูธ แล้วอินดอร์ข้างในก็จะเป็น Growing Pain ดิ โอฬาร โปรเจกต์ แล้วก็วงผม ปรากฏว่า sold out นะ มีคนมาตั้งหมื่นกว่าคนแน่ะ สนุกเลย แต่พอทำเสร็จแล้วผลปรากฏว่าผมไม่มีหัวทางธุรกิจและคิดการณ์ไม่ไกล มันขาดทุนประมาณ 800,000 บาท ผมก็กลัวเลยกะทำทุกปีทำได้แค่ปี 37 ครั้งเดียวถอดใจซะก่อน
ผมจำได้ว่าคอนเสิร์ตพี่ในฮอลล์พี่มีมุกดับไฟด้วยเหมือนกับจะจำลองเหตุการณ์เพราะเพลงพี่มันว่าด้วยเรื่องสิ่งแวดล้อม พี่ซันเล่ามุกนั้นให้ฟังหน่อยครับ
ผมก็เริ่มต้นด้วยเพลงบรรเลงก่อน เพลงนี้จะอยู่ในอัลบั้ม ‘ในทรรศนะของข้าพเจ้า’ ชื่อเพลง ‘ไกลรำลึก’ แล้วผมก็นัดกับทีมงานให้ดับไฟ ไฟก็ดับฟุ่บเลยทุกอย่างมืดสนิทและเสียงก็ไม่มี แต่ผมก็ตะโกนได้ มันเป็นประเด็นนะเรื่องไฟฟ้า การที่จะให้มีไฟฟ้าอยู่ได้เราก็ต้องดูแลต้นน้ำลำธารอะไรต่อมิอะไร แต่ไม่เป็นไรอะคูสติกก็ยังได้อยู่ ผมก็หยิบกีตาร์โปร่งมาเล่นเพลง Take It Easy คนก็ตบมือไปตามจังหวะ ทีนี้พอไฟมาก็ดำเนินไปตามจังหวะก็เชิญวง Growing Pain ขึ้นมาเล่นเป็นวงแรกครับ
ต่อไปไมล์สโตนเร็คคอร์ดส์ก็ทำต่อเพราะมาลีฮวนน่าประสบความสำเร็จมากเลยใช่มั้ยครับ
มาลีฮวนน่าเป็นความสำเร็จอย่างเป็นธรรมชาติมากเลย เพราะบริษัทไม่มี MV ไม่เคยถ่ายทำ MV ไม่เคยซื้อเวลาสถานีเพื่อโปรโมตเพลง เพลงดังของมันเอง เริ่มดังจากในรามคำแหงเค้าจะมีโต๊ะแต่ละจังหวัด โต๊ะนคร ฯ ก็น่าจะเปิดเพลงมาลีฮวนน่าโต๊ะอื่นก็เลยขอมาฟัง อีกที่ก็คือหอพักนักศึกษา หอนี้มันเปิดหอนี้อยากฟังบ้างมันก็เริ่มแพร่หลายไปทั่ว ตอนหลังเริ่มดังตามตู้โบกี้รถไฟคนที่ไปเที่ยวก็เปิดไปด้วย ต่อมาเริ่มฮิตตามอุทยานแห่งชาติเมื่อก่อนเปิดเพลงได้ ปาร์ตี้ได้ เดี๋ยวเต็นท์นี้ก็ ‘หัวใจพรือโฉ้’ เต็นท์นั้นก็ ‘เรือรักกระดาษ’ พอยอดเริ่มเพิ่ม เราก็เริ่มทำกิจกรรมจัดคอนเสิร์ตตระเวนเล่นจนยอดขายมากขึ้นเรื่อย ๆ มีงบก็ทำอัลบั้มสองต่อเลย ชุดแรกนี่ MGA เค้ามีการมอบโล่ให้ชุดนี้ขายได้ 1,600,000 ชุด
แล้วค่ายเพลงทำอะไรบ้างครับถ้าเพลงมันดังด้วยตัวเอง
สิ่งแรกที่เราแตกต่างเลยคือ สมัยนั้นถ้าศิลปินเข้าค่ายเทปส่วนแบ่งจะได้ม้วนละบาท ของผมนี่ม้วนละ 16 บาท ผมเห็นว่าเรื่องอะไรจะเอา 16 บาทตัวนี้ไปเสียเงินเป็นแสน ๆ ทำมิวสิกวิดีโอ เงินตรงนี้ก็จะได้เข้ากระเป๋าศิลปินเลยไม่ดีกว่าหรอ ทุกคนก็แฮปปี้ ตอนแรก 8 บาทก่อน พอขายดีเปลี่ยนเป็น 10 ขายดีอีกเป็น 16 แต่ในสัญญาเขียนแค่ 8 ไม่งั้นผมรู้สึกว่าเป็นการเอาเปรียบกันเกินไป ผมใช้วิธีคิดแบบธรรมชาติสามัญสำนึก ง่าย ๆ ถ้าผมขายก๋วยเตี๋ยวค่าวัตถุดิบรวมกัน 5 บาทผมก็จะขายสัก 8 บาทกำไร 3 ยาทผมไม่ได้มองว่าคนซื้อจ่ายได้เท่าไหร่ ผมคิดแต่ว่าทุนเท่านี้เราควรจะได้กำไรเท่าไหร่ถึงจะพอดีกัน ผมคิดแบบนี้กับทุกอย่างในชีวิตครับ
แล้วมันมีข้อดีข้อเสียยังไงบ้างครับแนวคิดนี้
ข้อดีก็คือมีความสุขใจ แต่ข้อเสียคือมันไม่โต มันจะโตได้มากกว่านี้ถ้าทำงานให้เป็นระบบตามสากล มี MV แถลงข่าว ผลักดันทุกอย่าง แต่เรามักใช้วิธีว่าเพลงดีมันดีของมันเอง
ถ้ามองย้อนกลับไปถือว่าตัดสินใจผิดมั้ยครับที่เลือกวิธีนั้น
ผิดบางอัน บางอันก็ไม่ผิดครับ
THE ARTIST ในฐานะศิลปิน
พี่ซันออกอัลบั้มแรก (ในทรรศนะของข้าพเจ้า) ตอนอายุ 36 ซึ่งมันก็เป็นเรื่องแปลกเพราะพี่เข้าสู่วงการแต่วัยรุ่น ทำไมทำช้าจังครับพี่
อย่างที่เล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นว่าผมอยากเป็นนักดนตรีที่เก่งระดับโลกแต่ก็รู้ว่าตัวเองไปไม่ถึงหรอก ระดับจังหวัดยังไม่ถึงเลยเราเลยต้องหาจุดเด่นตรงอื่นคือเป็นนักเล่าเรื่อง แล้วก็เป็นนักเล่าเรื่องทางดนตรี ทีนี้ถ้าผมเข้าวงการปุ๊บออกอัลบั้มเลยคงไม่มีใครให้ผมทำหรอก มันไม่มีจุดขายอะไรเลย ผมเลยทำมาถึงจุดที่ว่าผมควบคุมทุกอย่างได้หมด มีค่ายของตัวเองมีสื่อของตัวเอง อยู่ภายใต้การดูแลของตัวเองได้หมดเลย มีโอกาสทำแล้วจึงทำในเวลาที่ทุกอย่างพร้อมหมด แล้ววัตถุดิบทุกอย่างมันพร้อมหมด อย่างที่จะเล่าเรื่องในเพลง ‘ไกล’ ซึ่งยาวมากตั้ง 24 นาที ใช้คงามคิดความอ่านความรู้ความเข้าใจทุกอย่างมากรั่นกรองเป็นอันเดียว เหมือนสั่งสมมา 36 ปีเพื่อที่จะทำเพลงนี้เพลงเดียวเลย
สิ่งที่พี่ทำเหมือนเป็นการปูทางสู่การทำอัลบั้มตัวเองรึเปล่าพี่
โดยไม่ได้ตั้งใจนะครับ แต่มีความคิดอย่างนี้อยู่เสมอ ใครจะจัดเทศกาลดนตรีให้ผมเล่น ก็ต้องผมจัดเองผมก็เลยวางแผนมานานมาก
เนื้อหาของเพลงในอัลบั้ม ‘ในทรรศนะของข้าพเจ้า’ มันมีความเป็นนักแสวงหาอยู่ ซึ่งมันน่าจะเป็นอารมณ์ของคนหนุ่มสาวที่ยังมีคำถาม ค้นหาความหมายหาคำตอบของสิ่งต่าง ๆ แต่พี่ทำมันในช่วงวัยเกือบ 40 ซึ่งเป็นวัยที่น่าจะมีคำตอบอะไรแล้ว มันเป็นเพราะว่าอะไรที่พี่ยังถามคำถามนั้นอยู่ในวัยนั้นครับ
คืออยู่มาจนตอนนี้ผม 64 แล้วนะแต่คำถามเหล่านั้นมันยังคงเป็นคำถามอยู่ในใจเสมอ อย่างที่บอกว่าตอนเด็กที่เห็นคนเค้าฝังศพจะสงสัยอยากรู้ตายแล้วไปไหนจะเป็นยังไง ใคร ๆ ก็คงมีช่วงที่ตระหนักฉุกคิดว่ามันจะเป็นยังไง พอจะทำเพลงผมก็เลือกที่จะทำเรื่องที่ผมอยากรู้จริง ๆ แล้วก็จะมีเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับน้ำ เพราะชีวิตผมอยู่กับลำคลอง สายน้ำ แหวกว่าย กินน้ำ ซักผ้าอยู่แต่กับน้ำ เวลาจะทำอะไรผมก็จะคิดถึงแต่เรื่องน้ำอยู่เรื่อยเลย ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรมันจะหวนกลับมาที่เรื่องนี้
THE MISTAKE ความผิดพลาด
วันจัดงานไว้อาลัยไมเคิล แจ็กสัน พี่ซันเป็นผู้บรรยายในภาษาไทยซึ่งได้รับคำวิจารณ์ในด้านไม่ดีมากมายเลย ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นครับและพี่รู้สึกยังไงบ้าง
มันเป็นเรื่องของทัศนะที่มีต่อความตายที่แตกต่างกันครับ เวลาศิลปินตายยิ่งระดับไมเคิล แจ็กสันจะมีคนเสียใจมากบ้างก็อาจคิดฆ่าตัวตายตาม แต่ผมพยายามอธิบายอีกแบบนึงว่าทุกคนต้องตายนะ ผมอาจพูดแรงไปว่าตอนที่พ่อผมตายผมยังไม่ร้องไห้เลย จะให้ผมมาร้องไห้กับไมเคิล แจ็กสันน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ใช่แฟนเพลงเค้า ก็ติดตามฟังมาตลอดและยกย่องชื่นชม แต่ในแง่ของความตายผมกลับมองว่าเราตีโพยตีพายเกินไป
งานศพไมเคิล แจ็กสันใช้ทรัพยากรที่แอลเอมากเกินไป ใช้พื้นที่จัดงานสร้างปัญหาให้คนในชุมชน แต่เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนมันทำให้แฟนเพลงโกรธ แต่ผมกลับมองอีกแง่ว่าเราควรทำความเข้าใจนะว่าคนเราต้องตาย ตายแล้วทำยังไงต่อไป เราต้องมาใคร่ครวญไม่ใช่คร่ำครวญ ใคร่ครวญความเป็นจริงของชีวิต ไม่ว่ายาจกหรือศิลปินระดับแจ็กสันที่ไม่รู้ว่ารวยหรือเป็นหนี้ เพราะวิธีการใช้ชีวิตของไมเคิล แจ็กสัน เคยมีเทปที่เค้าไปตระเวนซื้อของในห้างสั่งปิดห้างแล้วใช้นิ้วชี้เอา ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเป็นสิ่งดีงาม คนบางคนก็หลงไปกับสิ่งรอบตัวมากเกินไป ผมพยายามทำหน้าที่แบบของผมแต่ผิดกาลเทศะผิดเวลาครับ แต่ที่น่าสนใจคือไอ้การโดนถล่มนี่มันยังอยู่ใน wikipedia กระทู้ pantip เลยมั้ง
แล้วมันส่งผลอะไรต่อพี่ซันบ้างครับ
ก็รู้สึกเสียใจที่ผิดพลาดในการตัดสินใจทำแบบนั้น ต่อให้เนื้อหาผมถูกก็ตามแต่มันไม่ถูกเวลา เหมือนตัวเองอหังการ์ไปหน่อยทำเป็นเท่ ทำเป็นเข้าใจเกิดแก่เจ็บตายได้ดีแล้ว ต่อให้เข้าใจก็จริงแต่มันไม่ใช่เวลา ก็ขออภัยแฟนเพลงไมเคิล แจ็กสันในอดีตตอนนั้นด้วยครับ
พี่ซันเคยรู้สึกว่าการที่เราชอบดนตรีมันทำให้เกิดปัญหาในชีวิตบ้างมั้ยครับพี่
ข้อเสียอันนึงเลยครับคือผมยิ่งฟังยิ่งเมามัน บางครั้งถึงขนาดเอาลำโพงมาจ่อหูและเปิดเสียงดัง ๆ ผลที่ตามมาคือสุขภาพหูเสียเกิดโรคอันนึงเค้าเรียกว่า Tinitus คือเส้นประสาทหูชั้นในเสื่อม ปัญหาคือมันจะมีเสียงดังรบกวนในหูตลอดเวลา เกิดขึ้นครั้งแรกเกิดจากผมไปซ้อมดนตรีกับวงชื่อ Cross Fire วงซุปเปอร์กรุ๊ปเหมือนกัน พี่อ้อง สุรสีห์ร้องนำ พี่ต้อม คาไลเล่นเบส นก สุริยา พึ่งธงไทย เล่นกีตาร์ แล้วก็หรั่งที่เล่นกับคาราบาวเป็นมือคีย์บอร์ด มือกลองก็เป็นเอกมันต์ โพธิพันธุ์ทอง แล้วผมเป็นโฆษกวงแล้วเล่นริทึ่มกีตาร์ วันนั้นพี่มันต์ส่งฉาบ อื้อหือ แต่ไม่ใช่วันนั้นวันเดียวหรอก มันสะสมมายาวนาน แล้วทีนี้ตอนที่แคลปตันมาเปิดคอนเสิร์ตในไทยครั้งที่สามแล้วผมไม่ได้ไปดู พี่โอ้ก็โทรมาเล่า โอ้โหมึงอ่ะพลาดคราวนี้ดีมากเลยอ่ะ ผมก็เลยเปิดเพลงของอีริกใส่หูตัวเองลั่นบ้านเลย
คืนนั้นผมก็เฮ้ยทำไมจิ้งหรีดมันร้องดังจังวะ ผมก็เลยปิดหน้าต่างห้องทำไมดังเท่าเดิมวะ ลองเข้ามาในห้องที่จัดรายการวิทยุ เฮ้ยมัยมันดังเท่าเดิมวะ เริ่มตระหนักว่ามันไม่ได้มาจากข้างนอก มันมาจากในหูเรานี่หว่า รุ่งขึ้นก็เลยไปหาหมอ หมอก็บอกว่าประสาทชั้นในมันเสื่อม แล้วโรคแบบนี้มันรักษาไม่หายเป็นแล้วเป็นเลย มีการผ่าตัดแต่ไม่คุ้ม ผมก็รักษาทุกหมอนะ สุดท้ายหมอที่รามาบอกไม่ต้องรักษาหรอกต้องอยู่กับมันให้ได้ เพื่อน ๆ ที่เล่นดนตรีกับผมนี่เป็นกันเยอะบางคนบอกมีกี่ตัว หมายถึงจิ้งหรีดนะ (หัวเราะ)
แรก ๆ ทรมานมาก มันนอนไม่หลับ หนีไปไหนก็ไม่ได้ บ่อยครั้งอยากทุบกะโหลกแงะดู แต่ผมพบว่าเวลาผมกวาดบ้านเสียงไม้กวาดกระทบพื้นมันคล้ายกันมันทำให้ผมผ่อนคลาย นี่โทษอันแรกที่เห็นเป็นรูปธรรม แต่มันจะมีโทษอื่นที่ซับซ้อนและไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น บางทีมันอาจจะทำให้เราทำอะไรผิด ๆ ได้
ผมเคยฟังเพลงอัลบั้มชุด ‘The Wall’ ของพิงค์ ฟลอยด์ ยุคะนึงผมคลั่งไคล้มาก และอัลบั้มนี้มีตัวละครชื่อ พิงค์ บางฉากในเพลงพิงค์มันติดยาและเครียดแค้น รู้สึกว่าชีวิตมันมีแต่ชื่อเสียงแต่ไม่มีความสุขและทำลายข้าวของ ผมก็เปิดเพลงดัง ๆ เลยแล้วก็ทำลายข้าวของตามด้วยความที่เราอินกับเพลง เอาเก้าอี้ทุ่มห้องอัดทำลายข้าวของอย่างเมามัน นี่ไงที่ศาสนาบอกว่าไม่อยากให้เรายุ่งเกี่ยวกับดนตรีเพราะบางทีมันถึงจุดที่เราคุมตัวเองไม่อยู่
อย่างเวลาซ้อมดนตรีกับเพื่อนบางทีก็แวะไปควันบ้าง ไปสายทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศบ้างก็เสียผู้เสียคนได้ เพราะฉะนั้นเรื่องดนตรีอาจจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดเหมือนกัน จนกว่าเรามีสติไม่ผิดพลาดไปกับมัน ก็ขึ้นอยู่กับการใช้มันซึ่งมันสามารถปลุกเร้าคนได้ ปลุกเร้าคนไปฆ่ากันก็ได้ ปลุกเร้าให้คนต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้องก็ได้
เวลามองย้อนกลับไปพี่ซันมีความรู้สึกแบบว่า ‘ฉันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี’ บ้างมั้ยครับพี่
มีหลายอย่างนะเช่น การใช้ชีวิตแบบไม่บันยะบันยังแต่ว่ามันไม่ได้ออกสื่อนะ แต่ตัวจริงผมใช้ชีวิตแบบไม่ประหยัดอย่างการใช้หู สายตา ลำไส้แบบไม่บันยะบันยัง มันน่าเสียดายไม่งั้นถ้าหูยังดีเราคงฟังเสียงนกได้เพราะอยู่เลย หรือแม้แต่สายตา ผมชอบท้าทายอ่ะ ผมเคยดูสุริยุปราคาโดยไม่ใช้แว่น เชื่อว่ามันไม่เป็นอะไร ทีนี้ 30-40 ปีมันส่งผล มันจะมีไอ้หยากไย่อ่ะเต็มเลย เค้าเรียกวุ้นในตาเสื่อมซึ่งผมชอบมองท้องฟ้าใช่มะ ตอนนี้ท้องฟ้ามันก็ไม่กระจ่างแล้วมันจะมีหมู่เมฆหยากไย่ร่อนไปก็ร่อนมา มันเสียดาย คุณมีเงินแสนเงินล้านซื้อลำโพงมหัศจรรย์เลย ทุกอย่างเลิศหมดขนาดนั้น แต่ถ้าหูคุณเป็นแบบนี้ไอ้ที่ลงทุนไปทั้งหมดมันจบเลย พอถึงเวลาแล้วมานั่งพูดว่ารู้อยากนี้มันเสียดายมากเลย
เหตุการณ์หัวใจวายมันส่งผลกับพี่ซันยังไงบ้างครับ
ของผมไม่เคยเชื่อมาก่อนเลยว่าจะหัวใจขาดเลือด เราขึ้นเขาลงห้วยเดินไปเคยเหนื่อย ปาร์ตี้ตลอดจนพระบิณฑบาต ใช้ชีวิตแบบไม่บันยะบันยังแต่ก็มีอาการมาตลอดนะ เช่น เวลาตรวจคลื่นหัวใจหมอบอกผิดปกตินะ ไขมันเกิน ความดันเริ่มสูง เราเชื่อแบบผิด ๆ นะว่าหมอหรอกเราเพื่อที่จะให้เราเข้าโรงพยาบาลเอกชน เพื่อหมอจะฟันเรา หมอบอกให้กินยาผมก็ไม่ยอมกินเลย เข้าใจผิดด้วยคิดว่าตัวเองเป็นกรดไหลย้อน
วันนั้นเกิดเหตุผมไปสอนวิชาวิทยุที่คณะนิเทศ ผมชอบเอาข้าวกล่องไปกิน ก็นั่งกินในรถรู้สึกแน่นหน้าอกอีกละ เฮ้ยกรดไหลย้อนเดี๋ยวก็หายก็วิ่งขึ้นตึกนิเทศก็หาย มีงานมาบุญครองก็เดินไป เห็นร้านเบอร์เกอร์ก็จัดชุดนึงเลย ไปงานที่เค้าจัดแถลงข่าวก็มีอาการอีกละ ก็เดินกลับคณะเฮ้ย! มันแน่นจนไม่ไหว นั่งตรงฟุตปาตก็คิดว่ากูจะมาตายแถว ๆ คณะหรอน่ากลัวชิบเป๋งเลย ก็ขับรถกลับบ้านมันมีความมั่นใจว่ากรดไหลย้อน
การไม่มีความกลัวนี่มันดีจริง ๆ เลย เพราะถ้าเรากลัวนี่เผลอ ๆ ไปเลย กลับบ้านเจอเมีย เมียถามเป็นอะไร เราบอกไม่ถูกสักพักมันมีอาการแบบว่าอยู่ตรงไหนไม่ได้ ยืนก็ไม่ได้ นั่งก็ไม่ได้ รู้สึกเหมือนเราไม่มีที่บนโลกใบนี้แล้ว อยากจะแก้ผ้า ผมเปลื้องผ้าเลยนะ อยากเข้าห้องน้ำ นั่งก็ไม่ออก สักพักนึงมันวูบไปเลย มีความรู้สึกเหมือนม่าน ๆ ดำ ๆ ปิดแล้วผมก็มืดไปเลย
ตอนนั้นผมดันคิดว่าผมคือ ไควกอน จินน์ในเรื่องสตาร์วอส์ตอนที่มันต้องสู้กับดาร์ธมอลอ่ะ แล้วมีเตาปฏิกรณ์ปิดแล้ว ไควกอน จินน์มันต้องนั่งสมาธิรอ ผมก็นั่งสมาธิในความมืดเลยเดี๋ยวกูจะลุกขึ้นสู้กับมึง แล้วผมก็ฟื้นขึ้นมา แล้วเมียก็บอกไปโรงพยาบาลได้แล้ว (หัวเราะ) ผมตัวขาวซีดเลย แล้วนิดนึงก่อนที่ประตูมันจะปิดนะผมมองเมียอยู่แล้วเมียผมแตกกระจายเป็นจุด ๆ เหมือนหนังทีวีที่ไม่มีคลื่นเลยแล้วม่านก็ปิดปึ้ง แล้วผมก็เป็นไควกอน จินน์ พอเจอหมอผมก็บอกผมเป็นกรดไหลย้อน หมอบอกไม่ใช่แล้วคุณเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบ คุณต้องทำบอลลูนด่วนเลยภายใน 90 นาที ผมก็ยังไม่เชื่อ คิดว่าหมอจะฟันผม ผมก็บอกไม่ทำถ้าทำผมจะไม่ทำที่โรงพยาบาลรามา หมอเลยต้องยอมผม แต่หมอขู่ว่ามีเวลา 90 นาทีนะ ก็เอายาอมใต้ลิ้น 2-3 เม็ด หมอก็มีที่ปั๊มหัวใจนั่งไปในรถเมียนั่งข้างหน้าไปกัน พอไปถึงหมอฉีดสีจึงเห็นก็บอลลูนไปหนึ่งเส้นสองจุด แล้วปีต่อมาก็ไปทำอีกครั้งนึงเส้นที่สองอีกสองจุด แล้วก็ดูเหมือนมันจะตีบทุกเส้นนะ แต่หมอบอกไม่ต้องทำ ตอนนี้ผมเปลี่ยนชีวิตเลยเลิกใช้ชีวิตยันสว่าง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารคลีนสุด ๆ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา บทเรียนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพี่ซันคืออะไรครับ
(ตอบเป็นเพลง ร้องและบรรเลงกีตาร์) “นั่นไงท้องฟ้า แหละตัวฉัน ไม่อาจอยู่ค้ำฟ้า ไม่เหมือนดวงตะวัน นั่นไงแม่น้ำนี่แหละตัวฉัน ไม่อาจหยุดสายน้ำ ที่ทอดยาวถึงฝั่งฝัน ฉันฝันเห็นคนในครอบครัวดูแลกันและกัน ความฝันทุกคนคือครอบครัว ครอบครัวเดียวกัน ฉันฝันเห็นคนในครอบครัว ให้อภัยกันและกัน ความฝันทุกคนคือครอบครัว ครอบครัวเดียวกัน”
จริง ๆ เพลงนี้มันยาว 5-6 นาทีแต่ผมพยายามอธิบายว่า ในการเป็นครอบครัวเราต้องให้อภัยกันและกันเสมอ เราต้องดูแลกันและกันเสมอ เพราะว่าท้องฟ้าอยู่ตรงไหนเราก็เห็นท้องฟ้า นั่นท้องฟ้านี่ไงตัวฉัน เราไม่อาจอยู่ค้ำฟ้า เห็นแม่น้ำเราไม่อาจหยุดสายน้ำให้หยุดไหลได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือดูแลกันและกัน ให้อภัยกันและกัน เรื่องนี้สำคัญที่สุด เพราะว่าความทุกข์ที่มีส่วนใหญ่ในตัวผมเลยคือความโกรธ ความที่ไม่ยอมให้อภัย มันอาจจะฟังดูเป็นธรรมะแต่มันใช่เลย หลายครั้งผมเห็นคนรวย ๆ ขับปอร์เชต์มาผมถามว่ามึงเอาเงินที่ไหนมาวะ กูนี่ก็ทำงานนะและไม่ได้โง่เง่าด้วย
ยังหาไม่ได้เลยผมก็ถามตัวเองว่ามันยิ่งใหญ่ขนาดไหนวะการเป็นมหาเศรษฐี ก็ได้คำตอบว่ามันไม่ได้ยิ่งใหญ่หรอก ความยิ่งใหญ่คือถ้ามึงกล้าให้อภัยใครได้ 100% นะนี่มันยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ผมเลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมา มันเปรียบเทียบอย่างนี้ก็ได้ครับ ผมอยากเป็นมือกีตาร์ที่เก่ง ผมอยากนั่นอยากนี่อยากอะไรทุกอย่าง แล้วมันยากหมดนะ ความอยากมันทำเราไปสู่ความยาก อย่างเก่งก็ต้องฝึก เพราะฉะนั้นง่ายกว่ามั้ยคือหยุดความอยาก แต่เอาเข้าจริงมันยากที่สุดเลยหยุดความอยากเนี่ย มันไม่มีคำตอบได้เลยก็เลยได้บทเรียนว่านั่นไงท้องฟ้า สายน้ำ มันง่ายที่สุดเลยคือการดูแลกันและให้อภัยกันและกัน นั่นล่ะครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส