หลายคนอาจจะรู้จัก ‘เจ มณฑล จิรา’ ในฐานะนักแสดงและนายแบบวัยรุ่นชื่อดังแห่งยุค 90s ที่วันดีคืนดีก็ค่อย ๆ หายไปจากวงการและก็ค่อย ๆ กลับมาสู่วงการแต่ในฐานะของคนเบื้องหลังและการทำงานด้านดนตรี ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนแปลกใจ แต่สำหรับชายคนนี้ผู้เป็นเจ้าของชีวิตที่ชื่อ ‘เจ มณฑล จิรา’ เขาไม่เคยลังเลใจ อีกทั้งยังเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่างานดนตรีคือสิ่งที่เขารักและแสดงออกถึงความเป็นตัวของเขาอย่างแท้จริงและได้มุ่งมั่นตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเดินบนเส้นทางนี้เสมอมา

จากนายแบบ นักแสดง และศิลปินที่ถูกเขียนและกำหนดบทบาท สู่การตัดสินใจเพื่อเส้นทางที่ ‘เป็นตัวเอง’ อย่างแท้จริง พบกับเรื่องราวแห่งแรงผลักดัน ที่เดินทางยาวนานกว่า 20 ปีจนถึงวันที่เขาได้สร้างผลงานเพลงที่มีความเป็นตัวเองหนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ พบกับเรื่องราวของศิลปิน โปรดิวเซอร์ ผู้ก่อตั้งเทศกาลดนตรี Wonderfruit และชายหนุ่มผู้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงและซื่อสัตย์ต่อชีวิตของตัวเองจนถึงทุกวินาทีนี้ พบกับแง่มุมชีวิตที่จริงแท้ของ ‘เจ มณฑล จิรา’ ในแบบที่คุณอาจไม่เคยได้สัมผัสที่ไหนมาก่อนได้เลยครับ

อัลบั้มแรกของ เจ มณฑล

สำหรับคนที่อยู่ในวงการบันเทิงก็เป็นอัลบั้มที่คนพูดถึงกัน แต่ถ้ามาเปรียบเทียบกับคนที่ทำดนตรีอยู่แล้วมันก็เฉย ๆ ในช่วงเวลานั้นก็มีคนคาดหวังกับอัลบั้มนี้เยอะเหมือนกัน แต่ด้วยแนวเพลง มันอาจไม่ตรงกับที่คนคาดหวัง เค้าเลยว่ามันแปลก ๆ

ในตอนนั้น เจ มณฑล คือ ดารา นายแบบวัยรุ่นชื่อดัง ณ ตอนนั้น

มันพอปมาก ใส ๆ สว่าง ไม่มีความดาร์กเลย

ตอนนั้นเนี่ยในฐานะคนเป็นศิลปินเรามีส่วนร่วมกับการทำงานนั้นมากแค่ไหน แล้วออกมาอย่างที่ต้องการมั้ย

น่าจะมากกว่าศิลปินทั่วไป แต่ก็ไม่พอในการที่สร้างผลงานที่เรารู้สึกว่าเป็นของเราเอง ด้วยอายุด้วย ผมน่าจะอายุ 17 เรารู้สึกว่าได้เข้ามามีส่วนร่วมได้แต่งเพลงเพลงนึง ได้อัดเครื่องดนตรี สำหรับคนอายุ 17 ก็น่าจะเป็นอะไรที่สนุกและเป็นประสบการณ์ที่ดี

ชีวิตตอนนั้นมันเป็นยังไงบ้างครับ

มันจะมีถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา หลายคนอาจจะจำได้ว่าผมเล่นเกมโชว์เยอะมาก หลังจากนั้นผมก็ไปเรียนไฮสคูล ก่อนไปผมก็เซ็นสัญญาว่าจะทำอัลบั้มกับโพลีแกรมและเล่นหนังเรื่องนึง แล้วผมก็ไปเรียนที่มอนเทอร์เรย์ปีนึง กลับมาผมก็ทำงานตามที่รับปากเอาไว้ ก็เลยมีอัลบั้มตรงนี้

เราสนุกกับมันมั้ย เรารู้สึกยังไงที่อายุ 17 เองแต่มันมีอะไรทำเยอะแยะไปหมดเลย

ตัวผมเองไม่ได้สนุกนะฮะ อาจจะสนุกในส่วนของการทำงานแต่ชีวิตประจำวันเนี่ยไม่ค่อยสนุก เพราะมีข้อจำกัดเยอะ ออกไปก็ต้องระวัง การที่เราไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปและ ทุกอย่างต้องระวังไปหมด ยิ่งอยากจะซนเนี่ยซนไม่ได้เลย ก็เลยรู้สึกอึดอัด พอเรามีโอกาสจะไปเรียนต่ออีกรอบเนี่ย เราก็เลยไปดีกว่า

ตอนไปเรียนต่ออีกรอบ ในใจคิดมั้ยครับว่าไปคราวนี้ไปยาวเลย

ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ผมคิดว่าผมจะไปแล้วก็ถ้าว่างก็จะกลับมาทำงาน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยพอปิดเทอมผมก็กลับมาทำงานอยู่เรื่อย ๆ  ช่วงเวลาต่อจากนั้นเราจะหันมาเน้นงานดนตรีมากขึ้น เพราะเรารู้ว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่เราอยากจะทำ งานแสดงเราก็รับถ้างานตรงนั้นไม่มารบกวนการทำงานดนตรีของเรา พอผ่านไปเรื่อย ๆ เราก็รู้สึกว่าเราต้องเอาเวลามาใช้กับตรงนี้มากขึ้น งานแสดงก็จะลดไปเรื่อย ๆ 

ช่วงที่คุณเป็นซุปเปอร์สตาร์คุยเคยตั้งคำถามถึงงานที่ตัวเองทำ มันหมายความว่าอะไรครับ

มันเป็นความรู้สึกมากกว่าฮะ ด้วยงานที่ผมทำด้วยแหละว่าอยู่ดี ๆ เรามาเป็นคนที่คนรู้จักจากการโฆษณา จากงานถ่ายแบบ แล้วเค้าจะมีวิธีจินตนาการว่านิสัยของผู้ชายคนนี้เป็นยังไง พอเราได้เห็นรีแอ็กชันของคนพอเค้าเจอตัวจริง เค้าอาจจะคิดว่ามันไม่เหมือนกับคนที่เราคิดนี่ ผมเลยรู้สึกว่า ‘อ๋อ’ สิ่งที่ออกไป ที่คนเค้าชอบเนี่ย มันอาจจะไม่ได้เป็นตัวเรา เราอยากจะสร้างผลงานด้วยแหละ อยากจะ express ตัวเองมากหน่อย แต่พอออกไปข้างนอกมันมีกรอบให้เราอยู่ในนั้น เราก็เลยอยากจะค้นหาวิธีที่จะสร้างผลงานของตัวเองได้ โดยไม่ต้องไปกังวลว่าคนจะคิดยังไง

ซึ่งการทำงานดนตรีมันแสดงความเป็นตัวตนของเราได้ดีกว่า

ใช่ครับผม เพราะเรารู้สึกว่าตรงนั้นน่ะ เรามาเป็นนักแสดงให้กับคนที่สร้างผลงานออกมา พอหลัง ๆ เราก็อยากมาสร้างผลงานของตัวเองที่เรารู้สึกว่ามันเป็นของเรา

J’s PATH ทางที่เจเลือก

พอคุณไปเรียนต่อมันเหมือนคุณหายไปเลย

เพราะว่าในยุคนั้นที่เดียวที่จะเห็นผมคือทีวีหรือนิตยสาร ในยุคนี้ยังเห็นได้ทางโซเชียล พอในยุคนั้นถ้าเราไม่ทำงานอยู่ที่นี่คนที่นี่ก็จะไม่เห็นเลย

คราวนี้คุณค่อย ๆ ซึมกลับมาแต่ได้ยินในฐานะคนเบื้องหลัง อันนี้เป็นความตั้งใจรึเปล่าครับ

ผมอาจจะไม่ได้ตั้งใจนะฮะ เรารู้ว่าเราอยากจะทำอยู่ตรงนั้น น่าจะเป็นขั้นตอนที่จะมาทำงานของตัวเองเนี่ยแหละ มันมีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้อีกเยอะ ก็เลยหาโอกาสไปทำให้คนอื่นก่อน อีกเหตุผลนึงก็คือ พอผมกลับมาผมไม่ได้มาทำอะไรที่มันพอปเท่าไหร่ เริ่มอินดี้เล็ก ๆ มีความทดลองมีความแปลกนิดนึง ก็เลยไม่มีอะไรที่รู้สึกว่ามณฑลกลับมาแล้ว

แล้วไม่เสียดายโอกาสของเราที่อยู่ฝั่ง popular ที่มันสื่อสารได้ไกลกว่าหรอครับ

ผมแค่รู้สึกว่าถ้าเราจะคงตรงนั้นเอาไว้ เราจะไม่มีโอกาสได้มาทดลองในสิ่งที่เราจะลอง มันต้องเลือกสักอย่างนึง

แสดงว่าเรามุ่งมั่นจริง ๆ จึงยอมแลก

อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่เราเริ่มทำงานตรงนี้ เรามีประสบการณ์ที่เราเห็นชัดเลยว่าถ้าไม่เป็นงานของเราเนี่ยจะดีแค่ไหนความหมายที่มันมีกับตัวเราจะน้อย

ชื่อเจ มณฑลกลายเป็นโปรดิวเซอร์นี่น่าจับตามองตอนที่คุณมาทำสล็อตแมชชีน เป็นยังไงบ้างครับการได้ลงมือทำ

ตอนแรกก็กังวลอยู่นิดนึงว่าเราจะมาทำได้รึเปล่าสำหรับวงร็อกไทย เพราะงานที่เราทำมาก่อนนั้นมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ผมก็เชื่อว่าเราน่าจะสร้างงานที่มันมีความแตกต่างได้ ฝั่งทางผมกับทางวงเนี่ยเราเชื่อว่าเราทำอย่างนั้นได้ แต่ทางค่ายยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เพราะก่อนยุคนั้นผมเหมือนกับไปอินกับเพลงอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นคลับมิวสิกเลย ทางค่ายก็กลัวนิดนึงว่าจะออกมาแดนซ์ พอซิงเกิลแรก ‘จันทร์เจ้า’ ออกมาคนเค้าก็แบบ ‘โฮ่ โอเค’ ไว้ใจได้แล้ว ซิงเกิลสอง ‘สวนดอกไม้’ ออกมาก็โอเค ซิงเกิลสามก็โอเค เค้าก็เลยไว้ใจแล้ว

วิธีการโปรดิวซ์แบบเจ มณฑลเนี่ยเป็นยังไง

แล้วแต่เลยครับ แต่ละศิลปินจะไม่เหมือนกัน สมัยนี้ก็จะมี all in one โปรดิวเซอร์ที่ทำทุกอย่าง แต่ผมจะมองแยกว่าจะมีนักแต่งเพลง และ โปรดิวเซอร์ที่มาชี้แนะแนวทางว่าควรจะตัด จะเติม จะเปลี่ยนอะไร โดยรวมคือต้องแก้ไขปัญหาให้วง ฟังแล้วแนะนำได้ว่าเพลงนี้ขาดอะไร คุณจะเปลี่ยนอะไรแค่นั้นล่ะฮะ

เจเคยให้สัมภาษณ์ว่าสิ่งเดียวที่ทำได้คือสร้างผลงานที่ดีที่คุณด้วยความเคารพต่อผลงานนอกเหนือจากนั้นมันก็ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเราแล้ว มันหมายความว่าอะไรครับ

หลายคนชอบถามว่าทำงานไปแล้วเราคาดหวังอะไรหรือทำไปเพื่ออะไร ตอนทำเนี่ยอุปสรรคมีอะไรยากมั้ย ผมก็พยายามอธิบายว่าจริง ๆ เนี่ยพองานที่ผมได้สร้างขึ้นมาเนี่ย ตัวเพลงเสร็จแล้วผมแฮปปี้กับตรงนั้นหน้าที่ของผมมันจบแล้ว แต่ว่าพองานออกไปแล้วคนจะชอบไม่ชอบมันแล้วแต่เค้าไม่เกี่ยวกับผมละ เรามีหน้าที่ที่จะสร้างอย่างเดียว

ในโลกทุกวันนี้ที่ทุกอย่างมันเป็นดิจิทัล อย่างการที่จอร์จ ลูคัสเอาสตาร์ส วอร์มาฉายใหม่แล้วมันมีฉากที่ฮัน โซโลยิงจิ๊กโก๋ในบาร์ คนก็ถกเถียงกันว่าทำไมฮัน โซโลถึงยิงคนอื่นก่อน ลูคัสเค้าก็เลยเอาไปตัดต่อใหม่ให้ฮัน โซโลยิงทีหลัง ณ วันนี้เทคโนโลยีมันทำให้ต่อให้งาน release ไปแล้วคุณก็ยังแก้มันได้

เข้าใจ และผมก็จำได้ว่า Kanye เค้าก็เคยทำแบบนี้ เค้าก็เปลี่ยนอยู่เรื่อย ๆ อยู่ดี ๆ ประโยคนี้ก็เปลี่ยนไป order ของเพลงก็เปลี่ยนไป แต่ผมรู้สึกว่าบางส่วนที่เราสร้างมาแล้วคือ snapshot ณ ช่วงเวลานั้นเสร็จแล้วก็เสร็จไป เพราะเรารู้สึกว่าเราก็สร้างผลงานใหม่ได้ ถ้ารู้สึกว่าเชยก็แต่งผลงานใหม่ออกมาสิครับ

อัลบั้มใหม่ของเจ ถือว่าเป็นอัลบั้มแรกในรอบ 22 ปี ตั้งแต่อายุ 17 จนมาถึงวันนี้ ผมได้ยินเกี่ยวกับวิธีการทำงานของเจว่าคุณปิดตัวเองไป 2 ปีและซื้อหนังสือมาเต็มบ้านเพื่ออ่านและหาเรื่องราวมาเขียนเป็นเนื้อ

ผมสร้างระบบ มันถึงช่วงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจที่จะไม่รับงานเพื่อที่จะมาทำตรงนี้ พอเรารู้ว่าเราปฏิเสธงานเราก็ต้องทำให้มันเร็วที่สุดละ แต่เราดีไซน์ชีวิตมาที่ cost ของการอยู่เนี่ยมันต่ำมาก เราเลยมีอิสระในการใช้เวลาตรงนี้ ขั้นต้นผมก็มาหาสิ่งที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของผม ก็คือ เนื้อภาษาไทยและการร้องเพลง

ทำไมถึงเลือกที่จะเขียนเนื้อเป็นภาษาไทย

ถ้าเรามองกลับไปผมเชื่อว่าผมยังมีแฟนเบสคนไทยอยู่ และผลงานอื่นๆ  ที่ผมได้เสนอออกมากับศิลปินคนอื่นเราก็ได้เสนองานออกมาอยู่เรื่อย ๆ คนก็มักจจะถามว่าเมื่อไหร่จะมีผลงานของตัวเอง ผมก็รู้สึกว่านี่ก็ผลงานผมนะแค่ไม่ได้มีชื่อผมแปะบนหน้าปก ผมเลยคิดจะกลับมาทำงานให้กับกลุ่มแฟนที่เค้าอยู่ที่นี่ อย่างที่สองที่ผมตั้งให้กับตัวเองคือเราจะต้องทำทั้งหมดคนเดียว เพราะสิ่งอื่น ๆ  ที่ผมได้ทำมามันคือ collaboration หมด พอมาทำของตัวเองแล้วเนี่ยเพื่อจะให้เป็นของตัวเองเนี่ยถ้าเราจะมาทำเหมือนเดิมมันก็ยังรู้สึกว่าอาจจะเป็นงานของคนอื่นอยู่รึเปล่า ผมก็เลยตั้งเป้าหมายว่าเราอยากจะลองทำดู

ทุกกระบวนการเลยหรอครับ

เล่นดนตรีทุกชิ้น มิกซ์ มาสเตอร์ ทั้งหมดเลยครับ แต่ก็ยังมีคนมาช่วยโปรดิวซ์ครับ ทีนี้ตอนสร้างระบบผมก็ต้องกลับมาฝึกในส่วนของการแต่งเนื้ออย่างน้อยก็ให้เข้ามาใกล้กับการอัด การโปรดักชันที่ผมเคยทำมาเยอะแล้ว ผมก็เลยไปเรียนรู้ไปฝึกใช้เวลา 6 เดือนในการแต่งเนื้ออย่างเดียวแล้วก็วิเคราะห์เนื้อเพลงของคนอื่น ไปดูเพลงภาษาอังกฤษที่ผมชอบเอามาแปล  ดูวิธีการแต่งประโยค ดูกลอน อะไรหลายอย่างพยายามศึกษาให้มากที่สุด แล้วมาศึกษาวิธีการแต่งเพลงที่เหมาะกับเรื่องราวที่ผมอยากจะเล่า มีช่วงที่แต่งเนื้ออย่างเดียวใส่ทำนองทีหลัง มีแต่งทำนองแล้วมาใส่เนื้อ เริ่มจากดนตรีก่อนแล้วมาแต่งทำนองกับเนื้อ หรือเริ่มจากดนตรีแล้วก็แต่งเนื้อเลยเพื่อให้มันสร้างทำนองขึ้นมา

ลองเล่ากิจวัตรให้ฟังได้มั้ยฮะว่าในช่วงที่ทำอัลบั้มเนี่ยหนึ่งวันเราทำอะไรบ้าง

ผมพยายามจะตั้งให้มันเป็นรูทีนจริง ๆ ในส่วนที่ผมได้อ่านรูทีนของคนที่สร้างผลงานเนี่ยเค้าจะเป็นคนที่ค่อนข้างเป๊ะกับเวลาตลอด ทำเหมือนกับออกไปทำงานนี่ล่ะ เราต้องพยายามบังคับตัวเอง ผมตื่นประมาณตีห้าแล้วมาเขียนเนื้อ พยายามเขียนประมาณ 3 ชั่วโมง พอ 9 โมงก็พอละสำหรับการเขียนเนื้อ ก็เริ่มทำงานช่วงกลางวันละมีงานของ Wonderfruit อะไรหลายอย่าง และเริ่มมาดูในส่วนของการเรียบเรียงดนตรี

ทำไปจนถึงกี่โมงฮะ

มันจะมียุคนึงที่ผมทำเหมือนเป็น 3 session ช่วงเช้าทำเนื้อ กลางวันดูเรื่องดนตรี ช่วงกลางคืนจะดูส่วนของ edit มาเรียบเรียงและอ่านหนังสือต่อว่าเราควรจะทำอะไร

และนอนกี่โมงฮะ

ช่วงที่ผมตื่นตีห้า ผมพยายามนอนสี่ทุ่ม ห้าทุ่ม

ทำอย่างนี้อยู่ 2 ปี

ช่วงแต่งเนื้อตอนต้นเนี่ยพยายามทำอยู่อย่างนั้น พอผมเริ่มมีดราฟต์เพลงผมย้ายมาเริ่มตอนประมาณ 7 โมงเช้าแทน แล้วกลางคืนเนี่ยจะทำดึกหน่อย

ทำไมคุณให้ความสำคัญกับวินัยในการทำงานขนาดนี้ ดูมันไม่สอดคล้องกับภาพของศิลปินที่อดหลับอดนอนและไปนอนเช้า

ผมลองแบบนั้นมาแล้ว ไม่เวิร์ก ผมมาวิเคราะห์วิธีการทำงานของผม ผมรู้ว่าพรสวรรค์ ความ special ของเราเนี่ยมันไม่มีมันไม่ได้เก่งหรือพิเศษกว่าคนอื่น นอกจากเวลาที่เราให้กับมันวิธีเดียวที่จะชนะคือทำให้มากกว่าเค้า ใช้เวลาที่โฟกัสให้มากกว่า เรารู้สึกว่าถ้าเราทำให้ได้แบบนั้นเราจะไปอยู่ในระดับแบบคนที่สูง ๆ ได้ อย่างน้อยเราสร้างระบบละ พอเราสร้างระบบตรงนี้ได้จากต้นจนจบเรามองเห็นแล้วว่า กระบวนการมันเป็นยังไง พอเริ่มชินกับตรงนี้ก็ทำได้เรื่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ไปเรื่อย ๆ

ผมฟังเพลงอัลบั้ม ‘ด้วยความเคารพ’ รอบแรก ในด้านดนตรีผมรู้สึกว่ามันเป็นดนตรีที่จัดหมวดหมู่ด้วยแนวดนตรีไม่ได้เลย บางเพลงมีความแบบโฟล์กแต่เป็นโฟล์กที่ซาวด์อีกแบบนึง ในขณะที่บางเพลงก็ไม่รู้เลย สิ่ง ๆ นึงที่ทำให้มันอยู่ในอัลบั้มเดียวกันผมรู้สึกว่ามันคือ ‘อารมณ์’ อันที่สองก็คือเรื่องเนื้อหา ผมรู้สึกว่าผมฟังแล้วเหมือน โห ไอ้คนที่ทำอัลบั้มนี้มันเหงามากเลย รู้สึกได้ว่าคนคนนี้เหงามาก เนื้อหามันส่วนตัวมากจนเกือบจะเรียกว่าถ้าตัวละครในอัลบั้มคือผู้ชายคนนึง เหมือนผู้ชายคนนี้กำลังพูดถึงผู้หญิงคนนึงในทุกช่วงเวลาจากวันแรกจนวันสุดท้าย มันเป็นอย่างนั้นรึเปล่าครับ

ผมอยากจะแต่งให้มันเป็นวงกลมของความสัมพันธ์ การเริ่มต้น ตอนที่ทุกอย่างสดใสสวยงาม จนถึงวันที่เริ่มมีปัญหากัน ความแปลก ความต้องแยกย้ายกันใหม่ และการที่ต้องไปเจอคนอื่นและเริ่มใหม่อีกรอบนึงไปเรื่อย ๆ เป็นลูป แต่ในเมื่อผมต้องผมแต่งเพลงหลายเพลงที่ถูกบังคับด้วยแนวดนตรีและเนื้อหา คอนเซปต์ของวงกลมเนี่ยผมก็เหมือนปล่อยมันไป จนอัลบั้มเสร็จแล้วหลายคนมาบอกว่ามันเป็นรูปแบบนี้เป็นการกลับมาอีกรอบนึงโดยที่ผมอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ตอนที่ผมมาวิเคราะห์เพลงเนี่ยเราจะเห็นว่าเพลงไทยส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวกับความรัก ไม่ช่แค่เพลงไทยหรอกทุกเพลงนั่นล่ะ ผมก้เลยเอาตรงนี้มาเป็นท่อนกลางว่าเราจะมาแต่งเพลง love song ในหลาย ๆ รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นมุมตัวเองที่แปลกนิดนึง หรือของคนอื่นที่เราคิดว่าน่าสนใจ ให้คนเค้าได้เข้ามารู้สึกกับเราด้วย พอเค้าฟังแล้วรู้สึกผู้ชายคนนึงเหงามาก ตรงนั้นล่ะเป็นสิ่งที่ผมพยายามจะสร้างขึ้นมาด้วย

ผู้บริหารบอกว่าในช่วง 2 ปีที่ทำอัลบั้มนี่คุณไม่ตัดผมด้วย

ใช่ผมตั้งอะไรหลายอย่างกับตัวเองมาก เช่น ผมจะไม่ตัดผมจนอัลบั้มเสร็จ ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอก

คุณคิดว่ามันเลยมีผลต่อเพลงของคุณมั้ย

แน่นอน

คุณมีเงื่อนไขอะไรบ้างนะครับ

ไม่ตัดผม เป็นภาษาไทย จะต้องทำคนเดียว เรื่องราวต้องเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์หลาย ๆ แบบ ผมต้องตั้งโจทย์เอาไว้เพราะว่าในขั้นตอนการทำงานผมจะมีช่วงที่ผมรู้สึกว่าผมฟรีมากในการทำงาน ถึงผมชอบทำงานตอนเช้าเราตื่นขึ้นมาจริง ๆ เรายังไม่ได้ตื่นหรอก เรามีความสะลึมสะลือ สมองของเรายังมีการตัดสินใจที่ไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่  ไม่คิดมาก ผมก็เลยชอบทำงานตอนเช้า ก็คล้ายกับการทำงานตอนกลางคืน หรือตอนไฮ หรือดื่มเหล้านี่ล่ะมันจะฟรีมาก ก็เลยต้องตั้งโจทย์ไว้ก่อน ไม่งั้นงานมันจะมาค่อนข้างมั่วนิดนึง ซุปเปอร์พาวเวอร์ของผมมีอย่างเดียวเลยครับคือขยัน

ผมว่าคุณไม่ได้เริ่มมาทำกับงานนี้ด้วยแหละ คุณทำมาทั้งชีวิตเลยใช่มะ

ใช่ครับ ผมโชคดีที่ผมตัดสินใจได้ว่าผมอยากจะทำงานทางด้านนี้ และเราเข้าใจว่าทำงานทางด้านนี้มันไม่ง่าย มีหลายอย่างที่เราต้องเสียสละไปเราก็เลยต้องปูทาง การที่เรามาหยุดงานสองปีเราก็ต้องปูทางมาแล้ว เราต้องพร้อมที่จะลุยกับตรงนี้โดยที่เราอาจจะต้องทิ้งอย่างอื่นไป

ผมเคยอ่านหนังสือของสตีเฟ่น คิงส์

สตีเฟ่น คิงส์เป็นคนที่เค้าเขียนทุกวัน ไม่ว่าจะป่วยหรือขี้เกียจ เค้าก็เขียนทุกวัน

แล้วเหมือนจะบังคับด้วยว่าต้องกี่บทหรือกี่หน้า

คำเดียวก็ได้ ขอให้เริ่ม

ผมชอบคำเจมากนั่นคือซุปเปอร์พาวเวอร์ของเค้าคือ ‘ผมขยันครับ’

พองานเสร็จมาแล้วคุณได้ฟังงานตัวเองแล้ว เป็นยังไงบ้างครับชอบมันมั้ย

ชอบครับ ถ้าไม่ชอบเนี่ยมันก็ไม่เสร็จ ผมทำไปจนรู้สึกว่ามันน่าจะดีที่สุดในช่วงเวลานี้ละ เราพร้อมที่จะปล่อยออกไปละ

ถ้าจะบอกกับคนที่ยังไม่ได้ฟัง ทำไมเค้าต้องมาฟังอัลบั้มนี้และควรจะต้องเตรียมตัวยังไง คือมันไม่ใช่เพลงสำหรับทุกคนหรอก

ใช่ ผมรู้เลยว่าไม่ใช่เพลงสำหรับทุกคน มันเหมือนเป็นเพลงที่คนที่เค้าชอบผมอยู่แล้วและอยากจะหาอะไรที่มันพาเค้าไปถึงอีกจุดนึง พาไปต่อ ตอนแรกผมก็ไม่รู้ตอนที่ทำเสร็จแล้วก็คิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่กว้างมาก ใคร ๆ ก็น่าจะมาฟังได้แล้ว แต่พอออกไปผมเริ่มเข้าใจว่าแบบสิ่งที่เราเนี่ยมันไม่ได้เป็นอะไรที่มันง่ายขนาดนั้นด้วยแหละ ไม่ได้เป็นความผิดของใครเลย มันเป็นทางเลือกของผมเอง เราอาจจะฟังเพลงมาหลายแบบและสิ่งทีเราต้องการในการสร้างผลงานคือสิ่งตรงนี้ งานที่เราสร้างออกมาจริง ๆ มันคืองานที่เราสร้างให้ตัวเองก่อน คนอื่นจะฟังนั่นเป็นส่วนแถมที่ผมได้มา

ผมคงจะบอกว่าใครที่อยากจะฟังอัลบั้มนี้ของเจขอให้นำเข้าไปด้วยอารมณ์ เรื่องเหตุผลหรือจะไป judge แนวเพลงหรืออะไร ขอให้ลืมไปก่อน ให้เหมือนไปนอนค้างบ้านเจแล้วเค้าเปิดเพลงให้ฟัง

มันเหมือนจะไม่ใช่เพลงที่ฟังรอบแรกแล้วจะรู้สึกหรือเข้าใจ หลายคนอาจถามว่าเพลงไหนควรจะฟังก่อน ผมก็จะบอกว่าเพลงแรกไปจนเพลงสุดท้ายควรฟังเป็นอัลบั้มไปเลย ผมอยากให้คนฟังทั้งชุด เคยคุยกับทางค่ายด้วยว่าให้ทำเป็นเพลงนึงยาว 50 นาทีไปเลยได้มั้ย เค้าบอกว่ามันยาก

BEING MONTONN JIRA ความเป็น เจ มณฑล

การทำงานแบบนี้รู้สึกมั้ยครับว่ามันเครียดไป

ไม่ครับ มันเป็นอะไรที่สนุกที่สุดในโลกเลยครับ

คุณมีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกว่าเราต้องไปปาร์ตี้อะไรแบบนี้ บังเอิญไม่ใช่คนชอบปาร์ตี้

ผมชอบ ผมชอบออกไปเจอคนบ้าง ในช่วงระหว่างนั้นก็มีการแสดงอยู่บ้าง ก็มีช่วงแบ่งเวลาไป แต่ว่าหลัก ๆ เนี่ยผมเหมือนมาเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำตรงนี้มันสำคัญกว่า และพอเราได้สร้างผลงานเสร็จแล้วเรากลับมาฟัง เรามีความรู้สึกว่าออกไปเที่ยวยังไงมันก็เป็น external stimulus (สิ่งกระตุ้นจากภายนอก) การที่เราสร้างอะไรออกมาเนี่ย มันเป็นความรู้สึกอีกแบบนึง ผมมีความคิดว่ามันน่าจะเป็นความรู้สึกคล้ายกับคนที่มีลูก นี่เค้าคือมนุษย์ที่เราได้สร้างขึ้นมาเราต้องดูแลเค้า เรามีความรับผิดชอบตรงนี้ มันเป็นสิ่งที่เราเอาเวลาและความตั้งใจไปไว้ตรงนั้น และมันจะอยู่ไปตลอด และพอเสร็จแล้วเราก็ไปปาร์ตี้ได้อยู่ดี

ช่วงก่อนเริ่มทำอัลบั้มเจเคยบอกว่าเจไปรับการบำบัดทางจิตวิญญาณมา มันเกี่ยวมั้ย

มีส่วนที่เกี่ยวครับ เราเรียกว่า spiritual retreat ก็ได้ มันจะมีพิธีจากเปรูซึ่งเหมือนกับเป็นการบำบัดเพื่อค้นพาตัวเอง มีการรีเซ็ตสมอง จิตใจ ผมก็ได้ไปร่วมกับรีทรีตนี้มา จริง ๆ ตอนที่ผมเข้าไปมก็มีคำถาม 2-3 อย่าง ว่าการที่เราจัดระเบียบชีวิตแบบนี้มันดีสำหรับตัวเองรึเปล่า หรือเราคิดไปเอง พอเข้าไปก็จะมีคนที่เป็นผู้นำรีทรีต เค้าก็จะไกด์ทุกคน แล้วก็จะมีรากของต้นไม้สักต้นที่เราจะดื่มเข้าไปเป็นสมุนไพรและยานี่แหละจะเป็นสิ่งที่พาเราไป คืนหนึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 7 ชั่วโมง ดื่มแล้วจะเครียดนิดนึงครับ จะรู้สึกเหมือนใครมาวางยาเหมือนถูกพิษอะไรสักอย่างเข้าไปในร่างกาย จะมีความปวด จะมีความเกร็ง ร่างกายจะรู้สึกเหมือนว่ากำลังจะปิดระบบ แล้วสมองจะปล่อยฮอร์โมนบางอย่างซึ่งจะทำให้เราคิดบางอย่างออก เหมือนก่อนที่คนจะตายและเห็น flashback นี่มันคล้าย ๆ กัน มันเป็นการหลอกร่างกาย

พอผมเข้าไปแล้วเนี่ยสิ่งที่ผมได้เห็นส่วนมากจะเป็นภาพที่เกี่ยวกับความกลัว ทุกคนจะมีเรื่องราวไม่เหมือนกัน ของผมเนี่ยอย่างแรกคือความมืดมาเลย แล้วผมก็คุยกับตัวเองว่าทุกคนก็กลัวความมืดกันทั้งนั้นแล้วความมืดก็หายไป เห็นภาพแบบ storyboard มาเลย มองเห็นความเหงา ความผิดหวังกับตัวเอง ความผิดหวังของคุณพ่อคุณแม่ ความผิดหวังของเพื่อน ๆ หลายอย่างของผมนี่ดาร์กมาก ข้อมูลมันเยอะมากเลยในช่วง 7 ชั่วโมงของทั้ง 2 คืนที่ผมได้ดื่มสมุนไพร ผมก็ต้องกลับมา analyse จริง ๆ เค้าให้คิดไปอีกสัก 2-3 อาทิตย์ในการกลับมาวิเคราะห์ ผมน่าจะกลับมาแล้วและมาคุยกับฮิวโก้นี่แหละ ว่าเราไปเจอแบบนี้มา คนอื่นต้องมาอธิบายให้ผมฟังว่านี่แหละคือคำตอบ คุณน่ะจัดกรอบเพราะว่าคุณกลัวว่าคุณจะมาควบคุมสิ่งที่คุณทำไม่ได้คุยก็เล่นตั้งกรอบมาควบคุมมันเอาไว้ เราเป็นคนที่อาจจะฟรีเยอะแต่ต้องระวังไม่ให้ฟรีเกินไปไม่งั้นงานอาจจะยังไม่เสร็จ

หลังงานนั้นผมเหมือนต้องมาคุยกับทางคุณพ่อคุณแม่ บอกว่าเนี่ยเราอาจจะมีความกลัว กลัวว่าคุณพ่อคุณแม่จะผิดหวังในงานที่เราทำ พอได้คุยแล้วท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร ทุกครั้งที่ผมจะตัดสินใจกับงานเนี่ยผมต้องคิดแล้วว่ามันมี income แต่งานของเราเองเนี่ยไม่มี เราก็คิดว่าคุณพ่อคุณแม่เนี่ยจะคิดยังไง แต่การที่เราต้องมาตัดสินใจบอกว่าเราจะไม่ทำงาน 2 ปีนะครับ มันเป็นอะไรที่ไม่ comfortable กับการทำตรงนั้น แต่พอได้บำบัด ได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่เปิดกว้าง เค้าก็บอกเราว่าให้ลุยไปเลย มันก็เหมือนกับการได้ปล่อยตรงนั้นไป ความรู้สึกที่ว่าเราทำอะไรผิด เรา guilt

แล้วใครเป็นคนแปลความหมายจากการบำบัดหรือเราจะรู้เองครับ

เราจะรู้เองครับ หลังจากการผ่าน 2 คืน 14 ชั่วโมงนั้น หลังจากกลับมาผมมาคุยกับคุณพ่อคุณแม่เลย พอเราอยู่ในสถานการณ์นั้นน่ะฮะ เหมือนกับคนเอาไฟฉายมาส่องสิ่งที่สำคัญกับตัวเรา หลาย ๆ อย่างเป็นสิ่งที่เราไม่อยากจะมอง เราไปแอบเอาไว้เพราะเราไม่อยากเจอมัน เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกไม่ดี ยานี่จะดึงทุกอย่างออกมามาไว้ตรงหน้าให้ชัดที่สุด เราก็จะมองเห็นเลยว่าในชีวิตของเราอะไรสำคัญอะไรไม่สำคัญ อะไรที่ควรจะไปแก้ไขตอนนี้เลย เราอยากจะคุยกับคุณพ่อคุณแม่และน้องชายตอนนี้เลย เราอยากจะบอกเค้าว่าเรารู้สึกยังไง

แล้วมันจะต้องไปทำที่ไหนอ่ะครับ

ธรรมดาแล้วเนี่ยคนจะต้องเดินทางไปที่เปรู

ใช้ตังค์เยอะมั้ยฮะ ถ้าไม่นับค่าเดินทางไปเปรู

ก็ไม่ได้แพงมากครับ ก็ไม่ได้ถูก แต่สำหรับ experience แบบนี้มันเปลี่ยนชีวิตเลยครับ

อยากลองเลยครับ แต่มันก็น่ากลัว

ทุกคนกลัวหมด พอผมบอกว่ามันเหมือนกำลังจะตาย ร่างกายกำลังจะปิด มือจะชา การมองเริ่มเบลอ ท้องบิดไปบิดมา อ้วกอยู่หลายชั่วโมง แต่พอออกมาแล้วเนี่ยเป็นอะไรที่ฟรีที่สุด สวยงาม แต่ในช่วงนั้นเป็นอะไรที่ร้ายแรง

สิ่งที่คุณเห็นใน 14 ชั่วโมงนั้นตอนนี้คลี่คลายไปหมดแล้วรึเปล่าฮะ

ครับ ก็ยัง remind ตัวเองไว้อยู่เรื่อย ๆ ว่าที่เราเป็นแบบนี้เพราะเรากลัวนี่หว่า มันมีอะไรที่จะกลัวรึเปล่า เราควรปรับตรงนี้มั้ย

อะไรคือสิ่งที่เจกลัวที่สุดในชีวิตครับ

ตอนนี้น่าจะเป็นการผิดหวังในตัวเอง ว่าเราตั้งเป้าหมายแล้วไปไม่ถึงเราจะทำยังไงต่อ หลายคนจะถามว่ามาทำแบบนี้มาสร้างระบบแล้วก็สร้างผลงานเนี่ยเพื่ออะไร เราก็มีคำตอบว่าเราหาอะไรทำเพื่อไม่ให้หยุดนิ่ง พอเราหยุดนิ่งแล้วเหมือนกับเราไม่ได้ใช้ชีวิต ก็เป็นการ work-life balance ในแบบของเรา อย่างถ้าเราออกไปเดินทางมันก็จะรู้สึกว่าตรงนั้นมันไม่ได้ใช้ความตั้งใจและโฟกัสในช่วงชีวิตตรงนี้ ผมอาจจะทำสิ่งนี้มาแล้ว ตอนนี้ก็เลยอยากจะทำอะไรที่ใช้เวลาหน่อย ผมรู้สึกว่าผมมีบาลานซ์ในรูทีน บางคนอาจจะรู้สึกว่าพอมีรูทีนแล้วมันจะไม่บาลานซ์แต่ผมรู้สึกว่ามันบาลานซ์ ตื่นขึ้นมาผมอ่านหนังสือ ผมเขียน ไปทำชา กลับมาทำงานในห้องอัด ไปทำอาหารเช้า มีออกกำลังกาย ไปตากแดด อาบน้ำแข็ง กลับมาในห้องอัด ซ้อมดนตรี ตอนสี่โมงก็มาออกกำลังกาย มีรูทีนจริงแต่ในนั้นมันมีทุกอย่าง บางส่วนมันทำให้รูทีนเนี่ยยืดได้ ถ้าเราสร้างรูทีนที่มันครบสูตรเนี่ยรูทีนนี้เรา repeat ไปได้เรื่อย ๆ แล้ว

คุณเชื่อในการใช้ชีวิตคู่มั้ยฮะ มีแผนมั้ย

ตอนนี้ยังเลยครับ ก็ใช้ชีวิตคู่ในแบบของตัวผมเองนะ ซึ่งก็แปลกสำหรับคนทั่วไป ผมเป็นคนที่ต้องใช้เวลาอยู่คนเดียวค่อนข้างเยอะ ด้วยงานและวิธีการอยากจะใช้ชีวิตในช่วงเวลานี้ 90% จะอยู่คนเดียว

ใครจะมาชีวิตคู่กับคุณ ต้องเข้าใจจุดนี้ด้วย

เค้าต้องพอใจใน 10 % นี้

ยากมั้ย

ยาก เพราะแบบด้วย standard ของคนทั่วไป ทุกคนจะรู้สึกว่ามันน้อยมากเลย บางคนเข้ามาตอนแรกจะแบบเฮ้ยสบาย แต่พอเข้ามาจริง ๆ  แล้วก็แบบ… เราก็เป็นคนแบบนี้ เราเข้าใจตรงนี้ เราก็เลยเกรงใจจะไปขอ เพราะผมแฮปปี้กับตรงนี้นะถ้าเราอยู่ใน relationship ที่แบ่งกันได้ประมาณนี้ เวลาที่อยู่ด้วยกันก็จะดี แต่การที่จะไปขออะไรตรงนี้จะเป็นอะไรที่ยาก พอคิดไปยาว ๆ แล้วเหมือนเราเข้าใจตัวเองว่าต้องเป็นแบบนี้ไม่งั้นมันจะหงุดหงิดอึดอัดรู้สึกว่าไม่แฮปปี้

ฟังดูเป็นตัวเลขที่น่าตกใจนะ แต่จริง ๆ มันเป็นบาลานซ์ที่น่าสนใจซึ่งถ้าใครทำได้มันจะมหัศจรรย์มาก

ใช่ เพราะช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเนี่ยมันจะดีมาก เพราะจะไม่ได้เจอกันอีกตั้งนาน แต่เหมือนผมเป็นคนที่กลัวรึเปล่า ไม่ได้อยากจะไปเผชิญกับสิ่งที่เราต้องเผชิญใน relationship ต่าง ๆ การทะเลาะกัน เถียงกัน เข้าใจไม่ตรงกัน การต้องแบ่งเวลา หลาย ๆ อย่างตรงนั้น ในช่วงเวลานี้ผมรู้สึกว่ายังไม่พร้อม หรืออาจจะยังไม่อยากที่จะลุยตรงนั้นไป

แล้วไม่อยากมีลูกหรอครับ

ไม่อยากครับ เพราะผมเข้าใจว่าการที่ผมมีลูกแล้วเนี่ยโฟกัสของผมจะต้องไปอยู่ตรงนั้น เราต้องพร้อมที่จะปล่อยทุกอย่างที่สร้างมาตรงนี้ไป เราต้องรู้สึกว่าเราพอแล้วตอนนี้ต้องมาดูแลชีวิตของเค้า เพราะเราเห็นว่ามันเป็นช่วงเวลาที่การมีลูกและเลี้ยงลูกในโลกใบนี้มันเป็นอะไรที่น่ากลัวอยู่นิดนึง จนกว่าที่เราจะพร้อมจริง ๆ ซึ่งเรารู้สึกว่าวันนั้นจะไม่เกิดขึ้น

อะไรคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมณฑล จิราจนถึงวันนี้

สำหรับตัวผมเองผมคิดว่าการที่เรามาเข้าใจตัวเองว่าเราต้องการอะไรที่ทำให้เราเหมือนใช้ชีวิตต่อไป สร้างผลงานต่อไป อยู่ด้วยความพอใจกับงานตัวเอง แต่ก็ยังค้นหาอะไรใหม่ ๆ ผมว่าการเข้าใจตัวเองเป็นสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญกับตัวผมเองมาก มันง่ายที่จะอยู่ในวงการแล้วก็ตามความต้องการของคนอื่นอยู่เรื่อย ๆ ตามเทรนด์ พยายามที่อยากจะเป็นแบบนี้แบบนู้น แต่จนกว่าที่เราจะรู้ว่าตัวเองอยากจะทำอะไรหรือต้องการอะไร ผมว่าตรงนั้นเป็นอะไรที่สำคัญ ผมขอแถมอีกอย่างนึงที่เป็นบทเรียนที่สำคัญคือเรามาเข้าใจว่าทุกอย่างนี่มันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา พอเราเข้าใจตรงนี้แล้วเราอาจจะไม่ได้ยึดติดกับอะไรเกินไป เพราะว่าสิ่งที่เราทำออกมาคนอาจจะชอบคนอาจจะไม่ชอบ เทรนด์ความสนใจของเค้ามันจะเปลี่ยนไป ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจะอยู่ตรงไหนในแต่ละขั้นตอนเนี่ยเราไปบังคับมันไม่ได้หรอก เราควรจะทำในสิ่งที่เราเข้าใจและเราต้องปล่อยให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แค่นั้นแหละ ถ้าเรายอมรับตรงนั้นได้ผมคิดว่าการตัดสินใจของเรามันจะง่ายขึ้นละ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส