อย่างที่คอหนังทราบกันดีว่า ไตรภาค Batman ของเสด็จพ่อ Christopher Nolan ที่มีชื่อเฉพาะว่า The Dark Knight Trilogy นั้น เป็นหนังที่ปฏิวัติวงการฮีโรให้พลิกโทนมาเป็นหนังดราม่าจริงจังมากกว่าจะเป็นหนังแฟนตาซีหรือดูเอาบันเทิงเพียงแค่อย่างเดียว หากมองบริบทในปี 2005 ที่หนัง Batman Begins เข้าฉายนั้น คอหนังก็กำลังเพลิดเพลินกับ 2 ภาคแรกของ Spider-Man (2002-2004) โดย Sam Raimi ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง รวมถึงภาค 2 ก็ได้รับคำชื่นชมในฐานะหนังที่มีส่วนผสมความดราม่าอันลงตัว ฟาก X-Men ก็มี 2 ภาคแรก (2000-2003) ที่กำลังไปได้สวย นั่นจึงเป็นโจทย์ยากและท้าทายที่ Warner Brothers และ DC จะฉีกแนวของหนังฮีโรหลังจาก Batman & Robin (1997) ที่เต็มไปด้วยสีสันกลายเป็นความล้มเหลว
Nolan ไม่เคยกำกับหนังฟอร์มยักษ์มาก่อน แต่ก็มีผลงานที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากจาก Memento (2000) เขาถูกจ้างให้มาสังคายนาแฟรนไชส์อัศวินรัตติกาลเสียใหม่ ล่าสุดระหว่างที่เขาให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่าง IndieWire ถึงหนังสือเล่มใหม่ที่กำลังวางจำหน่ายในตอนนี้ชื่อ “The Nolan Variations” ก็ได้ย้อนเล่าถึงการสร้างหนังเรื่องนั้นในฐานะของผู้กำกับหน้าใหม่ต่อหนังแนวฮีโรที่ต้องมารับผิดชอบการคืนชีพ Batman ให้สำเร็จ
ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมากสำหรับทั้งแฟรนไชส์ Batman และตัวผมเองที่จะทำการเล่าเรื่องใหม่ในตอนนั้น เรื่องราวต้นกำเนิดก่อนเขาจะเป็น Batman ยังไม่เคยถูกเล่าในฉบับภาพยนตร์มาก่อนหรือเล่าอย่างชัดเจนในฉบับคอมิก นั่นทำให้เราไม่ถูกกดดันที่จะต้องเล่าออกมาให้เหมือนหรือต่างจากฉบับคอมิก เทียบกับหนัง Superman ที่แสดงโดย Christopher Reeve และกำกับโดย Richard Donner ซึ่งเล่าเรื่องราวต้นกำเนิดไว้อย่างละเอียดแล้ว นี่จึงเป็นโอกาสที่เหมาะมากสำหรับผมที่จะเล่าเรื่องราวนี้ในแบบฉบับของผมเอง” Nolan กล่าว
เขายังเล่าต่อด้วยว่า “ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการสร้างตอนนั้น พวกเราสร้าง Batman Begins อย่างที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสสร้างภาคต่อไปไหมในตอนนั้น เราไม่คิดว่าหนังจะประสบความสำเร็จและเผื่อใจกันไว้พอสมควร แต่นั่นก็ทำให้ทีมงานมีเวลามากพอสมควรในการค่อย ๆ ปั้น The Dark Knight ออกมาในอีก 3 ปีให้หลัง โดยที่สตูดิโอก็ไม่ได้มาเร่งให้เราสร้างหนังออกมาแบบเร็ว ๆ และไม่ได้คุณภาพ ซึ่งมันจะทำให้หนังกลายเป็นหนังฮีโรดาด ๆ และเกร่อ ๆ เรื่องหนึ่ง ผมคิดว่าความสำเร็จของหนังขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ด้วย”
ความสำเร็จของ The Dark Knight (2008) นั้นก็ไม่เกินเลยไปจากที่ Nolan พูด เพราะหนังสามารถทำรายได้ข้ามหลัก 1,000 ล้านเหรียญฯ ทั่วโลกได้เป็นเรื่องแรกของ Warner Brothers, แฟรนไชส์หนังฮีโรของ DC และแฟรนไชส์ของ Batman เอง นอกจากนั้นหนังก็ยังชนะ 2 สาขารางวัลออสการ์ (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Heath Ledger) และผสมเสียงยอดเยี่ยม) และได้เข้าชิงอีก 6 สาขารางวัล แต่การที่หนังไม่ได้เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมก็กลายเป็นข้อครหาและทำให้หลังจากปีนั้น คณะกรรมการออสการ์จึงปรับจำนวนเรื่องของหนังที่จะเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมให้ไม่ต้องจำกัดอยู่แค่จำนวน 5 เรื่องอีกต่อไป
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส
ชวนอ่าน “ย้อนดูหนัง 10 เรื่อง ตลอด 22 ปีของผู้กำกับ Christopher Nolan ก่อนจะถึง Tenet“