สำหรับคอหนังที่ชอบดูคะแนนเสียงของนักวิจารณ์ก่อนตัดสินใจดูหนังสักเรื่องนั้น ย่อมจะรู้จักเว็บไซต์อย่าง Rotten Tomatoes หรือที่คนไทยมักจะเรียกว่า “เว็บมะเขือเน่า” เว็บไซต์ที่นำคำวิจารณ์จากทั้งฝั่งนักวิจารณ์และฝั่งคนดูมารวบรวมแล้วหารเฉลี่ยให้เป็นเปอร์เซ็นต์ หนังสนุกหรือหนังคุณภาพหลายเรื่องก็ได้รับการการันตีที่คะแนน 80% ขึ้นไป หรือบางเรื่องที่ได้คะแนนในช่วง 60% ขึ้นไป ก็จะได้รับการการันตีว่า ได้ “มะเขือเทศสด” แล้ว
การจะได้มาซึ่งคะแนน 100% ที่ว่ายากแล้ว แต่การจะคว้าชัยแห่งความยอดแย่จนได้คะแนน 0% นั้นกลับยากยิ่งกว่า เพราะหมายความว่าทุกคนที่เข้ามาให้คะแนนจะต้องให้ 0% ทั้งหมดทุกคน ซึ่งหนังที่ได้ 0% ก็มีออกมาให้ทีมผู้สร้างและนักแสดงต้องเจ็บช้ำระกำใจ รวมถึงคนดูเองก็ควรต้องหลีกเลี่ยง หรือถ้าหลงไปดูมาแล้วก็จะได้ยืนยันว่า ไม่ได้คิดไปเองคนเดียวว่าหนังแย่เหลือเกิน วันนี้ What the Fact ขอนำเสนอหนัง 10 เรื่องตลอด 20 ปีที่จัดมะเขือเน่าไปแบบ 0% ถ้วนจาก Rotten Tomatoes แบบขาดลอย
THE LAST DAYS OF AMERICAN CRIME (2020)
ดัดแปลงจากนิยายภาพเรื่อง Deadly Class ของ Rick Remender และ Greg Tocchini เรื่องราวเกี่ยวกับโลกอนาคตอันใกล้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมใช้เทคโนโลยีชนิดใหม่ที่จะปล่อยออกมาเป็นสัญญาณเสียง ส่งผลให้ผู้ที่จะก่อคดีอาชญากรรมร้ายแรงใด ๆ ก็ตามจะหยุดชะงักทันที ทำให้ต่อไปจะไม่มีใครก่ออาชญากรรมได้ พระเอกของเรื่องเป็นโจรมืออาชีพที่ถูกลูกชายของเจ้าพ่อมาเฟียชวนไปโจรกรรมเงินนับล้าน โดยหวังสร้างชื่อให้ตัวเองเป็นโจรคนสุดท้ายที่ทำงานได้สำเร็จก่อนยุคสิ้นสุดอาชญากรรม ทั้งคู่ได้รับความช่วยเหลือจากแฮกเกอร์สาวมือฉมัง
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับที่ผ่านงานหนังแอ็กชันฟอร์มกลาง ๆ มาแล้วหลายเรื่อง แต่มาถึงเรื่องนี้นักวิจารณ์ต่างลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้กำกับมือไม่ถึง แม้พล็อตจะดูดุดันแบบเหลืออีกแค่ไม่กี่วันก็จะเป็นเส้นตายของการเกิดเหตุอาชญากรรมทั่วอเมริกาแล้ว แต่เรื่องกลับโหมโรงแบบอ้อยอิ่ง ใช้เวลาแนะนำตัวละครหลักทั้ง 3 คน รวมถึงตัวละครสมทบอื่นอีกหลายตัวนานเกินไป และใช้เวลาวนไปมากับส่วนเกินจากพล็อตเรื่องหลักที่คนคาดหวังว่าตั้งแต่หน้าหนังว่าจะแอ็กชันดุเดือดแบบจัดเต็ม ไป ๆ มา ๆ 1 ชั่วโมงแรก (จากเวลารวม 2 ชั่วโมง 28 นาที) ของหนังแทบจะไม่จำเป็นต้องเล่า หนังมีฉากติดเรตค่อนข้างเยอะแต่นางเอกไร้เสน่ห์ ฉากแอ็กชันขาดความสมเหตุผล เมื่อเทียบกับเนื้อหาและไฮไลต์ที่คนต้องการดูฉากปล้นที่กว่าจะมาก็ท้ายเรื่อง จึงไม่น่าแปลกว่าทำไมถึงได้ 0% จะเว็บมะเขือเน่า
- นักแสดง: Edgar Ramírez, Anna Brewster, Sharlto Copley, Michael Pitt
- ผู้กำกับ: Olivier Megaton (Taken 2-3, Transporter 3)
GOTTI (2018)
John Travolta นั้นมีหนังในเครดิตมากมาย แต่ความแตกต่างระหว่างยุคสมัยคือ ในยุค 80s-90s นั้นเขามีหนังฮิต ๆ ระดับตำนานอยู่หลายเรื่องเช่น Grease (1978), Pulp Fiction (1994) และ Face/Off (1997) แต่ฝั่งหนังที่โดนก่นด่าเสียเละก็มีอย่าง Staying Alive (1983) (อีกเรื่องที่คว้า 0% ของเว็บมะเขือเน่าไปครอง) หรือ Battlefield Earth (2000) ที่แทบจะตอกฝาโลงอาชีพการแสดงของเขาไปพักใหญ่ (กวาดรางวัลราซเบอร์รีเน่ามากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด) มาจนถึงยุค 2010s เขาก็ยังมีภาพยนตร์ที่โดนนักวิจารณ์สับเละกลับเข้ามาในลิสต์อีกครั้งกับหนังที่สร้างจากเรื่องจริง Gotti ที่นักวิจารณ์ขอมอบรางวัลหนังปลุกระดมมวลชนที่แย่ที่สุดตลอดกาลให้ไปเลย
หนังเป็นเรื่องราวจริงของเจ้าพ่อที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น Godfather คนสุดท้ายของนิวยอร์ก John Gotti เขาเกิดและใช้ชีวิตมาเฟียอยู่ในย่านนิวยอร์ก เขาก่อคดีฆาตกรรมและคดีที่ใช้อิทธิพลมืดมากมายตั้งแต่ปี 1973 จนกระทั่ง ในปี 1985 FBI จึงได้เหตุรวบตัวเขาภายใต้ข้อหาฉ้อโกง ค้าเฮโรอีน ค้ามนุษย์ และเสพยาเสพติด แต่สุดท้ายในปี 1987 John Gotti ก็ถูก FBI เปลี่ยนภาพให้กลายเป็นวีรบุรุษกลับใจ ก่อนจะค่อย ๆ มีการวิ่งเต้นเพื่อให้เขาพ้นจากความผิด และเหตุการณ์นั้นก็กลายเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของวงการยุติธรรมสหรัฐฯ ก่อนที่ Gotti จะทำผิดเดิม ๆ ซ้ำจนถูกจับและตัดสินให้จำคุกอีกรอบและเสียชีวิตในคุกเมื่อปี 2019 ด้วยวัย 79 ปี
แม้อ่านเผิน ๆ จากประวัติของ Gotti ก็ยังรู้สึกว่า เรื่องราวของเขานั้นมีประเด็นน่าสนใจมากพอจะเอามาทำเป็นหนังได้ แต่ความผิดพลาดของทีมสร้างก็คือ การนำเสนอที่ถูกนักวิจารณ์สับเละว่าเหมือนเอาคนทำหนังไม่เป็นมาทำ เพราะหนังดันไปจับประเด็นที่ไม่น่าสนใจของ Gotti มาเล่าและพาลทำให้การแสดงของ Travolta ไม่สามารถช่วยกู้วิกฤตของหนังเอาไว้ได้ นอกจากนั้นหนังยังเต็มไปด้วยฉากเสียงบรรยายและการใช้ฟุตเตจข่าวจากเรื่องจริงมากเกินไป
- นักแสดง: John Travolta, Kelly Preston, Stacy Keach, Pruitt Taylor Vince, Chris Mulkey
- ผู้กำกับ: Kevin Connolly (Dear Eleanor, Gardener of Eden)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 10 / 6 ล้านเหรียญฯ
STRATTON (2017)
หนังบางเรื่องแม้จะได้คะแนนจากเว็บมะเขือเน่าแบบ 0% ถ้วน แต่บางทีมันก็ไม่ได้ความว่า หนังเรื่องนั้นจะเลวร้ายขนาดไปฆ่าใครตาย เพียงแต่ว่ามันอาจจะดูน่าเบื่อ ไม่แปลกใหม่ และดูเหมือนผู้สร้างขาดแรงบันดาลใจเท่านั้น อย่างเช่นหนังแอ็กชันเรื่องนี้ที่นำแสดงโดย Dominic Cooper ผู้รับบทเป็น Howard Stark พ่อของ Tony Stark ใน Captain America: The First Avengers (2011), Tom Felton ผู้รับบท Draco Malfoy จาก Harry Potter (2001-2011), Connie Nielsen จาก Gladiator (2000) และ Gemma Chan ที่กำลังจะมามีบทบาทสำคัญในหนังซูเปอร์ฮีโรมาร์เวล Eternals
หนังเป็นผลงานกำกับของ Simon West ผู้กำกับที่ทำหนังแอ็กชันระเบิดภูเขาของยุค 90s เคยมีผลงานอย่าง Con Air (1997) และ The Expendables 2 (2012) ซึ่งก็คงพอเห็นแนวอยู่ว่า เขาทำหนังแนวเดิม ๆ และเนื้อหาซ้ำ ๆ อยู่แค่นี้ หนังดัดแปลงจากหนังสือขายดีของ Duncan Falconer อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษของอังกฤษที่บอกเล่าเรื่องราวการนำทีมของ John Stratton กองทัพเรือกับภารกิจหยุดยั้งอาวุธชีวภาพของผู้ก่อการร้ายที่ตั้งใจจะก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ในอังกฤษ ดูจากพล็อตเรื่องแล้วเหมือนหลุดออกมาจากหนังยุค 90s และเมื่อฉากแอ็กชันก็ไม่ได้โดนขนาดนั้น หนังจึงน่าเบื่อเกินไปสำหรับผู้ชมในยุค 2010s
- นักแสดง: Dominic Cooper, Tom Felton, Connie Nielsen, Gemma Chan, Derek Jacobi
- ผู้กำกับ: Simon West (Con Air, Lara Croft: Tomb Raider, The General’s Daughter)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 257,212 เหรียญฯ
(อ่านต่อหน้าถัดไป)
DARK CRIMES (2016)
ความพยายามจะกลับมาในวงการอีกครั้งของอดีตนักแสดงตลกแห่งยุค 90s อย่าง Jim Carrey ที่มีหนังตลกฮิต ๆ มากมาย ทั้ง Dumb and Dumber (1994-2004), The Mask (1994), Ace Ventura (1994-1995), Liar Liar (1997) และ Bruce Almighty (2003) แต่พอเข้ายุค 2000s เป็นต้นมา เขาก็พยายามเปลี่ยนแนวไปอยู่ในหนังดราม่าที่น่าจดจำอยู่เรื่องเดียวคือ Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) ส่วนหนังที่นักวิจารณ์สับเละและคงถามว่าจะเปลี่ยนแนวหนังที่แสดงทำไมก็อย่างเช่น The Number 23 (2007) รวมถึงเรื่อง Dark Crimes นี้ด้วย
หนังเล่าเรื่องของ Tadek นักสืบที่รับหน้าที่สืบสวนคดีฆาตกรรมนักธุรกิจคนหนึ่ง แต่ที่เขาและคนอื่น ๆ ต้องประหลาดใจมากก็คือ เรื่องราวมันเหมือนกับเรื่องในนิยายฆาตกรรมของนักเขียนคนหนึ่งที่ชื่อ Kozlov ขณะที่คดีนี้น่าจะปิดลงได้ง่าย ๆ เหมือนคดีทั่วไป แต่เขาสืบพบเรื่องในมุมมืดของคดีนี้ขึ้นมา นั่นเป็นเหมือนชนวนที่ทำให้ Tadek ดำดิ่งสู่อีกโลกที่มืดบอดและทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล
หนังดัดแปลงจากบทความปี 2008 ใน The New Yorker ของ David Grann เรื่อง “True Crime: A Postmodern Murder Mystery” โดยนำมาจากคดีจริงที่ได้ขึ้นชื่อว่าแปลกประหลาดและมีชื่อเสียงอย่างมากของโปแลนด์ จนเกิดศัพท์ว่า Novel Killer ขึ้นมา น่าเสียดายที่ตัวเรื่องคิดมาน่าสนใจ แต่ไม่สามารถลงรายละเอียดระหว่างทางเพื่อให้คนติดตามล่อหลอกได้มากพอ แถมบทสรุปก็ไม่ได้หักมุมจนน่าตื่นตะลึง หนังที่ดำเนินเรื่องในสไตล์หนังยุโรปที่เชื่องช้าก็อาจกลายเป็นความน่าเบื่อสำหรับผู้ชมอเมริกันไป (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF)
- นักแสดง: Jim Carrey, Marton Csokas, Charlotte Gainsbourg, Agata Kulesza
- ผู้กำกับ: Alexandros Avranas (Love Me Not, Miss Violence, Without)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 4.5 ล้านเหรียญฯ / 21,216 เหรียญฯ
CABIN FEVER (2016)
หนังรีเมกจากภาคต้นฉบับเมื่อปี 2002 ของผู้กำกับหนังแนวสยองขวัญ Eli Roth จาก Hostel (2005) ที่ประสบความสำเร็จระดับทำรายได้ทั่วโลกไป 30 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างแค่ 1 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น และยังเป็นหนังใหญ่เรื่องแรกของ Roth ที่แจ้งเกิดการเป็นผู้กำกับหนังสยองแถวหน้าให้กับเขาได้เลยทันที หลังจากนั้นก็มีภาคต่อลงโฮมวิดีโอออกมาถึงภาค 3 แต่การกลับภาครีเมกครั้งใหม่ก็ได้กลายเป็นหายนะ และทำให้เห็นว่า การที่หนังมีวัตถุดิบคล้าย ๆ กันเช่น โพรดัคชันที่ไม่ได้ดีมาก หรือนักแสดงก็ล้วนแต่ไม่มีชื่อเสียงเหมือนกัน แต่ Roth กลับทำให้หนังดัง ต่างจากครั้งนี้ของผู้กำกับ Travis Zariwny ที่กำกับหนังเรื่องแรกเหมือนกันกลับให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ฉบับสร้างใหม่นี้เล่าเรื่องราวคล้ายเดิมเกี่ยวกับเชื้อไวรัสประหลาดที่กัดกินเนื้อคนจากภายใน ซึ่งนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่เดินทางเข้าไปพักร้อนในป่าจำนวน 5 คนเกิดเคราะห์ร้ายไปเจอ เมื่อพวกเขาถึงกระท่อมกลางป่า เพื่อนคนหนึ่งก็เดินไปพบกับนายพรานที่สภาพปางตายเพราะเลือดไหลออกมาจากร่างกายแทบทุกส่วน เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อร่างของนายพรานตกลงไปในอ่างเก็บน้ำ ทำให้เชื้อโรคจากตัวนายพรานแพร่กระจายออกไป ทั้ง 5 คนเริ่มติดเชื้อดัและเริ่มแสดงอาการที่น่ากลัว ก่อนที่พวกเขาจะตายไปทีละคน หนังฉบับนี้ได้เพิ่มดีกรีความแหวะ ความเลือดสาด แต่ถึงแม้จะโหดขึ้น สยองขึ้นด้านงานภาพ แต่เนื้อหาและการเดินเรื่องที่ไม่ได้ต่างจากเดิมก็ทำให้กลายเป็นหนังเกรดบีไปง่าย ๆ
- นักแสดง: Matthew Daddario, Gage Golightly, Nadine Crocker, Dustin Ingram
- ผู้กำกับ: Travis Zariwny
- รายรับรวมทั่วโลก: 114,835 เหรียญฯ
PRECIOUS CARGO (2016)
นักแสดงนักบู๊จากยุค 90s บางคนอาจเคยมีอดีตที่รุ่งโรจระดับมีหนังแฟรนไชส์ที่พร้อมจะมีภาคต่อมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็สำหรับบางคนก็อาจไม่มีทางเลือกมากนัก จึงเข้าอีหรอบไม่เลือกงานไม่ยากจน อันดับหนึ่งของดาราแนวนี้หนีไม่พ้น Nicolas Cage แต่ที่ตามมาติด ๆ ก็คือ Bruce Willis ที่แม้จะมีแฟรนไชส์ Die Hard (1988-2013) คนอึดตายยากที่ทำให้ตัวเขานั้นมีอนาคตโลดแล่นในวงการหนังแบบคนอึดมาด้วยเช่นกัน มีหนังฮิต ๆ ในยุค 90s อย่าง Armageddon (1998) และ The Sixth Sense (1999) แต่พอถึงยุคปัจจุบัน คอหนังก็จะได้เห็นเขาเป็นเล่นหนังอะไรก็ไม่รู้ที่แทบไม่ได้ทำรายได้เท่าค่าตัวของเขาเลยด้วยซ้ำ เช่น First Kill (2017), Reprisal (2018), 10 Minutes Gone (2019), Trauma Center (2019) และ Survive the Night (2020) ที่ทำรายได้ทั่วโลกไม่ถึงเรื่องละ 1 ล้านเหรียญฯ (2 เรื่องหลังนี้รายได้ไม่ถึง 100,000 เหรียญฯ)
แต่เรื่องที่ได้รับสดุดีความยอดแย่สูงสุดก็คือเรื่อง Precious Cargo นี่เอง หนังเป็นเรื่องราวของ Eddie ที่พยายามหลอกใช้ Karen ให้ดึงแฟนหนุ่มของเธออย่าง Jack มาช่วยทำภารกิจปล้นรถขนส่งเพชรเพื่อแลกกับการไถ่ตัว Karen ให้เป็นอิสระ แต่เขาหารู้ไม่ว่า Jack และ Karen นั้นไม่ใช่โจรกระจอกที่จะมาจำนนกับเงื่อนไขตื่น ๆ ของ Eddie การหักหลังครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น
บทหนังที่แสนจะเบาบางตามสภาพของหนังบู๊เกรดบีสไตล์ฮอลลีวูด แต่ถ้าดูแบบเพลิน ๆ ไม่คิดอะไร หนังก็มีการเดินเรื่องที่ไม่เนือยหรือเชื่องช้า ความสัมพันธ์ของตัวละครที่มีมิติไม่แบน เพียงแต่ว่าทั้งหมดนี้มันเป็น Action สไตล์ของหนังแอ็กชันยุค 90s ที่เชยไปเสียแล้วในยุคเกือบ 20 ปีให้หลัง เรียกว่าถ้ามองข้ามพล็อตเรื่องหรือรายละเอียดบางส่วนที่ไม่สมเหตุสมผลไปได้ หนังก็ยังพอดูสนุกได้อยู่ แต่ยังห่างไกลจากมาตรฐานตามปกติของหนัง Bruce Willis แน่ ๆ (อ่านรีวิวฉบับเต็มเรื่องนี้ของ WTF)
- นักแสดง: Bruce Willis, Claire Forlani, Mark-Paul Gosselaar, Daniel Bernhardt
- ผู้กำกับ: Max Adams (Writer-Heist, Extraction)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 10 ล้านเหรียญฯ / 567,064 เหรียญฯ
(อ่านต่อหน้าถัดไป)
THE RIDICULOUS 6 (2015)
ถ้าถามว่าจุดที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตการแสดงของนักแสดงตลกตัวท็อป Adam Sandler ที่มีหนังตลกฮิต ๆ ในเครดิตอย่าง Big Daddy (1999), Grown Ups (2010) และ The Waterboy (1998) นั้นอยู่ตรงไหน บางคนอาจจะบอกว่า เป็นตอนที่เขารับบทเป็นคู่ฝาแฝดหญิงชาย (เล่นเองโดย Sandler ทั้งคู่) ใน Jack and Jill (2011) ซึ่งก็เหมารางวัลราซเบอร์รี่ไปหลายตัว แต่บางคนก็อาจจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะ The Ridiculous 6 นั้นเลวร้ายกว่ากันเยอะ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้ 0% มะเขือเน่ามาแบบนี้ เมื่อหนังตลกแต่ไม่มีความตลก แฟน ๆ ย่อมต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า กำลังดูหนังอะไรอยู่และจะ (ทน) ดูไปทำไม ซึ่งหนังที่สตรีมเป็นเรื่องแรก ก็อาจจะเป็นข้อยกเว้นที่ต้องให้อภัยกับ Netflix ที่กำลังคลำทางอยู่
หนังที่มีชื่อไทยว่า “หกโคบาลบ้า ซ่าระห่ำเมือง” ซึ่งก็คือการล้อเลียนหนังอย่าง The Magnificent Seven (1960/2016) นั่นเอง เหล่าตัวเอกก็คือเหล่าคาวบอยนอกแถวที่มารวมตัวกัน นำโดย Tommy (Adam Sandler) ยอดฝีมือคนหนึ่งในยุทธจักรคาวบอย เขาต้องออกตามหาพ่อโดยมีลูกมืออีก 5 คนเป็นพี่น้องต่างแม่ของเขาที่ต้องออกไปตามหาพ่อด้วยกัน หนังยังมีกลิ่นอายความเป็นหนังคาวบอยตะวันตกอยู่บ้าง แต่มาตกม้าตายตรงที่เนื้อหาและการเดินเรื่องทำได้อย่างน่า พอจะไปขายขำก็ทำได้ไม่ดีพออีก สุดท้ายข้อดีข้อเดียวของหนังคือ การได้เห็นทีมนักแสดงตลกจากยุค 90s ที่ไม่ได้เห็นหน้านานแล้วอย่าง Steve Buscemi, Steve Zahn, และ Rob Schneider มาให้เห็นหน้าพอหายคิดถึง
- นักแสดง: Adam Sandler, Danny Trejo, Taylor Lautner, Nick Nolte, Steve Buscemi, Steve Zahn, Luke Wilson, Rob Schneider
- ผู้กำกับ: Frank Coraci (The Water Boy, Click, Zookeeper, The Wedding Singer)
- ทุนสร้าง: 60 ล้านเหรียญฯ
A THOUSAND WORDS (2012)
นักแสดงตลกที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการภาพยนตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุค 80s อย่าง Eddie Murphy (กำลังจะมี Coming 2 America ภาคต่อจากหนังปี 1988 เข้าฉายปีหน้าและมีแววว่าจะได้ลงสตรีมมิงเลยเพราะสถานการณ์โควิด) มีทั้งหนังดังเปรี้ยงและหนังร่วงดังแป้กแถมต้องร้องว่าอิหยังวะ? ในจำนวนพอ ๆ กัน ที่ดังเปรี้ยงก็อย่างเช่น Beverly Hills Cop (1984-1994), The Nutty Professor (1996-2000) และ Dr. Dolittle (1998-2000) รวมถึงการพากย์เสียงในหนังแอนิเมชันสุดฮิต Shrek (2001-2010) แต่ Murphy ก็มีหนังคว่ำมากมายเช่น The Adventures of Pluto Nash (2002), The Haunted Mansion (2003) รวมถึงเรื่องนี้ที่คว้าชัยในการเก็บ 0% ถ้วนจากเว็บมะเขือเน่าไปได้ หนังทำท่าไม่ดีตั้งแต่ถูกสตูดิโอดองหลังถ่ายทำไว้นาน 4 ปีก่อนจะปล่อยฉายแบบให้จบ ๆ ไป
หนังเป็นเรื่องราวของ Jack Mccall ชายหนุ่มตัวแทนนายหน้าของวงการวรรณกรรมที่ไม่เคยแยแสว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาจะทำให้ใครเดือดร้อนหรือสร้างความรำคาญใจให้คนรอบข้างมากแค่ไหน จนกระทั่งวันหนึ่งปากของเขาก็พาซวยจนได้ เมื่อพ่อหนุ่มต้องคำสาปของปรมาจารย์กูรูให้สามารถพูดได้อีกเพียงแค่ 1,000 คำเท่านั้นในชีวิตที่เหลืออยู่ เขาจึงได้เรียนรู้ในการคิดก่อนพูดมากกว่าเดิม แถมยังเรียนรู้ที่จะเลิกเป็นคนเห็นแก่ตัวและใส่ใจคนอื่นมากขึ้น แม้พล็อตจะฟังดูเข้าท่าแต่เพราะการกำกับและการแสดงของ Murphy ที่ดูล้นเวอร์ไปเสียหมดก็ทำให้หนังมีจุดจบอย่างที่เห็น
- นักแสดง: Eddie Murphy, Kerry Washington, Allison Janney, Cliff Curtis
- ผู้กำกับ: Brian Robbins (Norbit, The Shaggy Dog, Varsity Blues)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 40 / 22 ล้านเหรียญฯ
ONE MISSED CALL (2008)
หนังแนวสยองขวัญทุนต่ำส่วนมากนั้นมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นหนังห่วยหรือหนังเกรดบีอยู่แล้ว เช่น House of Wax (2005) ที่มี Paris Hilton นำแสดง (แต่บางเรื่องก็ทำสำเร็จในการเป็นหนังทุนต่ำกำไรงาม เพราะวิสัยทัศน์อันเยี่ยมยอดของผู้กำกับเช่น James Wan เป็นต้น) หายนะจากหนังสยองขวัญที่ส่งเข้าประกวด 0% ของ Rotten Tomatoes และชนะไปแบบขาดลอยก็คือหนังรีเมกจากฉบับญี่ปุ่นปี 2004 One Missed Call ซึ่งตอนเป็นเวอร์ชันญี่ปุ่นนั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก และก็เช่นเดียวกันกับหนังสยองขวัญรีเมกจากเอเชียเกือบทุกเรื่องเช่น The Ring , Ju-on (ชื่อตอนเป็นหนังฝรั่งว่า The Grudge) หรือกระทั่ง Shutter ที่ฮอลลีวูดมักจะเอามาทำเละ ๆ เสียชื่อทุกที
One Missed Call เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความตายสุดสยองจากโทรศัพท์มือถือ เมื่อเหล่าตัวละครได้รับกล่องข้อความเสียงจากตัวเองในอนาคต ซึ่งจะบอกวันที่ เวลา และรายละเอียดบางส่วนของการเสียชีวิตของพวกเขา นักวิจารณ์บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าหนังนั้นไร้เหตุผลและแค่ดูก็เสียเวลาแล้ว หนังเต็มไปด้วยความ CG ที่ไม่เนียน พ่วงไปด้วยการเล่าเรื่องที่แสนสับสน แต่เหตุผลหลักที่ทำให้หนังรีเมกเหล่านี้ไม่ประสบความสำเร็จก็คือ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมความเชื่อเรื่องของภูตผีวิญญาณที่ต่างกันไปคนละแบบ ทำให้คนดูฝรั่งไม่อินและไม่กลัวกับเรื่องราวผี ๆ แบบเอเชียนั่นเอง
- นักแสดง: Edward Burns, Meagan Good, Shannyn Sossamon, Johnny Lewis, Ana Claudia Talancón
- ผู้กำกับ: Eric Valette (The Prey, Super Hybrid)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 20 / 45 ล้านเหรียญฯ
BALLISTIC: ECKS VS. SEVER (2002)
ชื่อของวิชช์ เกาไศยนันท์นั้น เป็นชื่อที่วงการหนังไทยตื่นเต้นกันมาในปลายยุค 90s ต่อช่วงต้นยุค 2000s เพราเขาได้ชื่อว่าเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ไปกำกับหนังฮอลลีวูดอย่างเป็นทางการกับเรื่อง Ballistic: Ecks vs. Sever วิชช์กำกับภาพยนตร์เรื่อง ฟ้า เป็นเรื่องแรกเมื่อปี 1997 (พ.ศ. 2541) ขณะอายุเพียง 24 ปี นำแสดงโดยฉัตรชัย เปล่งพานิช และจอนนี่ แอนโฟเน่ ก่อนจะไปเข้าตา Chris Lee ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ดังอย่าง Philadelphia (1993) และ Jerry Maguire (1996) เขาประทับใจที่วิชช์กำกับเรื่องฟ้า โดยใช้งบประมาณการสร้างเพียง 550,000 เหรียญฯ (22 ล้านบาทในเวลานั้น) แต่สามารถสร้างหนังแอ็กชันเต็มรูปแบบได้
Lee จึงเลือกให้วิชช์ กำกับ Ballistic: Ecks vs. Sever (ในใช้ชื่อไทยว่า ฟ้ามหาประลัย ซึ่งยังมีคำว่าฟ้าเหมือนหนังไทยเรื่องแรกของเขา) เมื่อปี 2001 ถ่ายทำที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ด้วยงบประมาณสร้าง 70 ล้านเหรียญฯ ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับหนังที่สร้างโดยผู้กำกับโนเนมจากเอเชีย หนังเล่าเรื่องของ Sever (Lucy Liu) หญิงสาวลึกลับที่ลักพาตัวลูกของเจ้าหน้าที่ DIA ไป ขณะเดียวกัน Jeremiah Ecks (Antonio Banderas) เจ้าหน้าที่ FBI ก็ต้องตามล่าตัวของ Sever
ความพังพินาศจนต้องร้องอิหยังวะ ไล่ตั้งแต่การแสดงอันย่ำแย่, ตรรกะอันไม่สมเหตุสมผลของเนื้อเรื่อง, ฉากแอ็กชันและฉากต่อสู้ที่แสนเชยและซ้ำซาก (เชื่อไม่เชื่อ? ทั้งเรื่อง Ecks vs. Sever ปะทะกันแค่ฉากเดียว!) และเพลงประกอบอันโหยหวนน่ารำคาญ สุดท้ายแล้วหนังก็กลายเป็นหนังทุนสูงสุดที่คว้า 0% แถมยังปิดตายประตูงานในอนาคตของวิชช์ (และอาจหมายรวมถึงผู้กำกับไทยคนอื่น ๆ) ให้ไม่ได้แจ้งเกิดในฮอลลีวูดอีกเลย…
- นักแสดง: Antonio Banderas, Lucy Liu, Gregg Henry, Ray Park, Talisa Soto
- ผู้กำกับ: Wych Kaosayananda (One Night in Bangkok, Paradise Z, The Driver)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 70 / 20 ล้านเหรียญฯ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส