ตลอดทั้งปี 2020 นี้ What the Fact ได้ชวนย้อนความทรงจำไปกับหนังดังและหนังคุณภาพที่ครบรอบ 25 ปีไปพอสมควร ทั้ง Braveheart (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์ในปีนั้น), Waterworld หนังที่เจ๊งที่สุดในปีนั้นและครองตำแหน่งเจ๊งที่สุดตลอดกาลอีกหลายปีต่อมา, Outbreak หนังโรคระบาดที่เนื้อหาช่างพอเหมาะพอเจาะกับสถานการณ์ปีแห่งโควิด-19, Se7en, Heat, Dangerous Mind ซึ่งบทความนี้จะขอไม่ย้อนกลับไปเล่าถึงซ้ำ (แต่หวังว่าคุณผู้อ่านจะกลับไปอ่านบทความเหล่านั้น กดอ่านได้ที่ชื่อเรื่อง) นอกจากเรื่องที่ว่ามานี้ก็ยังมีหนังเรื่องเยี่ยมอีก 20 เรื่องที่หากใครไม่เคยดู ไม่ว่าจะเกิดไม่ทันหรือผ่านหูผ่านตาไป เหล่านี้คือหนังปี 1995 ที่เราไม่อยากให้พลาด
ชวนอ่าน รวมหนังฮิตที่รู้ตัวอีกที ดูมา 20 ปี แล้วหรือเนี่ย! (บทความปี 2019)
TOY STORY
ภาพยนตร์ที่เรียกได้เลยว่า เป็นจุดเริ่มต้นของหนัง Pixar ที่ครองใจผู้ชมทั่วโลกตลอดมาอีก 25 ปีกับแนวทางหนังเด็กที่ไม่ใช่สร้างมาเพื่อเด็กดูเท่านั้น (แต่แฝงประเด็นที่ผู้ใหญ่ดูแล้วต้องน้ำตารื้น เพราะได้นำหัวใจแห่งความเป็นเด็กกลับมาใช้ดูอีกครั้งร่วมกับลูก ๆ หลาน ๆ) กับตัวแฟรนไชส์ Toy Story เองก็มีออกถึงภาคที่ 4 และทุกภาคก็ประสบความสำเร็จทางรายได้อย่างมาก การ์ตูน Pixar อยู่ร่วมสมัยกับผู้คนที่อายุ 10-30 ปีในตอนนี้ อย่างชนิดที่หนังเรื่องใหม่เขาก็จะมีคอหนังทั่วโลกตามไปดูกับเรื่องนี้
แต่ความสำเร็จระดับนี้ไม่ได้มาโดยง่าย Pixar นั้นก่อร่างสร้างตัวมาจากการเป็นบริษัทลูกของ Apple (บริษัทผู้ผลิต iPhone ในทุกวันนี้) พวกเขาสร้างภาพยนตร์แอนิเมชัน 3 มิติออกมามากมายจนไปเตะตา Disney แต่ก็ใช้เวลาอีกระยะกว่าที่ทีมงานฝั่ง Disney จะให้การยอมรับ Pixar Studio ถึงอย่างนั้นเมื่อได้เริ่มพัฒนาบทและออกแบบตัวละคร Jeffrey Katzenberg หัวเรือใหญ่ของ Disney ตอนนั้นก็ไม่ยอมให้หนังสอบผ่าน John Lasseter ผู้กำกับของเรื่องทำหนังเรื่องนี้เรื่องเดียวและทิ้งงานอื่นทั้งหมดเพื่อทำหนังต่อไปอีก 2 ปี แต่หนังก็ยังไปไม่ถึงไหนจนถูกสั่งพักงานสร้าง ท้ายที่สุดทีมงานจึงเปลี่ยนบทครั้งสุดท้ายให้เป็นเรื่องของการถ่ายทอดความในใจของเหล่าของเล่นผู้รักเจ้าของ Disney จึงยอมให้สอบผ่านและทำหนังจนเสร็จในที่สุด
Pete Doctor ผู้กำกับเรื่อง Up (2009), Inside Out (2015) และ Soul หนึ่งในทีมเขียนบทและ สร้างสรรค์แอนิเมชันเรื่องนี้ได้เล่าให้ฟังว่า “ในตอนที่เริ่มสร้างนั้น พวกเราไม่รู้เลยว่าจะเริ่มทำอะไรกันยังไง ไม่รู้ว่าจะต้องจ้างใครมาทำงานอะไรในการสร้างหนังสักเรื่อง เรียกว่าเราเดินหน้ากันแบบ “ตอร์ปิโด” ที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง พอมองย้อนกลับไปมันก็เป็นอะไรที่บ้าบิ่นมากครับ ต้องยกเครดิตให้ John Lasseter ผู้กำกับและ Ralph Guggenheim ที่มอบวิสัยทัศน์หลายอย่างให้กับหนังเรื่องนี้ ผมเหมือนได้ไปโรงเรียนทุกวัน และเหมือนผมได้เข้าไปในโรงรถที่เต็มไปด้วยคนเจ๋ง ๆ กำลังรวมหัวกันทำเรื่องสนุก ๆ นั่น ประสบการณ์ครั้งนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าค่าจ้างที่ผมได้จากการทำหนังเรื่องนี้ครับ”
ชวนอ่าน ที่สุดของฉากหนังดัง” ตลอด 25 ปี ที่ขับเคลื่อนโลกและความทรงจำของผู้คน (ตอนที่ 1)
- ให้เสียงพากย์: Tom Hanks, Tim Allen, Don Rickles, Jim Varney, Wallace Shawn, Annie Potts
- ผู้กำกับ: John Lasseter (A Bug’s Life, Toy Story 2, Cars, Cars 2)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 30/404 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB rating: 100% / 8.3/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 1 สาขา (รางวัลพิเศษด้านการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชัน ในปีที่ยังไม่มีรางวัลภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม)
- เข้าชิง 3 สาขา (บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม)
CASPER
ผู้กำกับพ่อมดแห่งฮอลลีวูด Steven Spielberg มีแผนอยากจะนำ Casper the Friendly Ghost แอนิเมชันจากยุค 1940s ที่เล่าเรื่องราวของผีน้อยนิสัยดีมาดัดแปลงเป็นหนัง แต่แล้วหนังที่เขาจะอำนวยการสร้างก็ผ่านมือผู้กำกับอีกหลายคนที่ผ่านเข้ามาและผ่านไป จนกระทั่ง Spielberg ได้ชมซีรีส์ดราม่าครอบครัวเรื่อง Brooklyn Bridge ที่ออกอากาศต่อจากการรีรัน E.T. the Extra-Terrestrial (1982) หนังของเขาทางทีวี เขาจึงตัดสินใจโทรหาผู้กำกับของซีรีส์เรื่องนั้นอย่าง Brad Silberling เพื่อเชิญมากำกับ Casper แต่ฝ่ายหลังนั้นถึงกับไม่กล้ารับงานเพราะไม่เคยทำหนังที่เต็มไปด้วยเอฟเฟกต์มาก่อน สุดท้ายก็ด้วยทีมงานคู่บุญของ Spielberg ชนิดยกทีมมาช่วยกันสร้าง หนังก็ประสบความสำเร็จ
นี่คือภาพยนตร์เรื่องแรก ๆ ที่ตัวละครหลัก (ผีน้อย Casper) สร้างจาก CGI ในยุคที่เทคโนโลยีของการถ่ายยังไม่ทันสมัยเหมือนวันนี้ ทำให้นักแสดงร่วม ผู้กำกับ และทีมงานต้องถ่ายเจ้าผีน้อยในอากาศแบบกะ ๆ เอาว่าตัวละครนี้จะอยู่ตรงไหนในฉาก รวมถึงนักแสดงที่ให้เสียงพากย์เป็นผีตัวอื่น ๆ ก็ต้องมาให้เสียงพากย์อยู่หลังกล้องจริง ๆ ตอนถ่ายด้วย หนังเป็นเรื่องราวของคู่พ่อลูก Dr. Harvey นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องผู้ยังยึดติดกับภรรยาที่จากไปและพยายามจะชุบชีวิตเธอกลับคืนมา เขาอยู่กับลูกสาวอย่าง Kat ที่ต้องย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์หลังโตโดยที่ไม่รู้มาก่อนว่ามีผีเจ้าถิ่นอาศัยอยู่
- นักแสดง: Bill Pullman, Christina Ricci, Devon Sawa, Cathy Moriarty, Amy Brenneman
- ผู้กำกับ: Brad Silberling (A Series of Unfortunate Events, City of Angels, Land of the Lost)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 50/287 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Scores/iMDB Rating: 51% / 6.1/10
BABE
ในยุคที่ภาพยนตร์แนวครอบครัวดำเนินเรื่องด้วย “สัตว์” ยังไม่ค่อยมีมากนัก เพราะต้องใช้การถ่ายทำและ CGI ระดับเทพเข้าช่วย การมาถึงของ Babe เรื่องราวของเจ้าหมูน้อยในฟาร์มใหญ่จึงเป็นความแปลกใหม่ของวงการ ชนิดที่ทำให้หนังสัตว์เรื่องหนึ่งที่ไม่มีดาราใหญ่นำแสดงเลยได้เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ ผู้สร้างและผู้เขียนบท (ที่ทำหน้าที่ยิ่งกว่าการเป็นผู้กำกับ) คือ George Miller คนเดียวกับที่ทำหนังโหด-ดิบ-เถื่อนอย่าง Mad Max ทุกภาค (1979-2015) (แต่เขาก็ทำหนังแอนิเมชันสำหรับเด็กเรื่องฮิต เรื่องราวของเหล่าเพนกวินจักรพรรดิอย่าง Happy Feet ด้วย (2006-2011))
Babe สร้างจากวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง “Babe the Gallant Pig ” ของนักประพันธ์ชาวอังกฤษ Dick King Smith เรื่องราวเกี่ยวกับหมูน้อยตัวหนึ่งที่เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในฟาร์มของนาย Hoggett หมู Babe สนิทกับแม่สุนัขต้อนแกะของฟาร์ม จนทำให้ Hoggett อยากจะฝึกฝนให้หมูต้อนแกะได้เหมือนกัน แต่ไม่มีสัตว์ตัวไหนในฟาร์มเชื่อว่า Babe จะทำได้ แต่เจ้าของฟาร์มเห็นว่าเขานั้นมีความสามารถ จึงตัดสินใจส่งเจ้าหมูน้อยเข้าการแข่งขันสุนัขต้อนแกะ ซึ่ง Babe เป็นหมูเพียงตัวเดียวที่เข้าแข่งขัน
George Miller บินลัดฟ้าจากบ้านเกิดออสเตรเลียเพื่อมาขอคำปรึกษาจากผู้กำกับชั้นครูอย่าง Stanley Kubrick ที่อังกฤษว่าจะทำยังไงให้เจ้าหมูในหนังพูดได้ สุดท้ายแม้ว่า Miller จะหาวิธีทำให้ปากของเหล่าสัตว์ขยับได้เองตามที่ต้องการโดยไม่ได้พึ่ง Kubrick มากนัก แต่ Miller ก็บอกว่า เขาได้มุมมองและแนวคิดที่ดีจาก Kubrick เพื่อไปใช้สร้างหนังเรื่องนี้มากโข
เมื่องานสร้างเริ่มต้น หนังเรื่องนี้ต้องใช้หมูมาแสดงเป็น Babe มากถึง 48 ตัว (เพราะหมูโตเร็ว) รวมถึงมีผู้ดูแลสัตว์ประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสดงมากถึง 56 คนเลยทีเดียว James Cromwell นักแสดงวัย 55 ปี เจ้าของบทนาย Hoggett เกือบจะปฏิเสธบทนี้ไปหลังจากอ่านบทแล้วพบว่า เขามีบทพูดอยู่แค่ 16 ครั้งเท่านั้นตลอดเรื่อง แต่ก็เปลี่ยนใจในที่สุด สุดท้ายบทนี้ส่งให้เขาได้เข้าชิงออสการ์และมีหนังเล่นต่อมาอีกหลายเรื่องตลอด 25 ปี (เขาเลิกกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิตหลังแสดงหนังเรื่องนี้)
- นักแสดงและให้เสียงพากย์: James Cromwell, Hugo Weaving, Magda Szubanski, Christine Cavanaugh, Danny Mann, Miriam Flynn
- ผู้กำกับ: Chris Noonan (Miss Potter)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 30/254 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Scores/iMDB Rating: 97% / 6.8/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 1 สาขา (วิชวลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม)
- เข้าชิง 6 สาขา (ภาพยนต์ยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (James Cromwell), ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม)
POCAHONTAS
หนึ่งในหนังการ์ตูน 2 มิติของ Disney ที่ตราตรึงอยู่ในใจของใครหลายคน เรื่องราวความรักระหว่างรบของลูกสาวชนเผ่าพื้นเมืองอินเดียนแดงและทหารอังกฤษซึ่งเกิดขึ้นขณะที่กองทัพเรืออังกฤษเข้ารุกรานรัฐเวอร์จิเนียของสหรัฐฯ ช่วงศตวรรษที่ 17 John Smith ทหารเรืออังกฤษได้พบรักกับ Pocahontas และหลังจากนั้นก็ต้องมาลุ้นว่าความรักของทั้ง 2 จะลงเอยได้หรือไม่ ขณะที่พ่อของนางเอกและทหารฝั่งพระเอกกำลังจะลงมือฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เพื่อแย่งชิงดินแดน
เรื่องจริงทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากหนังไปเยอะก็คือ แม้ว่า John Smith และ Pocahontas จะมีตัวตนจริง แต่ก็ไม่น่าจะมารักกันได้ เพราะตอนที่ Smith ได้พบกับเธอนั้น เธอเพิ่งจะมีอายุแค่ 10 ขวบ นอกจากนี้สิ่งที่หนังเล่าว่า เธอได้ทำการช่วยเหลือ Smith จากการถูกชนเผ่าของเธอสังหารก็ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริง ๆ รวมถึงจุดจบของ Pocahontas ก็ไม่ได้สวยหรูอย่างในละคร เธอถูกบังคับให้เปลี่ยนชื่อเป็น Rebecca เพื่อแต่งงาน (กับคนอื่น แน่นอนว่าไม่ใช่ Smith) และถูกบังคับให้เข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ ก่อนจบชีวิตตัวเองลงในวัยเพียงแค่ 22 ปี
ชวนอ่าน อ้าวเห้ย…ไม่เหมือนที่ดูกันไปนี่หว่า? เมื่อหนังประวัติศาสตร์เหล่านี้ ไม่ได้สร้างจากเรื่องจริง!
- ให้เสียงพากย์: Mel Gibson, Christian Bale, Irene Bedard, Billy Connolly, Linda Hunt
- ผู้กำกับ: Mike Gabriel (Production Designer-Wreck-It Ralph) & Eric Goldberg (Animation Supervisor-Moana)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 55 / 346 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 55% / 6.7/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: ชนะ 2 สาขา (เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Colors of the Wind) และเพลงประกอบยอดเยี่ยม)
JUMANJI
Joe Johnston ผู้กำกับของเรื่องเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า สตูดิโอจะอนุมัติให้สร้างก็ต่อเมื่อหนังได้ Robin Williams ผู้ล่วงลับมารับบทนำเท่านั้นซึ่งโชคร้ายว่า เขาเคยปฏิเสธบทร่างแรกไปแล้ว Johnston จึงต้องช่วยกันกับมือเขียนบทแก้บทใหม่จน Williams พอใจ หนังเล่าเกี่ยวกับพี่น้องคู่หนึ่งที่ไปค้นพบเกมกระดานประหลาด เมื่อพวกเขาเริ่มทอยลูกเต๋า สิงสาราสัตว์ก็ยกโขยงออกจากในเกมมาสู่โลกความเป็นจริง รวมถึง Alan Parrish เด็กหนุ่มที่หายตัวไปอย่างลึกลับนานถึง 16 ปีก็ได้กลับออกมาจากในเกมด้วย พวกเขาต้องร่วมมือกันยุติความโกลาหลจากสัตว์ทั้งหลายและเอาตัวรอดจากนายพรานที่ตามล่า Parrish มาจากในเกมด้วยการเล่นเกมให้ชนะ
หนังไปถ่ายทำกันที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดาเป็นเวลา 5 เดือนซึ่งกำลังเต็มไปด้วยหิมะ ทำให้ทั้งหนาวและพื้นเฉอะแฉะ แต่ก็เป็นเวลาที่หนังต้องเริ่มถ่ายทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทีมงานจึงต้องขอบคุณ Robin Williams ที่ชอบเดี่ยวไมโครโฟน สร้างบรรยากาศให้ทีมงาน นักแสดง และชาวเมืองแห่งนั้นมีความสุขร่วมกันจนถ่ายหนังไปได้ตลอดทั้งเรื่อง Williams นั้นยังขึ้นชื่อเรื่องการเป็นนักแสดงที่ชอบด้นสดในเทคหลังจากที่เล่นตามสคริปต์กับผู้กำกับบอกไปแล้ว และหลายฉากที่ดีของเรื่องก็มาจากการด้นสดนั่นเอง สุดท้ายหนังประสบความสำเร็จระดับปานกลางแต่ก็มีนักวิจารณ์ในยุคนั้นมองว่า หนังยังน่ากลัวเกินไปสำหรับเด็ก
สตูดิโอ Sony Pictures กลับมารีเมกสานต่อเรื่องราวในภาค 2 Welcome to the Jungle (2017) และภาค 3 ที่ยิ่งฮิตไปกันใหญ่อย่าง Jumanji หนังกลายเป็นภาคต่อที่ประสบความสำเร็จสูงมากของค่าย Sony และเกิดภาคต่อมาอีกคือ Jumanji: The Next Level (2019) ภาค 3 ที่เป็นภาคล่าสุด ทำรายรับรวมทั่วโลกไปถึง 796 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 125 ล้านเหรียญฯ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างกำลังเตรียมสร้างภาค 4 แล้วที่เหตุการณ์จะออกมาสู่โลกความเป็นจริงไม่ใช่ในเกม (กลับไปเหมือนเรื่องราวในภาคแรกสุดนั่นเอง)
ชวนอ่าน 10 หนังของ “เกมเมอร์ตัวพ่อ-ตัวแม่”
- นักแสดง: Robin Williams, Bonnie Hunt, Kirsten Dunst, Jonathan Hyde, Patricia Clarkson
- ผู้กำกับ: Joe Johnston (Captain America: The First Avenger, Jurassic Part III)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 65 / 262 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Scores/iMDB Rating: 55% / 7/10
007 GOLDENEYE
“พยัคฆ์ร้าย 007 รหัสลับทลายโลก” หนัง 007 ตอนแรกของ James Bond Pierce Brosnan ที่กลับไปสู่ภาพลักษณ์ที่คล้ายกับ Sean Connery มากที่สุดและคงจะพูดไม่ผิดว่า คอหนังที่โตมาในยุค 90s ต่างก็มีภาพจำว่า James Bond ก็คือ Brosnan คนนี้ หลังจากติดคิวซีรีส์ทางโทรทัศน์มา 2 ตอน ประจวบกับ Timothy Dalton ที่เล่นเป็น 007 คนที่ 4 ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟน ๆ Bond จึงเปลี่ยนมาเป็นเขา
ก่อนหน้านี้ Brosnan เคยรับบทสายลับ KGB ถล่มอังกฤษในหนังสายลับ The Fouth Protocol (1987) พอมาถึงเรื่องนี้ก็สลับข้างจากตัวร้ายมาเป็นพระเอก หนังยังสมทบด้วย Sean Bean ที่เล่นเรื่องไหนต้องตายเรื่องนั้น (เรื่องนี้ไม่แปลกเพราะเป็นผู้ร้าย) กับบทเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกับ 007 และ Famke Janssen มารับบทสายลับรัสเซียดุ-สวย-โหด
Goldeneye เล่าเรื่องราวของ Alec Trevelyan สายลับ 006 ที่ออกปฏิบัติการร่วมกับ 007 บุกไปโรงงานผลิตอาวุธเคมี แต่พลาดท่าถูกนายพล Ourumov ยิงจนเสียชีวิต ส่วน Bond ก็ถล่มทหารรัสเซียจนราบคาบและรอดมาได้ ต่อมาอีก 9 ปี James Bond ต้องพบกับองค์กรร้าย Janus เขาต้องต่อสู้กับสายลับรัสเซียสุดแกร่งชื่อว่า Xenia เธอเป็นลูกน้องของนายพล Ourumov ที่กำลังวางแผนขโมยรหัสลับควบคุมดาวเทียม Goldeneye ที่ใช้พลังงานคลื่นแเม่เหล็กไฟฟ้าถล่มที่ไหนของโลกก็ได้ Xenia ถล่มศูนย์ควบคุมอวกาศจนเจ้าหน้าที่รอดอยู่แค่คนเดียวคือ Natalya Simonova นอกจากนั้นเครื่องบินของรัสเซียและดาวเทียมของสหรัฐฯ ก็โดนถล่มไปด้วย Bond สืบจนเจอว่า 006 ยังไม่ตายและอยู่เบื้องหลังแผนการก่อการร้ายนี้ร่วมกับนายพล Ourumov
ชวนอ่าน 10 หนังสายลับพยัคฆ์ร้าย James Bond 007 ที่ดีที่สุดตลอดกาล
- นักแสดง: Pierce Brosnan, Sean Bean, Famke Janssen, Joe Don Baker, Judi Dench, Robbie Coltrane
- ผู้กำกับ: Martin Campbell (007- Casino Royale, Green Lantern, The Mask of Zorro, Vertical Limit)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 60/352 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Scores/iMDB Rating: 79% / 7.2/10
DIE HARD 3: DIE HARD WITH A VENGEANCE
หลังจากอึดตายยากมา 2 ภาคตั้งแต่ยุค 80s Bruce Willis กับแฟรนไชส์ที่ฮิตที่สุดของเขาก็กลับมาเป็นหนที่ 3 โดยครั้งนี้ไม่ได้ถูกจำกัดให้เอาชนะคนร้ายขณะอยู่ในสถานที่ปิดตายเหมือน 2 ภาคแรก แต่ต้องวิ่งไปทั่วเมืองนิวยอร์ก เมื่อเกิดเหตุระเบิดที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งสำนักงานตำรวจนิวยอร์กได้รับโทรศัพท์จากชายที่ชื่อ Simon สั่งให้ John McClane ทำตามคำสั่งต่าง ๆ ที่เสี่ยงต่อชีวิตไม่อย่างนั้นจะวางระเบิดสถานที่สำคัญทั่วนิวยอร์ก McClane ได้รับความช่วยเหลือจาก Zeus (Samuel L. Jackson) ชายผิวดำที่ตอนแรกไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไร
FBI สืบรู้ในที่สุดว่า Simon คือน้องชายของ Hans Gruber ที่ถูก McClane ฆ่าเมื่อ 7 ปีก่อน (เหตุการณ์ในภาคแรก) ขณะที่ McClane แก้ปริศนาต่าง ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่า Simon ใช้ระเบิดเพื่อกันตำรวจออกจากถนนวอลสตรีทซึ่งมีธนาคารกลางนิวยอร์กตั้งอยู่ Simon และลูกน้องได้บุกเข้ามาขโมยทองคำแท่งมูลค่า 140 ล้านเหรียญฯ ขึ้นรถบรรทุกและขับออกไปทางท่อส่งน้ำ McClane จึงต้องออกโรงขัดขวางตามแบบฉบับคนอึดตายยากที่ตำรวจยังตามไม่ทัน โดยมี Zeus ตกกระไดพลอยโจนต้องช่วยเหลือ McClane ไปจนตลอดรอดฝั่ง
ภาพยนตร์เรื่อง Die Hard ตั้งแต่ภาคแรกดัดแปลงมาจากนิยายอาชญากรรมของ Roderick Thorp เรื่อง “Nothing Lasts Forever” โดยเนื้อเรื่องในนิยายนั้นเป็นบริษัทน้ำมัน แต่ถูกดัดแปลงใหม่ในหนังให้เป็นบริษัทนากาโตมิของญี่ปุ่น ซึ่งตึกออฟฟิศของนากาโตมิ สูง 34 ชั้น จริง ๆ แล้วคือ ตึกฟ็อกซ์พลาซ่าของสตูดิโอผู้สร้างหนังและต่อมาได้กลายเป็นตึกสำนักงานใหญ่ของฟ็อกซ์ ส่วนในภาค 2 ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง “58 Minutes” ของ Walter Wager ว่าด้วยเรื่องของนายตำรวจที่พยายามยับยั้งการยึดสนามบินของผู้ก่อการร้าย โดยมีเวลา 58 นาทีก่อนเครื่องบินที่ภรรยาของเขาโดยสารมาจะตกเพราะน้ำมันหมด โดยเงื่อนไขเวลาในหนังถูกยืดเป็น 90 นาที
ส่วนภาค 3 Die Hard with a Vengeance ฉบับที่ได้ชมในโรงภาพยนตร์ที่ตอนท้ายเรื่อง McClane จัดการสอยเฮลิคอปเตอร์ของ Simon ได้นั้น จริง ๆ แล้วยังมีตอนจบอีกแบบถูกถ่ายไว้ ก่อนจะโดนสั่งเปลี่ยนเพราะสตูดิโอมองว่าโหดเดินไป ในเวอร์ชันดังกล่าว แผนการของ Simon ที่นิวยอร์กสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และเขาก็หนีไปเสวยสุขอยู่ในประเทศอื่น จนอีกหลายเดือนต่อมา McClane ก็ตามไปเจอตัวแล้วบังคับให้เล่น”McClane Says” (ล้อกับ Simon Says ที่ McClane โดนปั่นหัวมาตลอดเรื่อง) แบบรัสเซียนลูเล็ต
ชวนอ่าน ลูกสาวเผยคลิป หรือ Bruce Willis จะกลับมารับบทใน Die Hard ภาค 6?
- นักแสดง: Bruce Willis, Samuel L. Jackson, Jeremy Irons, Graham Greene, Colleen Camp
- ผู้กำกับ: John McTiernan (Die Hard, The Hunt for Red October, Predator, The Thomas Crown Affair)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 90 / 366 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 59% / 7.6/10
12 MONKEYS
หนึ่งในหนังไวรัสโรคระบาดในตำนานที่ผูกเรื่องเข้ากับการย้อนเวลาไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีต (มีทำเป็นซีรีส์ออกมาด้วยในชื่อเดียวกัน) 12 Monkeys เป็นการโคจรมาเจอกันของ 2 ดาวดังแห่งยุค 90s อย่าง Bruce Willis และ Brad Pitt เล่าเรื่องของ ปี 2035 เชื้อโรคร้ายได้แพร่ระบาดไปทั่วโลกและคร่าชีวิตมนุษย์เกือบหมด เหลือมนุษย์ที่รอดแค่ 1% ผู้ที่ยังรอดก็ต้องอาศัยอยู่ใต้ดิน เป็นเหตุให้ James Cole อาสาเดินทางย้อนเวลาร่วมทำภารกิจไขปริศนาแห่ง “กองทัพลิง 12 ตัว” กลุ่มต่อต้านการทดลองในสัตว์ที่น่าจะเป็นต้นเหตุของหายนะ นำเชื้อโรคออกมาปล่อยยังโลกภายนอก แน่นอนว่า การย้อนเวลากลับไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตที่เป็นโลกคู่ขนานก็จะบิดเส้นเวลาให้อนาคตเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน (มีให้ดูแล้วบน Netflix)
หนังเป็นผลงานของผู้กำกับจอมขายหนังสไตล์แหวกแนวเปี่ยมจินตนาการอย่าง Terry Gilliam จาก Brazil (1985) และ The Brothers Grimm (2005) หนังได้รับแรงบันดาลใจจากหนังฝรั่งเศสของผู้กำกับ Chris Marker เรื่อง La Jetée (1962) ที่ก็ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก Vertigo (1958) ของผู้กำกับระดับตำนานอีกทีหนึ่ง แต่ตัว Gilliam นั้นไม่เคยชมหนัง La Jetée มาก่อนเลย (เหมือนตอนทำหนัง Brazil เขาก็ไม่เคยอ่านนิยายต้นฉบับของ George Orwell) นัยว่าเขาต้องการใส่จิตนาการในหนังของตัวเองอย่างเต็มที่
ส่วนพระเอกของเรื่องอย่าง Willis นั้นอยากจะร่วมงานกับ Gilliam เพราะอยากจะสลัดภาพความเป็นพระเอกในหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์มาอยู่ในหนังประหลาด ๆ บ้าง เขารับค่าตัวน้อยกว่าปกติและยอมปรับลุคให้ดูเป็นนักโทษหน้าตาผ่ายผอมจนแทบดูไม่ได้ ส่วน Pitt ที่ได้เข้าชิงทั้งรางวัลออสการ์และได้รางวัลลูกโลกทองคำจากบท Jeffrey Goines เขาต้องไปศึกษาพฤติกรรมของผู้ป่วยจิตเภทและมีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มาประจำที่กองถ่ายเพื่อให้เขาแสดงออกมาได้อย่างสมจริงที่สุด
หนังมีประเด็นฟ้องร้องกันในเรื่องงานออกแบบเซ็ตหรือฉากของหนังด้วย โดยในหลายฉากโดยเฉพาะฉากเก้าอี้ของตัวละคร James Cole กำลังถูกสอบสวนนั้น เป็นงานที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังอย่าง Lebbeus Woods และทีมสร้างของหนังนำโดย Jeffrey Beecroft นั้นนำมาใช้ในหนัง แต่ไป ๆ มา ๆ Woods ก็ออกมาโวยหลังหนังออกฉายว่า Gilliam และ Beecroft นำงานออกแบบไปใช้โดยเขาไม่ได้ให้อนุญาต ท้ายที่สุดเขาชนะคดีและได้รับเงินชดเชยไปในหลักแสนเหรียญฯ
ชวนอ่าน
- 10 เรื่องที่ต้องหามาดู ถ้าคุณชอบหนังไซไฟ Tenet
- 24 สถานที่สุดล้ำที่ใช้ถ่ายทำ “หนังไซไฟ” ในตำนาน
- “หนังโลกคู่ขนาน” ที่คอหนังตัวจริง ต้องดูสักครั้งในชีวิต!
- 10 หนังไวรัสหายนะ “โรคระบาดล้างโลก” ที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยมีมา
- นักแสดง: Brad Pitt, Bruce Willis, Christopher Plummer, David Morse
- ผู้กำกับ: Terry Gilliam (The Brothers Grimm, The Imaginarium of Doctor Parnassus)
- ทุนสร้าง/รายได้ทั่วโลก: 29 / 168 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 89% / 8/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 2 สาขา (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Brad Pitt) และออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม)
BAD BOYS
หนังเรื่องแรกแจ้งเกิดผู้กำกับที่ได้ชื่อว่าระเบิดภูเขาเผากระท่อมจากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็ยังฟอร์มดีไม่มีตกอย่าง Michael Bay ที่นับตั้งแต่เรื่องนี้ 25 ปีผ่านมาน คอหนังก็ได้ชมหนังสุดอลังการจากเขามากมาย ทั้ง The Rock (1996), Armageddon (1999), Pearl Harbor (2001) และแฟรนไชส์ Transformers (2007-2017) ในตอนนั้นเขายังเป็นผู้กำกับจากแวดวงโฆษณาและมิวสิกวิดีโอที่ได้รับคำชวนจากผู้อำนวยการสร้างที่ดังที่สุดแห่งยุค 90s Jerry Bruckheimer และ Don Simpson ให้มาทำหนัง 2 คู่หูตำรวจสุดกวน
เดิมทีหนังเคยจะถูกสร้างภายใต้ Disney แต่เนื่องจากการนำเสนอชื่อหนังแต่เดิมว่า Bulletproof Hearts และขายคู่หูนักแสดงเวอร์ชันแรกเป็น Dana Carvey และ Jon Lovitz เกิดขายไม่ผ่าน Bruckheimer และ Simpson จึงต้องหอบโพรเจกต์มาขายที่ Sony แทน และเปลี่ยนนักแสดงนำมาเป็น Will Smith และ Martin Lawrence อย่างที่เห็น เดิมที่ Sony ไม่อยากได้ Smith ที่ไม่เคยเล่นหนังใหญ่ แต่ผู้กำกับ Bay ยืนกรานว่าจะต้องเป็นเขา ส่วนบทของ Lawrence เคยถูกเสนอให้นักแสดงอย่าง Lawrence Fishburne มาก่อน
Bad Boys เล่าเรื่องราวของ ตำรวจคู่หู Marcus Burnett (Martin Lawrence) นายตำรวจผู้กลัวเมียและคู่หูของเขา Mike Lowrey (Will Smith) ที่ต้องร่วมมือกันคลี่คลายคดีฆาตกรรมและคดียาเสพติดมูลค่ามหาศาล โดยมีพยานรู้เห็นเพียงหนึ่งเดียวคือสาวสวย Julie Mott (Téa Leoni) ผู้สามารถระบุตัวฆาตกรผู้ต้องสงสัยได้ พวกเขาจึงต้องออกโรงปกป้องเธอและไขคดีจากอิทธิพลมืดให้ได้ กับความสำเร็จของหนังที่เห็นกันนั้น ต้องบอกว่าเบื้องหลังเต็มไปด้วยปัญหา เพราะ Bay ต้องเริ่มกำกับหนังทั้งที่บทยังเขียนไม่เสร็จ และส่วนใหญ่ที่เสร็จก็ใช้ไม่ได้ Bay จึงต้องเปลี่ยนวิธีมาระดมสมองกับ 2 นักแสดงนำเพื่อใช้มุกด้นสดนอกจากบท
พอเขาถ่ายทำเสร็จ Bay ก็ได้แอบเอาฉบับตัดต่อร่างแรกไปเปิดให้แม่ของเขาดูก่อนจะโดนแม่สวดยับว่าหนังเต็มไปด้วยคำหยาบ ดังนั้นเวอร์ชันที่คอหนังได้เห็นกันตลอดมาก็คือเวอร์ชันที่ตัดคำหยาบออกไปเยอะแล้ว นอกจากนี้ แม้ว่าหนังจะถูกบันทึกว่าใช้ทุนสร้างราว 19 ล้านเหรียญฯ แต่ Bay ก็พูดเสมอว่าเหลือมาถึงงบจริงที่เขาทำหนังน้อยกว่านั้นมาก เขายังต้องควักเงิน 25,000 เหรียญฯ ในการถ่ายฉากสุดท้ายของตัวละคร Marcus และ Bay ก็เลยถือโอกาสกวนประสาทค่ายหนังด้วยการเขียนไว้บนเสลตก่อนเริ่มถ่ายฉากนี้ว่า “จ่ายให้ Columbia Pictures 25,000 เหรียญฯ จาก Michael Bay” เหมือนเช็คเรียกเก็บเงิน สุดท้ายหนังทำรายรับรวมทั่วโลกไป 141 ล้านเหรียญฯ (มีให้ดูแล้วบน Netflix)
ชวนอ่าน 10 อันดับหนังทำเงินสูงสุดของป๋า Will Smith
- นักแสดง: Will Smith,Martin Lawrence, Téa Leoni, Joe Pantoliano, Michael Imperioli, Kevin Corrigan
- ผู้กำกับ: Michael Bay (The Rock, Armageddon, Pearl Harbor, Transformers
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 19 / 141 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 42% / 6.9/10
CRIMSON TIDE
ในยุค 90s ถือว่าเป็นยุคที่มีหนังการต่อสู้ด้วยเรือดำน้ำออกมาหลายเรื่องมากที่สุด เพราะยังเป็นช่วงที่ห่างจากยุคสงครามเย็นของสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตมาไม่นาน คอหนังจึงได้เห็นหนังสงครามเรือดำน้ำสนุก ๆ อย่าง The Hunt for Red October (1990) หรือ U-571 (2000) รวมถึงเรื่องนี้ หนังเป็นผลงานสร้างของ 2 ผู้อำนวยการสร้างแห่งยุค Jerry Bruckheimer และ Don Simpson (ที่มี Bad Boys ประสบความสำเร็จในปีเดียวกันนี้) ส่วนผู้กำกับนั้นก็ไว้วางใจได้ในการทำหนังมัน ๆ มาตลอดยุค 80s อย่าง Tony Scott (น้องชายแท้ ๆ ของ Ridley Scott) เจ้าของผลงานอย่าง Top Gun (1986) และ Days of Thunder (1990)
ชวนอ่าน เรื่องของ The Hunt for Red October ใน Sean Connery กับ 10 บทบาทที่น่าจดจำที่สุดของ James Bond ผู้จากไป และเรื่องของ U-571 ใน อ้าวเห้ย…ไม่เหมือนที่ดูกันไปนี่หว่า? เมื่อหนังประวัติศาสตร์เหล่านี้ ไม่ได้สร้างจากเรื่องจริง!
2 โปรดิวเซอร์ได้รับแรงบันดาลใจของหนังมาจากการชมสารคดีของช่อง Discovery เรื่อง Sharks of Street ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของเรือดำน้ำ แล้วทั้งคู่ก็เกิดสงสัยว่า จะเป็นอย่างไรถ้าต้นเรือหนุ่มที่มียศทางทหารน้อยกว่าเกิดอยากขัดขวางการยิงขีปนาวุธของผู้การจอมกระเหี้ยนกระหือรือจะก่อสงคราม หลังจากพวกเขาก็ได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง Denzel Washington มารับบท Hunter (บทนี้เคยเกือบเป็นของ Brad Pitt) ต้นเรือหนุ่ม และ Gene Hackman มารับบทผู้การ Ramsey (บทที่เคยถูกเสนอให้กับ Warren Beatty และ Al Pacino แต่พวกเขาตัดสินใจนานเกินไปจนทีมสร้างไม่รอแล้ว)
Michael Schiffer ได้รับเครดิตในการเขียนบทคนเดียว แต่เบื้องหลังนั้นมีมือเขียนบทอีก 2 คนที่เข้ามาช่วยเกลาบทแต่ไม่ได้เครดิต คนแรกคือ Robert Towne จาก Chinatown (1974) ที่ Bruckheimer และ Simpson โทรไปขอให้เขาช่วยเกลาบทสนทนาตอบโต้กันระหว่าง Hunter กับผู้การ Ramsey ที่เขาก็แก้บทสนทนาตอบกลับมาทางโทรศัพท์เดี๋ยวนั้นเลย ส่วนคนที่ 2 คือ Quentin Tarantino ก็เข้ามาช่วยเติมบทพูดและปรับให้กระชับ แต่ก็มีเรื่องดราม่าเกิดขึ้นเมื่อมีประโยคหนึ่งที่เขาปรับเป็นการพูดเหยียดเชื้อชาติ สร้างความไม่พอใจให้กับ Denzel Washington ทำให้วันที่ Tarantino เข้าไปเยี่ยมกองถ่าย Washington จึงเข้าไปมีปากเสียงกับ Tarantino จนกองถ่ายแทบแตก
หนังยังมีดราม่าเรื่องการไม่ได้รับความช่วยเหลือหรืออนุญาตให้เข้าไปถ่ายทำในเรื่องดำน้ำจริง ๆ เพราะเนื้อหาของหนังเกี่ยวกับการก่อกบฏในเรือดำน้ำ ซึ่งกองทัพเรือปฏิเสธว่า ไม่มีทางจะเกิดขึ้นจริงได้และเนื้อหาก่อให้เกิดความเสื่อมเสียกับกองทัพเรือด้วย ผู้กำกับ Tony Scott จึงใช้วิธีถ่ายแบบกองโจร นั่นคืออาศัยว่า ช่วงเวลานั้นทีมสร้างสืบทราบมาว่ากำลังจะมีเรือดำน้ำถูกปล่อยออกจากฐานทัพเรือที่เพิร์ลฮาเบอร์ พวกเขาจึงยกกองไปถ่ายทำทางเรือและเฮลิคอปเตอร์ พอคนในเรือรู้ว่าทีมงานบุกมาถ่ายก็ขับเรือหนี แต่กลายเป็นว่า Scott ก็ได้ภาพเรือกำลังดำน้ำหนีเอาไปใช้ในหนังเพิ่มเติมอีกจนได้ แค่นั้นยังไม่พอ เรือที่ถ่ายมายังชื่อว่า U.S. Alabama ซึ่งตรงกับชื่อเรือในหนังตามบทพอดีด้วย
- นักแสดง: Denzel Washington, Gene Hackman, Viggo Mortensen, Ryan Phillippe, Steve Zahn
- ผู้กำกับ: Tony Scott (Top Gun, Days of Thunder, Unstoppable, Beverly Hills Cop II)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 53 / 157 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 88% / 7.3/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 3 สาขา (ลำดับภาพยอดเยี่ยม, ผสมเสียงยอดเยี่ยม, ซาวน์เอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม)
APOLLO 13
สร้างจากเรื่องจริงของยานอะพอลโล 13 ถูกส่งขึ้นไปหลังจากนั้นความสำเร็จของะอพอลโล 11 ที่พา Neil Armstrong ไปถึงดวงจันทร์แค่เพียงหนึ่งปี ความล้มเหลวคือนอกจากไม่ได้แตะผิวดวงจันทร์แล้ว ยังกลับกลายเป็นปฏิบัติการกู้ภัยอันแสนกดดันให้กับ Jim Lovell ผู้บัญชาการยานและอีก 2 นักบินร่วมชะตากรรมไปแทน หนังยังนำเสนอสภาพจิตใจของตัวละครทั้งเรื่องอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น 3 นักบินที่ลอยเคว้ง ครอบครัวที่เฝ้าติดตามความเป็นไป และทีมงานภาคพื้นทำงานอย่างหนักเพื่อกู้ชีวิตของเหล่านักบินอวกาศให้ได้ (มีให้ดูแล้วบน Netflix)
Apollo 13 นี่คือหนังที่ได้เข้าชิงภาพยนตร์ออสการ์ยอดเยี่ยมและอีก 8 สาขา และคว้ามาได้ 2 สาขาคือ ผสมเสียงยอดเยี่ยมและตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม 3 นักแสดงนำ Tom Hanks, Kevin Bacon และ Bill Paxton รับบทเป็นนักบินอวกาศที่ต้องหาทางเอาตัวรอดระหว่างติดอยู่ในยานอวกาศ ระหว่างที่เดินทางกลับโลกแล้วเกิดปัญหายานไปต่อไม่ได้ Ron Howard ผู้กำกับของเรื่องเล่าว่า Tom Hanks อยากเล่นเป็นนักบินอวกาศมาโดยตลอด แถมเมื่อหลายปีก่อนหนังจะสร้างก็เคยถามเขาว่า ทำไมไม่มีใครนำเรื่องราวของยานอะพอลโล 13 ไปทำหนังสักที
ผู้คนมักจะหลงลืมปฏิบัติการครั้งนี้ไป เพราะภารกิจของอะพอลโล 11 นั้นเป็นที่จดจำมากกว่า ส่วนอะพอลโล 13 แต่นักแสดงอย่าง Tom Hanks ได้กล่าวว่า นี่คือวัตถุดิบในการผลิตหนังดราม่าชั้นดี และทันทีที่มีข่าวลือในฮอลลีวูดว่า Lovell กำลังเขียนหนังสือชื่อ “Lost Moon” เพื่อบอกเล่าประสบการณ์เฉียดตายครั้งนั้น Ron Howard และโปรดิวเซอร์คู่บุญ Brian Grazer จึงเร่งเข้าเจรจาซื้อสิทธิ์เพื่อดัดแปลงเป็นหนัง “ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พอบทเขียนเสร็จ Tom ก็ได้อ่านในทันที” Howard เดินสายเข้าพูดคุยกับบรรดาผู้อยู่ในเหตุการณ์จริง ทั้งตัว Lovell เหล่านักบิน และทีมงานห้องควบคุมภาคพื้นดินเพื่อให้หนังออกมาสมจริงที่สุด
ผมได้ทดลองฉายให้พวกนักบินอวกาศได้ชมด้วย” Howard กล่าว “แล้ว Buzz Aldrin (จากภารกิจอะพอลโล 11) ก็ถามผมว่า “คุณไปหาฟุตเตจปล่อยจรวดลำไหนมาเนี่ย มันเจ๋งมาก ๆ ผมเพิ่งจะเคยเห็น” ผมจึงบอกเขาไป “เราถ่ายทำมันขึ้นมากันเองนี่ละครับ” แล้วเขาก็เลยบอก “อืม…งั้นขอยืมไปใช้หน่อยสิ!””
- นักแสดง: Tom Hanks, Bill Paxton, Kevin Bacon, Gary Sinise, Ed Harris, Kathleen Quinlan
- ผู้กำกับ: Ron Howard (A Beautiful Mind, The Da Vinci Code, Rush, Frost/Nixon)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 52 / 355 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 96% / 7.6/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 2 สาขา (ผสมเสียงยอดเยี่ยม และลำดับภาพยอดเยี่ยม)
- เข้าชิง 7 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Ed Harris), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Kathleen Quinlan), บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม, วิชวลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม)
SENSE AND SENSIBILITY
เรื่องราวของหญิงสาว 2 พี่น้องที่มีมุมมองความรักต่างกันอย่างสุดขั้ว หนังเล่าผ่านวิถีชีวิตของชาวอังกฤษในสมัยก่อน Marianne (Kate Winslet) น้องสาวชอบใช้ความรู้สึกเป็นตัวแปร วิ่งเข้าชนความรักแบบไม่ระมัดระวังตัว แตกต่างจาก Elinor (Emma Thompson) พี่สาวที่ใช้ชีวิตอยู่บนหลักเหตุผลในทุกเรื่อง ทั้ง 2 ได้พบเจอความรักด้วยกันทั้งคู่ซึ่งพวกเธอก็ดำเนินชีวิตไปพบแนวทางของตัวเอง เกิดเป็นเรื่องราวที่เติมเต็มชีวิตซึ่งกันและกัน รวมถึงบทเรียนอันมีค่าที่พวกเธอได้เรียนรู้
จุดเริ่มต้นของหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายของนักเขียนดังเมื่อ 200 ปีก่อนอย่าง Jane Austen เริ่มขึ้นช่วงปลายทศวรรษ 80s เมื่อ Lindsay Doran ผู้อำนวยการสร้างของหนังอยากให้นักแสดงอย่าง Emma Thompson ที่เคยแค่เขียนบทละครตลกมาเขียนบทหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เรื่องที่คาดไม่ถึงก็คือ เธอใช้เวลาถึง 5 ปีในการทำงานที่ยากแสนยาก (ในช่วงเวลาเดียวกันเธอก็เริ่มมีชื่อเสียงจากการเป็นนักแสดงแล้วด้วยการเข้าชิงออสการ์ 2 ปีซ้อน) บทร่างแรกของเธอยาวขนาดที่สร้างหนังได้ 3 ภาค แต่อุปสรรคนั้นจะกลายเป็นเรื่องเล็กทันทีเมื่อบทหนังที่แก้ใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว Thompson กลับหาไฟล์ที่เซฟไว้ไม่เจอ เดือดร้อนให้เพื่อนนักแสดง Stephen Fry ต้องช่วยกู้ไฟล์ให้โดยใช้เวลาไป 7 ชั่วโมง และสุดท้ายเขาได้รับเครดิตขอบคุณขึ้นตอนจบของหนังด้วย
หนังยังเป็นผลงานกำกับหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรกของ Ang Lee หรือหลี่อัน ผู้กำกับชาวไต้หวันด้วยซึ่งจะว่าไปก็เป็นความเสี่ยงของหนังมากที่ใช้ทั้งมือเขียนบทใหม่ ผู้กำกับต่างชาติที่ไม่เคยทำหนังภาษาอังกฤษ แถมยังต้องมาทำหนังจากนิยายอังกฤษยุคศตวรรษที่ 19 แต่วิสัยทัศน์ของ Doran และ Amy Pascal ผู้บริหาร Sony Pictures ในเวลานั้นที่อนุมัติสร้างก็มองเห็นว่า Lee เข้าถึงอารมณ์ขันของหนังดราม่าครอบครัวตลกร้ายมากที่สุดในบรรดาทุกคนที่เข้าตา หนังระดมทีมนักแสดงอังกฤษขั้นเทพและที่ฉายแววสุด ๆ ก็คือ Kate Winslet ที่ได้เล่น Titanic (1997) เป็นเรื่องถัดมาและดังไปทั่วโลก
- นักแสดง: Kate Winslet, Emma Thompson, Hugh Grant, Tom Wilkinson, James Fleet, Harriet Walter
- ผู้กำกับ: Ang Lee (Life of Pi, Brokeback Mountain, Crouching Tiger, Hidden Dragon)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 11/39 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Scores/iMDB Rating: 97% / 7.6/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 1 สาขา (บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
- เข้าชิง 5 สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Emma Thompson), นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Kate Winslet), ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม)
DEAD MAN WALKING
Matthew Poncelet (Sean Penn) คือนักโทษที่รอรับการประหารในคดีฆ่าข่มขืน เขาเขียนจดหมายไปหาแม่ชี Sister Helen Prejean (Susan Sarandon) เพื่อขอให้เธอไปเยี่ยมเขาในคุก เธอก็ยินดีที่จะไปเพื่อพูดคุยกับเขาทุก ๆ วัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปลดปล่อยวิญญาณอันเต็มไปด้วยความผิดบาปของเขา ก่อนที่ห้วงสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง แต่เขากลับอ้างว่าเขาบริสุทธิ์ และขอร้องให้แม่ชีช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้ ทำให้เธอต้องเจอกับสถานการณ์ชวนอึดอัด ทั้งความโกรธแค้นจากครอบครัวของเหยื่อ หรือแม้แต่สังคมรอบข้าง โดยตอนนี้มีเธอเชื่ออยู่คนเดียวว่า Poncelet เป็นเพียงมนุษย์ที่ต้องการความช่วยเหลือ
หนังเรื่องนี้เป็นหนังสืบสวนสอบสวนคลาสสิกร่วมยุคเดียวกับหนังนักโทษยุค 90s อย่าง The Shawshank Redemption (1994) และ The Green Mile (1999) ตัวหนังพูดถึงการต่อสู้ระหว่างความดีความเลว โดยเอาแม่ชีกับนักโทษมาเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของแต่ละฝั่งว่า สถานภาพของบุคคลอาจไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันถึงความดีของคน ๆ นั้น
หนังดัดแปลงจากนิยายที่เขียนโดยตัวจริงของ Sister Helen Prejean ที่ Susan Sarandon (ภรรยาของ Tim Robbins ผู้กำกับ) มารับบทนี้เอาไว้จนคว้าออสการ์นำหญิงยอดเยี่ยมปีนั้นไปครอง รวมถึงการฉายแววนักแสดงคุณภาพของ Sean Penn ที่ได้เข้าชิงและกลายเป็นนักแสดง 2 รางวัลออสการ์นำชายในทุกวันนี้ ผู้กำกับ Robbins (นักแสดงจาก The Shawshank Redemption และร่วมจอกับ Penn ใน Mystic River (2003) ที่เรื่องนี้เขากอดคอคว้าออสการ์นำชายและสมทบชายกันทั้งคู่) ที่ไม่ค่อยได้กำกับหนังมากนัก แต่เรื่องนี้ก็ได้เข้าชิงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมด้วย
- นักแสดง: Susan Sarandon, Sean Penn, Peter Sarsgaard, Jack Black, Clancy Brown
- ผู้กำกับ: Tim Robbins (Bob Roberts, Cradle Will Rock)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 11/39 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Scores/iMDB Rating: 91% / 7.5/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 1 สาขา (นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Susan Sarandon))
- เข้าชิง 3 สาขา (นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Sean Penn), ผู้กำกับยอดเยี่ยม, เพลงประกอบยอดเยี่ยม)
LEAVING LAS VEGAS
Ben Sanderson คือมือเขียนบทของฮอลลีวูดที่สูญสิ้นทุกสิ่งอย่างทั้งการงานและครอบครัว เขาจึงตัดสินใจบึ่งรถไปลาสเวกัสเพื่อดื่มเหล้าให้เมาจนตาย แต่ระหว่างทางไปฆ่าตัวตายนั้นเอง เขาได้พบกับ Sera ผู้หญิงขายบริการนางหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเขานั้นต้องเจอกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน แต่ก็ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป นี่คือเรื่องราวของหนังที่ส่งให้ Nicolas Cage นักแสดงชื่อดังจากยุค 80s-90s ได้รับออสการ์ เขามารับบทนี้ที่เหมือนกับถอดมาจากเรื่องจริงของนักเขียนนิยายชื่อเดียวกันของ John O’Brien ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 1990 แต่น่าเสียดายที่ 2 เดือนก่อนถ่ายทำ เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายไปเสียก่อน
ในตอนนั้นผู้กำกับของเรื่องอย่าง Mike Figgis ผู้กำกับที่เชี่ยวชาญด้านการดนตรีและเพลงประกอบ แทบถอดใจและอยากล้มโครงการหนังทิ้ง ก่อนที่จะกลับมาสานงานต่อเพื่อให้เกียรติกับ O’Brien ที่พ่อของเขาบอกว่า นิยายเรื่องนี้คือจดหมายสั่งลาส่งท้าย เมื่อหนังเปิดกล้อง Cage จึงสวมนาฬิกาข้อมือเรือนจริงของ O’Brien ตลอดการถ่ายทำและใช้รถแบบเดียวกับที่ O’Brien เคยใช้ เพื่อความสมจริงเขาได้ไปศึกษาพฤติกรรมของผู้ป่วยติดเหล้า ส่วน Elisabeth Shue ก็ไปศึกษาชีวิตของหญิงขายบริการจริง ๆ ซึ่งจากบทนี้ก็สลัดภาพสาวใสในหนังรอมคอมก่อนหน้านี้ไปจนหมดและส่งให้เธอได้เข้าชิงออสการ์
สุดท้ายหนังใช้เวลาถ่ายทำไป 28 วัน และระหว่างการถ่ายทำ ครอบครัวของ O’Brien ก็เข้ามาเยี่ยมกองถ่ายด้วยซึ่งก็ทำให้กองถ่ายต้องเศร้าไปตาม ๆ กัน หนังใช้ทุนสร้างเพียง 3.5 ล้านเหรียญฯ ซึ่งนับว่าน้อยมาก โดยหนังไม่ใช้การปิดถนนและสถานที่ของลาสเวกัสเลย นั่นหมายความว่าทุกอย่างในหนังไม่ใช้เซ็ตแต่เป็นของจริง เมื่อหนังออกฉายก็ได้รับคำชื่นชมเรื่องการถ่ายทอดจิตใจอันบอบช้ำร้าวรานของตัวละครหลักได้อย่างสมจริง
- นักแสดง: Nicolas Cage, Elisabeth Shue, Julian Sands, Richard Lewis, Steven Weber
- ผู้กำกับ: Mike Figgis (Internal Affairs, Cold Creek Manor, Mr. Jones)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 3/32 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Scores/iMDB Rating: 91% / 7.5/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์:
- ชนะ 1 สาขา (นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Nicolas Cage))
- เข้าชิง 3 สาขา (นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Elisabeth Shue), ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
DESPERADO
หนังที่มีชื่อไทยว่า “ไอ้ปืนโตทะลักเดือด” เรื่องราวของมือกีตาร์พเนจรที่สูญเสียคนรักเพราะโดนแก๊งมาเฟียฆ่า เขาจึงหันมาเป็นนักฆ่าในคราบนักดนตรีเพื่อล้างแค้น โดยมีเพื่อนรักและเจ้าของร้านหนังสือคนสวยคอยช่วยเหลือ หนังแจ้งเกิดผู้กำกับชาวเม็กซิกันอย่าง Robert Rodriguez ให้ฮอลลีวูดรู้จัก หลังจากก่อนหน้านี้เขากำกับหนังสัญชาติเม็กซิโก เรื่องราวของตัวละครเดียวกันกับในเรื่องนี้ชื่อ El Mariachi (1992) มาแล้ว รวมถึงหนังก็แจ้งเกิด Antonio Banderas จากบทนี้ด้วยเช่นกัน (ในปีเดียวกันนี้ Banderas ก็ไปรับบทร้ายในหนังแอ็กชันอีกเรื่องอย่าง Assassins ที่เขาได้แสดงประกบ Sylvester Stallone และ Julianne Moore)
ต่อมาหนังชุดนี้ก็มีภาคจบไตรภาคคือ Once Upon a Time in Mexico (2003) ที่ได้ Johnny Depp มาปะทะฝีมือ สมทบด้วย Salma Hayek นักแสดงสาวสวยยืนหนึ่งของเม็กซิโก ซึ่งผู้ที่ผลักดันให้หนังมีถึงภาค 3 ก็ไม่ใช่ใครอื่น Quentin Tarantino เพื่อนสนิทของ Rodriguez นั่นเอง และหากย้อนไปถึงงานสร้างในภาคแรกนั้น ผู้กำกับ Rodriguez ทำหนังด้วยตัวเองแบบบ้าน ๆ ใช้เงินทุน 7,000 เหรียญฯ และใช้รถเข็นวีลแชร์ของผู้ป่วยในการเคลื่อนกล้องเพื่อถ่ายภาพเคลื่อนไหว แต่หนังก็เข้าตา Columbia Pictures จนมอบทุน 7 ล้านเหรียญฯ กับ Rodriguez เพื่อมาปัดฝุ่นทำ Desperado ที่มีตัวละคร El Mariachi ดำเนินเรื่องเช่นกันแต่เรื่องราวไม่ได้ต่อเนื่องกับภาคแรก
เดิมที่หนังเรื่องนี้จะได้เรตติ้ง NC-17 ซึ่งเป็นเรตที่หนักหนาสาหัสกว่าเรต R เสียอีก เพราะหลายต่อหลายฉากที่เป็นฉากยิงปืนจนเลือดสาด เช่นฉากของนักแสดง Danny Trejo ถูกมองว่า รุนแรงและโหดเกินไปซึ่งสุดท้ายหนังก็ยอมปรับภาพเหล่านั้นออกให้หนังได้อยู่ในเรต R ซึ่งต่อมาตัวละคร Cucuy นักปามีดของ Trejo นั้นก็ถูกต่อยอดสานต่อมาเป็น Machete Kills (2013) หนังอีกเรื่องของ Rodriguez ที่เขาบอกว่าคิดพล็อตหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 1993 แล้ว (แต่เพิ่งมาได้สร้าง 20 ปีให้หลัง)
- นักแสดง: Antonio Banderas, Salma Hayek, Quentin Tarantino, Carlos Gómez, Danny Trejo, Steve Buscemi
- ผู้กำกับ: Robert Rodriguez (El Mariachi, Spy Kids, Sin City, Alita: Battle Angel)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 7/25 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Scores/iMDB Rating: 64% / 7.2/10
THE BRIDGES OF MADISON COUNTY
หนังรักที่เข้าถึงหัวจิตหัวใจของคนเป็นมือที่สามหรือคนที่ไปหลงรักกับคนมีเจ้าของที่สร้างออกมาได้สะเทือนใจมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ในฉากจบที่ทั้ง 2 ตัวละครหลักของเรื่องที่นำแสดงโดยนักแสดงมากฝีมือทั้ง Clint Eastwood และ Meryl Streep ต้องร้างลาจากกันไกลอย่างไม่มีวันหวนกลับมาอีก คือฉากที่เศร้าที่สุดฉากหนึ่งของโลกภาพยนตร์ เจ้าแม่นักแสดงผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นว่าเล่น มารับบทเป็น Francesca Johnson แม่บ้านในรัฐไอโอวาที่มาตกหลุมรักกับ Robert Kincaid ช่างภาพวัยกลางคน ในวันที่เธอนั้นมีสามีอยู่แล้ว
หนังสร้างจากนิยายดังในชื่อเดียวกันที่วางจำหน่ายเมื่อปี 1992 และผู้กำกับ Steven Spielberg ก็ฉวยชิ้นปลามันคว้าลิขสิทธิ์การสร้างเป็นหนังไปได้ ผู้กำกับที่เกือบจะได้กำกับหนังเรื่องนี้มีตั้งแต่ Sydney Pollack (Tootsie) และ Bruce Beresford (Driving Miss Daisy) แต่เมื่อทุกคนถอนตัวไป Clint Eastwood ที่เข้าชื่อเป็นนักแสดงนำจึงก้าวขึ้นมากำกับเสียเลย และตัวเลือกเดียวที่จะมารับบทนางเอก Francesca Johnson ก็คือ Streep ซึ่ง Eastwood เป็นคนเข้าไปหว่านล้อมสตูดิโอด้วยตัวเอง เพราะสตูดิโอมองว่าเธอแก่เกินไป
หนังถ่ายทำเรียงตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องจริง ๆ จากเริ่มต้นจนถึงตอนจบ เพราะ Eastwood มองว่าเป็นวิธีที่เป็นธรรมชาติกับนักแสดงที่จะถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้ดีที่สุด ส่วน Streep นั้นก็แปลกใจกับการถ่ายเทคเดียวผ่านของ Eastwood จนอดประหลาดใจไม่ได้ จนผู้กำกับภาพของเรื่องบอกว่าทีมเราถ่ายกันแบบเทคเดียวอยู่ชนิดไม่ต้องเปลืองแรงและ Streep สามารถปล่อยพลังทางการแสดงแบบจัดเต็มได้ตั้งแต่เทคแรกเลย สุดท้ายแม้หนังจะพูดกันทั้งเรื่องแต่ฉากที่คนจดจำได้มากที่สุดคือ ฉากมือง้างคันโยกเปิดประตูฉากนั้นของเธอ
- นักแสดง: Clint Eastwood, Meryl Streep, Annie Corley, Victor Slezak, Jim Haynie
- ผู้กำกับ: Clint Eastwood (Million Dollar Baby, Gran Torino, Sully)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 24/182 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Scores/iMDB Rating: 90% / 7.6/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 1 สาขา (นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Meryl Streep))
BEFORE SUNRISE
จุดเริ่มต้นของหนังรักไตรภาคเต็มไปด้วยบทสนทนาความรักที่เพลิดเพลิน จนสร้างอีก 2 ภาคคือ Before Sunset (2004) และ Before Midnight (2013) เรื่องราวของ Jesse หนุ่มอเมริกัน และ Céline สาวฝรั่งเศส พวกเขาพบกันบนรถไฟระหว่างทางไปกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และทั้งคู่ได้ใช้เวลาหนึ่งคืนเดินเล่นรอบเมืองเพื่อทำความรู้จักกัน ก่อนที่ Jesse ต้องเดินทางกลับอเมริกาในวันรุ่งขึ้น ส่วน Céline ก็มีความตั้งใจที่จะกลับไปเรียนต่อที่ประเทศฝรั่งเศส พวกเขาได้มีโอกาสแบ่งปันเรื่องราวของตนเองอย่างอย่างที่เชื่อว่าคงจะไม่ได้พบกันอีก
หนังมีแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงของผู้กำกับที่ได้พบกับผู้หญิงที่ชื่อ Amy Lehrhaupt ด้วยความบังเอิญในร้านของเล่นเมื่อปี 1989 ที่ฟิลาเดลเฟีย Richard ใช้เวลาอยู่กับเธอเป็นเวลา 1 คืนอย่างแสนประทับใจ ก่อนจะลาจากกัน Linklater ได้บอกกับเธอว่า เขาจะนำเรื่องราวของเธอและเขาไปสร้างเป็นหนัง ต่อมา เขาชวนนักแสดง Ethan Hawke มาร่วมทำหนังทุนเล็ก ๆ เรื่องนี้กับเขา และต่อมาก็ได้นางเอก Julie Delphy เพิ่งเข้ามาอีกคน โดยสิ่งที่ดึงดูดเธอคือโอกาสที่ในการพัฒนาบทหนังเรื่องนี้จากโครงเรื่องที่มีอยู่เดิมแค่หน้าครึ่ง โดย Linklater อยากหนังดำเนินไปแบบมีมุมมองของผู้หญิงมากกว่าจะมีแค่ฝั่งผู้ชาย (จากมุมของเขา) อย่างเดียว
Before Sunrise กลายเป็นหนังรักที่พูดกันตลอดเรื่อง แต่ไม่มีความน่าเบื่อเลยสักนิด รวมถึงยังเป็นหนังโรแมนติกที่ได้รับการพูดถึงมาอีก 25 ปี รวมถึงยังมีภาคต่อตามออกมาด้วยคือ Before Sunset (1994) เป็นที่น่าเสียดายว่า ในปี 1994 Amy Lehrhaupt เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ Richard จะเริ่มถ่ายหนังเรื่องนี้ และกว่าที่เขาจะรู้ว่า Amy เสียชีวิตเวลาก็ผ่านล่วงเลยมาถึงปี 2010 แล้ว ผู้กำกับจึงสร้างหนังเรื่อง Before Midnight (2013) หนังปิดไตรภาคเพื่ออุทิศให้กับเธอและความรักชั่วข้ามคืนหนึ่งของพวกเขา
ชวนอ่าน
- รวมหนังดราม่า “ต้องเสียน้ำตา” สักครั้งในชีวิตบน Netflix (ตอนที่ 2)
- 10 หนังรักในตำนานหาดูยาก ที่ดูได้แล้วบน Netflix
- นักแสดง: Ethan Hawke, Julie Delphy, Erni Mangold, Haymon Maria Buttinger
- ผู้กำกับ: Richard Linklater (Before Sunset, Before Midnight, Boyhood)
- ทุนสร้าง/รายได้ทั่วโลก: 2 / 5 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 100% / 8.1/10
CASINO
ผลงานของผู้กำกับระดับตำนานที่เต็มไปด้วยผลงานขึ้นหิ้งมากมายอย่าง Martin Scorsese ที่ร่วมงานไว้กับ กับนักแสดงคู่บุญอย่าง Robert De Niro สมทบด้วย Joe Pesci (เพิ่งโคจรมาเจอกันอีกครั้งใน The Irishman (2019)) และ Sharon Stone ซึ่งบทในเรื่องนี้ทำให้เธอคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ นักแสดงนำหญิงประเภทภายนตร์ดราม่าไปครอง และก็ยังได้เข้าชิงออสการ์นำหญิงในปี 1996 ด้วยเช่นกัน เรื่องตลกเบื้องหลังการถ่ายทำก็คือ Scorsese เบี้ยวนัดทดสอบหน้ากล้องดาราดังอย่าง Stone ถึง 2 ครั้งจนทำให้เธอจิตตก เมื่อผู้กำกับนัดมาครั้งที่ 3 เธอจึงตอบปฏิเสธเพื่อออกไปกินข้าวเย็นกับเพื่อน ก่อนที่ Scorsese จะโผล่มาเซอร์ไพรส์ที่ร้านอาหารแห่งนั้นและทดสอบบทเธอบนโต๊ะอาหารนั่นเลย
หนังเล่าย้อนไปในยุค 70s เจ้าพ่อธุรกิจและเซียนพนันได้รับการเชื้อเชิญให้มาดูแลกิจการในลาสเวกัส แต่เส้นทางเจ้าพ่อไม่เคยง่าย เมื่อเขาต้องตามล้างตามเช็ดปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในคาสิโนแห่งนี้ โดย Scoresese เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีโครงเรื่องหรือพล็อต และกำกับจากบทในหัวของเขาแทบจะสด ๆ หนังจึงเต็มไปด้วยบทสนทนาอย่างที่เห็น หนังถ่ายทำที่คาสิโนของจริงในลาสเวกัสเป็นเวลา 6 สัปดาห์ซึ่งเป็นงานที่หนักหนาสำหรับทีมงานในการดีลสถานที่ จนสุดท้าย Scorsese ต้องออกโรงไปคุยกับเจ้าของคาสิโนหลายที่เองและก็ได้เข้าไปถ่ายทำตามที่เขาอยากได้ในที่สุด
เรื่องราวของ Sam “Ace” Rothstein ตัวละครของ Robert De Niro นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Frank “Lefty” Rosenthal ที่เกษียณออกจากวงการแล้ว และตอนนั้น Nicholas Pileggi มือเขียนบทหนัง Godfellas (1990) ของ Scorsese ก็กำลังสนใจอยากจะเขียนบทหนังจากเรื่องของเขาแต่ Rosenthal ยังไม่สนใจ จนกระทั่งเขารู้ว่า Scorsese จะกำกับหนังจากบทนี้และจะได้ De Niro มาเล่นเป็นตัวเขาจึงเปลี่ยนใจ ถึงอย่างนั้นเขามีโอกาสได้ชมหนังครั้งเดียวในรอบฉายภายในบริษัทร่วมกับ Pileggi จนกระทั่งช่วงใกล้เขาจะเสียชีวิตในปี 2008 เขาก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ชอบหนังเอาเสียเลย เพราะหนังแทบไม่ได้เล่าว่าเขาทำอะไรใน Casino แถมยังทำให้ตัวละครของเขาดูโง่ด้วย
เกร็ดน่ารู้อีกเรื่องของหนังคือ Casino เป็นผลงานการทำไตเติลเปิดหนังเรื่องสุดท้ายของ Saul Bass มือหนึ่งของนักทำไตเติลเปิดหนังยุค 50s เป็นต้นมา เขาทำไตเติ้ลมาแล้วทั้ง Vertigo (1958), Psycho (1960) , North by Northwest (1958), West Side Story (1961) และ Spartacus (1960) ส่วนหนังของ Scorsese ที่เขาทำไตเติ้ลให้ก็ได้แก่ GoodFellas, Cape Fear (1991) และ The Age of Innocence (1993) น่าเสียดายที่ Bass เสียชีวิตก่อน Casino เข้าฉาย 5 เดือนจึงอดได้ชมผลงานของตัวเองในโรงภาพยนตร์
- นักแสดง: Robert De Niro, Sharon Stone, Joe Pesci, James Woods, Kevin Pollak
- ผู้กำกับ: Martin Scorsese (Taxi Driver, Godfellas, The Wolf of Wall Street, The Irishman )
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 6/23 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Scores/iMDB Rating: 80% / 8.2/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 1 สาขา (นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Sharon Stone))
THE USUAL SUSPECTS
หนังที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในหนังหักมุมที่ทำเอาคนดูถึงกับตกเก้าอี้เมื่อถึงบทเฉลยได้ดีที่สุดตลอดกาล แจ้งเกิดผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นนักแสดง Kevin Spacey ซึ่งในปีนั้นก็มีผลงานใน Se7en ของผู้กำกับ David Fincher ที่ก็เป็นหนังฮิตอีกเรื่อง หรือจะเป็นผู้กำกับ Bryan Singer ที่ต่อมาได้ทำหนังฮีโร X-Men (2000) และมือเขียนบท Christopher McQuarrie เพื่อนสนิทของ Singer ที่ต่อมาก็กลายเป็นผู้กำกับหนังฟอร์มดีของพระเอก Tom Cruise ทั้ง Mission Impossible ตั้งแต่ภาค 5 จนถึงภาค 8 (2015-2022) และ Jack Reacher (2012) ในตอนนั้นเขายังทำงานประจำในบริษัทกฎหมาย และชื่อของตัวละครทุกตัวในเรื่องมาจากชื่อทนายที่เขาได้พบที่นั่นจนสุดท้ายต้องขออนุญาตเจ้าของชื่อจริง ๆ เป็นการใหญ่
เรื่องราวหลังเหตุการณ์ระเบิดบนเรือลำหนึ่งที่ท่าเรือซานเปโตร มีผู้เสียชีวิต 27 คน เหลือรอดอยู่เพียง 2 คน คนหนึ่งคือ Verbal ผู้เป็นคนเล่าเรื่องนี้ อีกคนเป็นคนฮังกาเรียนถูกไฟคลอกเสียจนเกรียมไปทั้งตัว จนพูดหรือทำอะไรไม่ได้ เอาแต่ร้องเสียงหลงว่า Keyser Söze ทำให้ตำรวจอย่างเจ้าหน้าที่พิเศษ Dave Kujan แห่งกรมสรรพากร และเจ้าหน้าที่ FBI Jack Baer ที่ติดตามคดีนี้ อยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่า Keyser Söze คือใครกันแน่? เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีตัวตนอยู่จริง ๆ ตามคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิต และ Kujan ก็มั่นใจว่า คนร้ายน่าจะเป็น Keaton ตัวละครที่จัดฉากเหตุการณ์ระเบิดทั้งหมดในเรื่อง (มีให้ดูแล้วที่ Netflix)
Kevin Spacey เป็นนักแสดงคนแรกสุดที่เข้าร่วมโพรเจ็กต์นี้หลังจากประทับใจกับ Public Access (1993) ผลงานหนังเรื่องแรกของ Singer และ McQuarrie อย่างมากถึงขนาดเสนอตัวร่วมงานกับทั้งคู่ในหนังเรื่องต่อไป แม้ว่าตอนนั้นยังไม่เกิดไอเดียการสร้างหนังเรื่องนี้เลยก็ตาม นอกจากนี้เบื้องหลังก็มีเหตุดราม่าเล็กน้อยเมื่อผู้กำกับ Singer สามารถเกลี้ยกล่อมให้นักแสดงหลักทั้งห้าคนเชื่อว่าตัวเองต่างเป็น Keyser Söze ตัวละครปริศนาในเรื่อง จนกระทั่งถึงคราวฉายหนังฉบับสมบูรณ์ให้นักแสดงทุกคนได้ดู Gabriel Byrne ผู้รับบท Keaton ก็ถึงกับช็อกเมื่อรู้ว่าตัวละครของเขาไม่ใช่ Keyser Söze จนลุกพรวดพราดออกไปจากการชมหนัง และลงเอยด้วยการมีปากเสียงกับ Singer ที่ลานจอดรถนานถึงครึ่งชั่วโมง
ชวนอ่าน 12 “หนังหักมุม” ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
- นักแสดง: Kevin Spacey, Benicio Del Toro, Kevin Pollak, Gabriel Byrne, Stephen Baldwin
- ผู้กำกับ: Bryan Singer (X-Men, Valkyrie, Bohemian Rhapsody)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 6/23 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Scores/iMDB Rating: 89% / 8.5/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: ชนะ 2 สาขา (นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Kevin Spacey) และ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
THE AMERICAN PRESIDENT
ครั้งหนึ่งนักแสดงเจ้าของ 2 รางวัลออสการ์อย่าง Michael Douglas จาก Wall Street (1987) ก็เคยรับบทเป็นประธานาธิบดีในหนังที่นำเสนอการบริหารชีวิตรักควบคู่ไปกับการบริหารประเทศ และถูกจดจำจากบทบาทนี้มากที่สุดบทนึงเลยทีเดียว เมื่อ Andrew Shepherd ผู้นำที่ทั้งเหงาและเปล่าเปลี่ยวใจจากการเป็นพ่อหม้ายลูกหนึ่ง ได้พบเจอกับ Sydney Ellen Wade (Annette Bening) นักล็อบบี้ยิสต์ด้านสิ่งแวดล้อมตัวแม่ ที่เพิ่งย้ายมายังเมืองวอชิงตัน ดีซี เพื่อผลักดันกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม
Shepherd พร้อมที่จะมีความรักครั้งใหม่อย่างเร่งรัดให้ความรักคืบหน้า (สมกับเป็นประธานาธิบดี) ตรงข้ามกับ Wade ที่อยากให้ความรักดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า เธอคือนักล็อบบี้ยิสต์ที่ถูกว่าจ้างโดย Global Defense Council ในฐานะนักวางกลยุทธ์ด้านการเมือง ซึ่งการเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา กล้าคิดกล้าพูด เป็นใบเบิกทางทำให้งานของเธอประสบความสำเร็จและเข้าไปอยู่ในความสนใจของสภาคองเกรส ขณะที่บางครั้งก็นำไปสู่ปัญหาที่เกินตัว ผิดกับ Shepherd ที่เป็นนักการเมืองและรู้จักวิธีพูดเพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ลงตัวสำหรับทุกฝ่าย
Shepherd ต้องทำให้สภายอมรับร่างกฎหมายที่จะทำให้เขาได้รับเลือกกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย ขณะที่ Wade ก็ก็ต้องทุ่มพลังผลักดันให้สภาอนุมัติผ่านกฎหมายที่จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมเช่นกัน ระหว่างที่ทั้ง 2 ต้องประคองต้นกล้าของความสัมพันธ์ ฟันฝ่าความอยากรู้อยากเห็นของสื่อ และวุฒิสมาชิก Rumson (Richard Dreyfuss) ศัตรูทางการเมืองตัวฉกาจของ Shepherd ที่พยายามขัดขวางความรักครั้งนี้ หนังเขียนบทโดยสุดยอดฝีมือ Aaron Sorkin จาก The Social Network (2010) ที่เป็นทีมสร้างสรรค์บทซีรีส์การเมืองอเมริกันชั้นดีอย่าง West Wing ด้วยอีกเรื่อง
ชวนอ่าน 10 นักแสดงเป็น “ประธานาธิบดีอเมริกา” ที่เท่ที่สุดตลอดกาลจากหนังและซีรีส์
- นักแสดง: Michael Douglas, Annette Bening, Martin Sheen, Michael J. Fox, Richard Dreyfuss
- ผู้กำกับ: Rob Reiner (When Harry Met Sally…, A Few Good Men, The Bucket List)
- ทุนสร้าง/รายรับรวมทั่วโลก: 62 / 107 ล้านเหรียญฯ
- Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 91% / 6.8/10
- บทบาทบนเวทีออสการ์: เข้าชิง 1 สาขา (เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส