เรียกได้ว่ายอดในโรงถล่มทลายฝ่าวิกฤตโควิดเป็นอย่างมาก กับภาพยนตร์อนิเมะชื่อดัง ‘ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่: ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ (Kimetsu no Yaiba: Mugen Ressha-hen)’ หรือที่สาวกพากันเรียกชื่อสั้น ๆ ว่า ‘ไยบะ’ (อย่าไปสับสนกับ ‘ซามูไรไยบะ’ ในอดีตกันล่ะผู้ชม…รู้อายุกันไปเลยทีเดียว) เกิดเป็นกระแสในวงกว้างฉุดไม่อยู่ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้วงการอนิเมะในญี่ปุ่นสั่นสะท้านด้วยการครองทุกรอบในวันเข้าฉายเท่านั้น มันยังสร้างกระแสในไทยได้อย่างน่าตื่นเต้น ด้วยรายได้มหาศาลเป็นประวัติการณ์อีกด้วย
อ่านรีวิว ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่: ศึกรถไฟสู่นิรันดร์
แค่เปิดตัววันแรกในไทยก็เป็นที่โจษจันกันอย่างหนัก เพราะทำรายได้ไปถึง 7.68 ล้านบาท ทำลายสถิติรายได้เปิดตัววันแรกของภาพยนตร์อนิเมะอย่าง สแตนด์บายมี โดราเอมอน เพื่อนกันตลอดไป: STAND BY ME Doraemon (5.4 ล้านบาท) วันพีซ สแตมปีด: One Piece: Stampede (5.37 ล้านบาท) และ หลับตาฝันถึงชื่อเธอ: Your Name (3.41 ล้านบาท) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอนิเมะระดับตำนานอย่างไม่คาดฝัน ขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันจากประเทศญี่ปุ่นที่ทำรายได้สูงสุดในวันเปิดตัวในไทย และยังทำลายสถิติของภาพยนตร์ เทเน็ท: Tenet เป็นภาพยนตร์ระบบไอแมกซ์ 2 มิติที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดในปีนี้ด้วย
เพราะอะไรอนิเมะเรื่องนี้ถึงได้ดังระเบิด มีผู้ชื่นชอบอย่างมากมายขนาดนี้ เราจึงต้องจับมาชำแหละดูสักหน่อยสิว่า จุดไหนที่ไปโดนใจ ทำให้เกิด Fever ตบเท้าเข้าไปดูในโรงกันมากมายขนาดนี้
เนื้อหาจัดหนัก จัดเข้มเต็มอารมณ์
ก่อนจะพูดถึงฉบับภาพยนตร์ที่ดังเปรี้ยงเรามาทำความรู้จักเรื่องย่อของดาบพิฆาตอสูรโดยภาพรวมกันสักหน่อย เรื่องย่อนั้นมีอยู่ว่า ในประเทศญี่ปุ่นยุคไทโช ‘คามาโดะ ทันจิโร่’ ลูกชายคนโตของครอบครัวใหญ่ที่สูญเสียพ่อไป ด้วยความอ่อนโยน เฉลียวฉลาด และมีความรับผิดชอบสูง เขาจึงรับหน้าที่หารายได้เลี้ยงดูครอบครัวด้วยการเผาถ่านไปขาย แต่แล้ววันหนึ่ง ความสงบสุขก็พลันมลาย เมื่อมีอสูรบุกเข้ามาสังหารคนในครอบครัว ขณะที่เขานำถ่านไปขาย เหลือเพียงน้องสาวที่ชื่อ ‘เนะซึโกะ’ เท่านั้นที่รอด ทว่าก็กลับกลายร่างเป็นอสูรไป
ระหว่างนั้น ‘โทมิโอะกะ กิยู’ นักล่าอสูรที่เดินทางผ่านมา หมายจะฆ่าเนะซึโกะที่กลายเป็นอสูรไปแล้วเพื่อปกป้องทันจิโร่ ทันจิโร่จึงเข้าต่อสู้เพื่อปกป้องน้องสาว ทว่าเนซึโกะแสดงอารมณ์และความคิดอย่างมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ให้เห็น กิยูที่เห็นความสามารถของที่แฝงอยู่ของทันจิโร่และความประหลาดของเนซึโกะจึงชี้ทางให้เขาเป็นนักล่าอสูร การเดินทางเพื่อหาวิธีทำให้น้องสาวกลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิม และการชำระแค้นอสูรจึงเริ่มต้นขึ้น
แค่เปิดมาเนื้อหาก็หนักหน่วง เร้าอารมณ์ให้คนดูรู้สึกทั้งเอ็นดู สงสาร และเห็นใจพระเอก ทำให้อยากตามลุ้นเอาใจช่วยตั้งแต่แรก เมื่อออกเดินทางไปเรื่อย ๆ พระเอกของเราก็เจอกับอุปสรรคต่าง ๆ และด่านหิน ๆ มากมาย ทำให้เส้นเรื่องมีความตื่นเต้นลุ้นระทึกอยู่เสมอ ขณะเดียวกัน ความหินที่ว่ายังช่วยทำให้เรื่องมีความสมจริงมากขึ้นด้วย (จะปราบอสูรทั้งที ถ้าเป็นกันได้ง่าย ๆ ก็ไม่น่าอินแล้วน่ะสิ)
ความสมจริงอีกจุดที่พาให้คนดูอินตามคือ ความเป็นเหตุเป็นผลที่ดูแล้วเข้าใจง่าย หรือจะเข้าใจแบบลึก ๆ ก็ยังได้ นั่นก็คือเรื่องการฝึกร่างกายและปราณต่าง ๆ ในเรื่อง การเล่าเรื่องที่มีจังหวะลำดับขั้นของการพัฒนาตัวละครให้เข้าใจไปในแต่ละสเต็ป เอ้า…เข้าใจกายแล้วนะ ต่อมาก็ควบคุมลมหายใจสิ โอ้นี้มัน หลักพุทธ หลักเต๋าผสมเซนชัด ๆ ช่างสอดคล้องกับหลักความเชื่อในโลกแห่งความเป็นจริง ทำให้เรื่องนี้ดูแล้ว ‘เนียน’ ขึ้นไปอีกอย่างบอกไม่ถูก (ในฐานะผู้ที่กำลังฝึกสมาธิอยู่ แอบเห็นความเชื่อมโยงเกี่ยวข้อง ที่เอามาผูกในเรื่องให้ดูสมจริงได้อย่างน่าทึ่ง … และก็น่าจะดีไม่น้อยที่เด็กจะดูแล้ว อยากจะฝึกกายใจ หรือเรียนรู้เรื่องราวในทางนี้ดูในโลกแห่งความเป็นจริง)
และไม่เพียงทำให้เนื้อเรื่องดูเมคเซนซ์กว่าเดิมเท่านั้น ความเชื่อเรื่องการฝึกตนนี้ยังกลมกลืนไปกับสภาพบ้านเมืองของยุคนั้น ซึ่งเป็นฉากใหญ่ของเรื่อง เสริมให้ภาพรวมดูกลมกลืน ดูแล้วไม่ขัดใจด้วย
นอกจากการขับเคลื่อนเนื้อเรื่องที่ไม่ประดักประเดิด การเดินเรื่องก็ทำได้ค่อนข้างดี คือเดินเรื่องได้กระชับ รวดเร็วไม่ยืดยาดเกินไป มีอะไรให้ชวนติดตามทุกตอน พอจะมาลงโรงก็ค้างในจุดที่คนพร้อมจะติดตามต่อพอดี และเมื่อมาดูต่อก็ไม่ผิดหวัง เพราะคงคุณภาพและเชื่อมต่อได้เนียนดีเกินคาด สามารถคงอารมณ์ความรู้สึกที่สร้างสมมาให้มา ‘ระเบิด’ ต่อเนื่องได้ในโรงภาพยนตร์เสียสนิท ไม่รู้สึกว่าเป็น ‘ภาคแยก’ ที่ทำออกมาต่างหาก อย่างอนิเมะทั่วไปเรื่องอื่น ๆ เรียกได้ว่า ‘ต่อกันได้ติด’ เสมือนดูอนิเมะต่อไปเรื่อย ๆ สมเป็นเรื่องเดียวที่เล่าต่อกันจริง ๆ
โดดเด่นด้วยคาแรกเตอร์ดีไซน์ ทะลายหัวใจคนดู
จากเรื่องย่อก็พอจะเห็นกันได้แล้วว่า พ่อพระเอกของเราดูเป็นคนจิตใจดี อ่อนโยน และมุมานะเพียงใด จุดนี้นอกจากจะทำให้เราตามเอาใจช่วยแล้ว มันยังส่งพลังให้คนดูอย่างน่าประหลาด เพราะแม้จะมีความสามารถเหนือกว่า และประสบกับความรันทดวิบัติเพียงไหน พระเอกของเราก็ไม่เคยที่จะแสดงพลังลบกับคนอื่น มีแต่ความเห็นอกเห็นใจ และความเข้มแข็งที่น่าเหลือเชื่อ ซึ่งอนิเมะซีรีส์ได้ทำให้เราเห็นภาพนี้ของเขาออกมาทีละนิดอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนคนดูอดรู้สึกเชื่อและอินตามไปด้วยไม่ได้ ถึงขนาดที่ว่า เหล่าเด็กประถมในญี่ปุ่นถึงกับโหวตให้เป็น “บุคคลในดวงใจ” อันดับ 1 (ซึ่งเราก็คาดว่าเยาวชนบ้านเราก็คงจะไม่ต่างกันเท่าไหร่) ทว่า หากมาดูผลโหวตทั้งหมดก็จะทำให้เราพบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจหลายอย่างเลยทีเดียว
ความน่าสนใจแรกคือ ‘บุคคลในดวงใจ’ ที่ว่า จะเป็นใครก็ได้ และนั่นทำให้ ‘แม่’ เข้ามาสู่อันดับ 2 และ ‘พ่อ’ มารั้งอยู่ในลำดับที่ 5 …พ่ายแพ้ต่อพระเอกทันจิโร่ของเราซะอย่างนั้น! โดยเด็ก ๆ ได้ให้เหตุผลว่า ทันจิโร่เป็นคนที่มีความพยายามและไม่ยอมแพ้ ดีกับทุกคน และรักครอบครัว (อ้าว แล้วป๊าม้าละลูกกก) นี่ชี้ให้เห็นว่าเสน่ห์ของพระเอกเราร้อนแรงเกินคาดขนาดไหน … ขนาดตัวเอกยังชนะคนจริงที่ใกล้ชิด ก็ไม่แปลกที่ภาพยนตร์อนิเมะเรื่องนี้จะได้รับความนิยมกว่ามากภาพยนตร์อื่น ๆ สินะ
จะว่าไป เพราะดูน่ารัก น่าเอ็นดู น่าเอาใจช่วย มีนิสัยที่เป็นแบบอย่างที่ดี เพิ่มพลังใจและพลังบวก แบบนี้ เราเองก็ตกหลุมอินตามน้องทันจิโร่ไปจริง ๆ นั่นแหละ
ส่วนที่น่าสนใจต่อมาคือ อันดับอื่น ๆ ของบุคคลในดวงใจ นอกจากพ่อแม่ และคุณครู ที่มีตัวตนอยู่จริงแล้ว อันดับที่เหลือก็เป็นตัวละครจากไยบะหมดทั้งสิ้น สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า คาแรกเตอร์ที่เป็นแม่เหล็กของเรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่พระเอกเท่านั้น ทั้งน้องสาวของทันจิโร่ รวมถึงตัวเอกสุดเด่นสุดสำคัญในภาพยนตร์ ตอน ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ นี้ อย่าง ‘เร็นโกคุ เคียวจูโร่’ ก็เข้าโผมากับเขาด้วย แล้วแบบนี้ เหล่าสาวกจะพลาดภาพยนตร์ตอนนี้ไปได้ยังไง
(อ่านต่อหน้า 2 คลิกด้านล่างเลย)
นอกจากความดีงามของพระเอก เราเลยต้องมาวิเคราะห์คาแรกเตอร์ของ ‘เร็นโกคุ เคียวจูโร่’ ตัวเด่นของภาคกันบ้าง เดิมในอนิเมะจะเห็นบุคลิกของเขาว่า เป็นเสาหลักเปลวเพลิงที่ดูมุ่งมั่น มีความตั้งใจ และมีความหนักแน่น แต่หากได้ชมภาพยนตร์แล้วละก็ มันไม่ง่ายเลยที่จะไม่เสียน้ำตาให้กับตัวละครตัวนี้ เพราะในภาพยนตร์นั้น ใช้ประโยชน์จากห้วงฝัน เล่าเรื่องราวในอดีต ทำให้เราค่อย ๆ ซึมซับคาแรกเตอร์ของตัวละคร และทำให้เราเข้าใจการกระทำของเขาได้อย่างละมุนละม่อม จากที่เห็นว่าบ้าดีเดือด ก็จะค่อย ๆ รู้สึกว่าคน ๆ นี้มีพลังใจที่สุดแสนจะเข้มแข็ง มีความเด็ดเดี่ยวที่น่านับถือ ทั้งยังรักและภักดีต่อพวกพ้องอย่างไม่น่าเชื่อ และเป็นคนดีที่น่าเคารพสุด ๆ ดังนั้นแล้ว เรื่องราวที่เขาต้องเจอในภาพยนตร์ตอนนี้ จึงทำให้เรารู้สึกหลงรักตัวละครและปั่นป่วนตามไปอย่างช่วยไม่ได้
สำหรับคาแรกเตอร์อื่น ๆ ที่ประกอบในเรื่องเองก็มีหลากมุมหลายมิติและเต็มไปด้วยเอกลักษณ์จดจำง่าย อาทิ แก๊งสามช่าเพื่อนพระเอกเราอย่าง ‘อากัตสึมะ เซ็นอิตสึ’ ที่ไร้ความมั่นใจ ขี้กลัวขึ้นสมองขัดกับความสามารถภายใน และ ‘ฮาชิบิระ อิโนะสุเกะ’ ที่บ้าบิ่นบ้าบอตลอดกาล ก็ช่วยดึงทั้งดราม่าและเสียงหัวเราะ จัดจังหวะให้เกิดความลงตัวไปกับเนื้อเรื่องได้ดี บรรยากาศในโรงจึงมีครบรส ทั้งเสียงหัวเราะ ตบมือชอบใจ นิ่งเงียบลุ้นทั้งโรง เกร็งตัวเดือดดาล และแอบสะอื้นกันเงียบ ๆ ซึ่งหลากหลายเกินคาดคนมาชม (อย่างเรา) ไปหลายขุม นับว่าวางตัวละครและโครงเรื่องกันมาเพื่อไต่กันให้ถึงจุดนี้ได้ดีจริง ๆ
องค์ประกอบดี งานเสียงเด่น
นอกจากเนื้อเรื่องหลัก การใช้องค์ประกอบอย่าง เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ชาติญี่ปุ่น และตำนานปีศาจต่าง ๆ ก็แทบถอดจุดแข็งของการ์ตูนสายผจญภัยแฟนตาซีมาได้หมด ระหว่างดูอนิเมะไป หลายครั้งที่เกิดภาพซ้อนกับอนิเมะแฟนตาซีผจญภัยในอดีตในตำนานอย่างอินุยาฉะขึ้นมาไม่ได้ ทั้งการจัดวางคาแรกเตอร์ตัวละครที่แตกต่างกันให้ผจญภัยไปเป็นกลุ่ม เรียนรู้เรื่องราวของแต่ละคนไปเรื่อย ๆ การไต่ระดับความยากเข็ญของการฝึกฝนและพัฒนาตัวละคร บรรดาลูกสมุนที่ค่อย ๆ ถูกส่งมาเรื่อย ๆ รวมถึงลักษณะการวางตัวและคาแรกเตอร์ของลาสต์บอส ก็อดทำให้นึกถึงอินุยาฉะไม่ได้จริง ๆ
กระทั่งฉากในเพลงตอนจบในซีรีส์อนิเมะก็ยังเป็นรูปดอกฮิกันบานะ ซึ่งเป็นดอกไม้ที่คนญี่ปุ่นยึดโยงกับเรื่องความตายไว้เหมือน ๆ กันด้วย (มุมภาพแทบจะเหมือนกันเป๊ะๆ ) สื่อให้เห็นว่าเป้นเรื่องที่ผจญความเป็นความตายในทำนองเดียวกันอีกด้วย
ก็ไม่รู้ว่าคนแต่งได้นำจุดแข็งจากการ์ตูนดังในอดีตมาประกอบเป็นเรื่องใหม่จริงรึไม่ แต่ที่แน่ ๆ องค์ประกอบเหล่านี้แหละที่ทำให้สาวกอนิเมะอย่างเราตามติดงอมแงม เพราะนอกจากจะลุ้นไปกับภารกิจของตัวละครแล้ว วัฒนธรรมความเชื่อที่ซ่อนอยู่ในเรื่อง ยังเสริมให้เนื้อเรื่องดูลึกลับน่าค้นหา เป็นมนต์เสน่ห์ที่เป็นแบบฉบับของการ์ตูนสไตล์นี้โดยเฉพาะ หากอินุยาฉะเคยดังได้ฉันใด ไยบะก็ดังตามด้วยเหตุผลคล้ายกันนี้ได้ฉันนั้น
(อ่านต่อหน้า 3 คลิกด้านล่างเลย)
นอกจากนี้ พลังเสียงของเรื่องนี้ยังทรงพลังเอามาก ๆ ทั้งงานพากย์ เสียงประกอบ เพลงเปิดปิดล้วนทำได้อย่างดีมาโดยตลอด เสริมอารมณ์ของเรื่องได้สุด ๆ ยิ่งเมื่อนำมาทำเป็นภาพยนตร์แล้ว ก็ยิ่งทวีความทรงพลัง ระบบเสียงที่หนักเบา ช่วยทำให้อารมณ์ของเราปลุกปั่นแปรปรวนคล้อยตามเรื่องได้อย่างพอเหมาะพอดี ดึงอารมณ์ให้อยู่กับเราได้นานขึ้น ยิ่งเพลงประกอบตอนจบนี่ละก็ นั่งน้ำตาแตกซึมซับกันไปจนจบเพลงกันเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ แม้จะอ่านมังงะมา รู้เนื้อเรื่องอยู่แล้วว่าเป็นมายังไง คนจำนวนไม่น้อยจึงยังอดทึ่งเมื่อเข้าโรงไปชมไม่ได้อยู่ดี และเพราะน่าจะบอกกันปากต่อปากแบบนี้แหละ คนเลยยิ่งแห่กันไปดู
ความละมุนในงานภาพที่ตัดกับเรื่องราวอันหนักหน่วงบีบหัวใจ
ในตอนที่เราเห็นลายเส้นนี้ในอนิเมะครั้งแรก ด้วยความที่ค่อนข้างจะดูใส ๆ และมุ้งมิ้ง จึงคิดไปเองว่า เนื้อหาก็คงไม่ได้หนักหน่วงอะไร แต่ยิ่งดูไปเรื่อย ๆ ความคิดก็เปลี่ยนไปในทันที อ้าว คุณหลอกดาวนี่นาาาาา
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ‘โคโยฮารุ โกโตเกะ’ นักเขียนหญิงเจ้าของเรื่องไยบะนี้ ก้าวเข้าสู่การ ‘มีชื่อ’ ในวงการ ด้วยรางวัลนักเขียนการ์ตูนหน้าใหม่ อัญมณีแห่งจัมพ์ ครั้งที่ 70 ในปี 2013 ด้วยผลงานการ์ตูน 45 หน้า เรื่อง ‘Kagarigari หรือ Demon Slayer’ ทว่าด้วยลายเส้นที่หลายคนเห็นแล้วไม่ค่อยโดนใจ ทำให้ผลงานเรื่องอื่น ๆ ที่ตามมาของเธอไม่ปังเสียที เมื่อจัมพ์ให้โอกาสเธอด้วยการเขียนการ์ตูนเรื่องยาว เธอจึงนำการ์ตูนที่เคยได้รับรางวัลมาทำต่อ ทำให้มังงะ ‘ดาบพิฆาตอสูร (Kimetsu no Yaiba)’ ถือกำเนิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม มังงะเรื่องนี้ก็ยังไม่ดังเปรี้ยง จนกระทั่งบริษัท Ufotable Studio นำมาทำเป็นอนิเมะ และทำให้ได้ผลลัพธ์เหนือคาดขึ้น งานวาดที่ดูไม่ค่อยเนี้ยบ หลอน ๆ แปลกๆ กลับดูสวยงามมีเสน่ห์อย่างประหลาดเมื่อผ่านมือทำอนิเมะ ทั้งยังรักษาความคมของลายเส้นได้อย่างคงเส้นคงวาตลอด 26 ตอนได้อย่างน่าทึ่ง ฉากทั้งหลายที่ใช้เทคนิค 3D เข้าช่วยก็ดูสวยงามมีความลึก แต่คงไว้ซึ่งเสน่ห์ของงาน 2D ไว้ได้อย่างน่าประหลาดใจ สีสันที่สวยสดตระการตา และรายละเอียดของฉากและเสื้อผ้าหน้าผมยิ่งทำให้อนิเมะเรื่องนี้ดูเลอค่าขึ้นไปอีกหลายขุม ขยี้อารมณ์ในแต่ละฉากให้ทะยานขึ้นไปอีกอย่างเหลือเชื่อ
แล้วก็ตูม… ประหนึ่งพลุระเบิดออก เมื่ออนิเมะเปิดตัวในปี 2019 สร้างกระแสฮิตติดลมอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่พูดถึงอยู่เนือง ๆ ดันให้การ์ตูนฉบับมังงะดังไปด้วยแบบงง ๆ และเมื่อฉายครบ 26 ตอน บริษัทผู้ผลิตอนิเมะก็ประกาศว่าจะทำฉบับภาพยนตร์ และนั่นก็นำมาสู่พลุลูกที่ 2 ที่ระเบิดตระการตาเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม
ดาบพิฆาตอสูรฉบับภาพยนตร์นั้น สามารถคงคุณภาพงานอนิเมะได้ค่อนข้างครบถ้วน เนียนไปทั้งเนื้อเรื่องและฉากต่าง ๆ กลืนกันไป ชนิดที่ดูต่อกันก็เชื่อมได้ติด นอกจากนี้ ความละมุนของการใช้แสงสี และดีเทลแต่ละฉากเมื่อถูกขยายขึ้นจอใหญ่ ก็ยิ่งดูน่าชื่นชม ในขณะเดียวกันก็ตอกย้ำลายเซ็นความเป็นอนิเมะภาพสวย โปรดักชันอลัง คงความเนี้ยบได้เป็นอย่างดี (ยิ่งฉากมุมกว้างเห็นทิวทัศน์และแสงยามเช้านี่ยิ่งตรึงใจมากบอกเลย)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่า ฝีมือของโคโยฮารุ ผู้วาด จะไม่โอเคเลยสักทีเดียว ถ้าหากว่า ไม่ได้เธอผู้เป็นต้นกำเนิด ออกแบบให้ลายเส้นดูออกมาในแนวมุ้งมิ้งมีดีเทลจัด ใส่ใจในรายละเอียดของเสื้อผ้าหน้าผมและองค์ประกอบอื่น ๆ ตามสไตล์นักเขียนหญิงตั้งแต่แรก ก็ไม่แน่ว่า ภาพยนตร์จะโด่งดังในวงกว้างขนาดนี้ก็ได้ เพราะถ้าเป็นผู้ชายวาด คนที่ติดตามอนิเมะเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นผู้ชายมากกว่า และคงเข้าไม่ถึงบรรดาเด็ก ๆ ทั้งชายหญิงในวงกว้างขนาดนี้
แม้จะดูเป็นส่วนผสมที่ประหลาด แต่พอรวมกันออกมาเป็นอนิเมะกลับชวนดูไปได้ ช่างน่าแปลกดีจริงๆ
เข้าถึงใจคนหลากเพศหลากวัย ไร้การแอนตี้จากผู้ปกครอง
แม้เนื้อเรื่องจะหนักหน่วงจนปวดใจหนึบ แต่อนิเมะเรื่องนี้กลับไม่ได้รับการต่อต้านจากผู้ปกครอง เหมือนเรื่องอื่น ๆ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้เส้นลายที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัยนี้ ดวงตาใส ๆ และรูปร่างปุกปิกของตัวละครนั้นดูแล้วออกจะช่วยเสริมให้บทรันทดดูน่าเอาใจช่วยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อไปผสานกับนิสัยอันแสนดีของพระเอก แน่นอนว่าพ่อแม่เองก็มองว่ามันเป็นตัวอย่างที่ดีอยู่เหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้ว หากมาคิดดี ๆ เนื้อหาที่หนักหน่วงมีแต่การฆ่าเต็มเรื่องไปหมดแบบนี้ไม่น่าจะหลุดรอดไปสู่สายตาเด็ก ๆ ได้เลย
ขณะเดียวกัน ยิ่งเดินเรื่องหนักหน่วงเท่าใด ความชัดเจนของคาแรกเตอร์ที่ไม่ยอมลงให้กับความชั่วร้ายก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น แล้วยังความพยายามชวนร้องไห้นั่นอีกล่ะ แทนที่จะห้าม ผู้ปกครองหลายคนเองก็กลายเป็นอินกับเรื่องนี้ไปด้วยซะได้
ด้วยองค์ประกอบที่มีทั้งหนักเบา ๆ ทั้งดูง่าย ดูสนุก มีมุกตลกแทรกตลอด ทั้งยังมีมิติเชิงลึก และแอบโหดในเรื่องเดียว ส่งผลให้เราได้เห็นโมเมนต์ดี ๆ ทันทีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายตั้งแต่รอบพรี นั่นคือการที่ผู้ใหญ่พาเด็กมานั่งดูด้วยกัน แน่นเต็มโรงไปหมดจนเหมือนพามาดูการ์ตูนเด็ก แต่ในขณะเดียวกัน เด็กวัยรุ่น ผู้ใหญ่วัยทำงานที่เป็นคอการ์ตูนสายนี้ (ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก) ก็พาเหรดกันมาด้วยเหมือนกัน เรียกได้ว่า ครองใจคนดูทุกเพศวัยไร้การต่อต้าน มีแต่จะบอกปากต่อปากกันไปเรื่อย ๆ และนั่นก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุให้ยอดรายได้ในโรงเลยพุ่งทะยานอย่างที่เห็น
แฟนคลับถกเถียงหนักจนต้องไปจัดเองสักหน่อย
อย่างที่กล่าวถึงความแตกต่างของมังงะและอนิเมะไว้ก่อนหน้านี้ ความที่ลายเส้นไม่สวยโดนใจ ทำให้ผู้อ่านแตกออกเป็น 2 เสียง ส่วนหนึ่งมองว่าเส้นสายไม่ได้มาตรฐาน เลยไม่อยากจะเสียความรู้สึกกับการลงทุนไปดูอนิเมะในโรง ขณะที่อีกเสียงมองว่าเนื้อเรื่องดีเกินกว่าจะเอาเรื่องลายเส้นมาต่อว่าได้ เลยอยากให้เปิดใจดูงานอนิเมะกัน และแถมท้ายให้ว่างานอนิเมะในโรงเองก็ถือว่าคุณภาพดี มีเอกลักษณ์ ควรคู่แก่การจ่ายเงินเข้าโรงชมอยู่ไม่น้อย
พอได้ยินแบบนี้คนอ่านมังงะจนจบแล้ว ก็รู้สึกว่าควรต้องไปดูสักหน่อย ส่วนสายอนิเมะที่ชื่นชอบอยู่แล้วก็ยิ่งโหมกระพือความนิยมต่อเนื่อง ส่วนที่ไม่รู้จักก็เลยชักสงสัยว่า ตกลงอนิเมะเรื่องนี้มันเด็ดยังไง ทำไมคนถึงแห่ไปดูมากมาย เลยกลายเป็นว่าส่วนหนึ่งคนอยากไปพิสูจน์ เลยไปรุมดูกันเต็มไปหมดนั่นเอง
อ่านมาถึงตรงนี้ หากใครยังไม่ได้ไปดู ก็ลองไปดูกันเถิด ไม่งั้นจะพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่องนะบอกเลยยยยย
อ้างอิง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส