What the Fact ได้นำเสนอหลายบทความที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากปี 2020 ไปแล้ว แน่นอนว่าสำหรับโลกภาพยนตร์นั้นเมื่อมียอดเยี่ยมก็ต้องมียอดแย่เป็นของคู่กัน (เช่นเดียวกับเมื่อมีรางวัลออสการ์ก็ต้องมีรางวัลราซซี่เน่า) ซึ่งในปีที่ผ่านมานั้น หนังที่ทำออกมาได้ไม่สมกับการรอคอย ทั้ง ๆ ที่มีนักแสดงและทีมงานสร้างชั้นดี แต่กลับประสบความล้มเหลวด้านคำวิจารณ์ ก็ยิ่งเจอสถานการณ์ซ้ำร้ายจากโควิด ยิ่งทำให้หนังที่ในสถานการณ์ปกติอาจจะทำเงินได้บ้างจากการขายดาราดัง รายได้ก็ยิ่งพังพินาศไปกันใหญ่ และนี่คือหนังในกลุ่มที่ว่ามา ซึ่งรวมถึงหนังจากสตรีมมิงอย่าง Netflix และ Disney+ ด้วย
AVA
ต้องบอกว่าปกติแล้วนักแสดงสาวมากความสามารถและเคยเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 2 ครั้งอย่าง Jessica Chastain นั้นมักเลือกเล่นหนังไม่พลาด จนมาถึงเรื่องนี้ที่เธออำนวยการสร้างเองผ่านบริษัท Freckle Films เดิมทีนั้นได้ให้ Matthew Newton จาก From Nowhere (2016) มารับหน้าที่กำกับ แต่เกิดต้องเปลี่ยนตัวตอนปี 2018 สุดท้าย Chastain จึงได้ Tate Taylor จาก The Help (2011) ซึ่งส่งให้เธอเข้าชิงออสการ์ครั้งแรกและ The Girl on the Train (2016) มากำกับ ซึ่งเรียกได้ว่าการเอาผู้กำกับสายหนังดราม่ามากำกับหนังแอ็กชันนั้น ผิดฝาผิดตัวอย่างแรง
Ava ว่าด้วยเรื่องราวของนักฆ่าฝีมือฉกาจทำผิดกฎขององค์กร เธอจึงถูกสั่งเก็บ (ทั้งเรื่องมีเนื้อหาอยู่แค่นี้จริง ๆ ) สมทบด้วยนักแสดงเกรดดี ทั้ง Colin Farrell จาก Fantastic Beasts and Where to Find Them (2016), John Malkovich จาก Being John Malkovich (1999), Ioan Gruffudd จาก Fantastic Four (2005), Common จาก Wanted (2008) และรุ่นเดอะ Geena Davis จาก Thelma & Louise (1991) ซึ่งทุกคนแทบจะมาเล่นแบบแก้ขัด หนังยังทิ้งท้ายบทสรุปของเรื่องอย่างค้างคาแบบอยากให้มีภาคต่อ ซึ่งจากความล้มเหลวทางรายได้แค่ 3 ล้านเหรียญฯ ทั่วโลก ก็คิดว่าไม่ได้สานต่อแน่ ๆ อ้อ…ข้อดีอย่างเดียวของหนังคือชื่อไทยว่า “มาแล้วฆ่า” อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 17% / 5.4/10)
BLOODSHOT
Vin Diesel ยังคงเจออาถรรพ์ที่ไม่สามารถดันหนังที่แสดงนำเรื่องอื่น ๆ นอกจากแฟรนไชส์ฮิตอย่าง Fast & Furious ประสบความสำเร็จได้เลย โดยเรื่องนี้แม้จะเปลี่ยนแนวมาแสดงในหนังแอ็กชันไซไฟซึ่งเอื้อให้ประสบความสำเร็จมากแล้วก็ตาม หนังแฟรงเกนสไตน์ฉบับซูเปอร์ฮีโร เล่าเรื่องราวของนักฆ่าที่เข้าโครงการคุ้มกันพยาน แต่ถูกหักหลังและนำตัวไปทดลองในการสร้างสุดยอดนักฆ่าขององค์กรลับ ทำให้เขาสูญเสียความจำไปทั้งหมด และกลายเป็น Bloodshot ผู้ที่มีพลังซ่อมแซมตัวเอง และยังเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ได้
แม้ว่าจะมีนักแสดงสมทบมือดีมากมายทั้ง Guy Pearce จาก Iron Man 3 (2013), Toby Kebbell จาก Kong: Skull Island (2017) และ Eiza González จาก Hobbs & Shaw (2019) แต่หนังที่ไม่มีความแปลกใหม่ และมากับพล็อตที่ซ้ำซาก รวมถึงแทงกั๊กจะไปเล่าในภาคต่อ ก็ซ้ำรอยหนังหลาย ๆ เรื่องที่ไม่น่าได้มีภาคต่อตามออกมาเพราะความล้มเหลว ส่วนหนึ่งอาจเพราะการได้ผู้กำกับหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์ Dave Wilson ผู้กำกับที่มาจากสายงานเทคนิคพิเศษมากำกับด้วย ใครอยากพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง ตามไปดูได้ใน Netflix ตอนนี้ อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF(Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 29% / 5.7/10)
BRAHMS: THE BOY II
หนังบางเรื่องนั้นคนดูอาจจะถามว่า ภาคแรกที่จบในตัวอย่างดีแล้ว จะมีภาคต่อ (ที่คุณภาพอิหยังวะมาก ๆ) ตามออกมาทำไม กับ Brahms เรื่องนี้ก็เช่นกัน หนังเป็นภาคต่อของหนังที่ได้ชื่อไทยว่า “ตุ๊กตาซ่อนผี” ที่เข้าฉายเมื่อปี 2016 ภาคแรกเล่าเรื่องราวของพี่เลี้ยงเด็กที่รับจ้างให้มาดูแลลูกชายของสามีภรรยาคู่หนึ่งในคฤหาสน์โบราณแสนสยองขวัญ ต่อมาเธอพบความจริงว่าลูกของทั้งคู่คือ ตุ๊กตาแทนตัวลูกชายชื่อ Brahms ที่ตายไปนานแล้ว จนกระทั่งเธอพบกับความสยองเมื่อตุ๊กตาบราห์มตัวนั้นขยับได้
ภาคต่อยังได้ William Brent Bell จาก The Devil Inside (2012) และ Stay Alive (2006) ที่กำกับภาคนี้ได้แตกต่างจากภาคแรกอย่างมาก โดยภาคนี้บอกเล่าเรื่องราวของอีกครอบครัวหนึ่งที่ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์เดียวกับภาคแรก แล้วลูกชายของครอบครัวก็ได้ไปพบตุ๊กตาบราห์มและกลายเป็นเพื่อนกัน หนังหลุดไปจากมาตรฐานของหนังสยองขวัญมาก ช่วงเวลาให้ลุ้นระทึกค่อนข้างน้อย ไม่มีฉากที่น่ากลัวถึงขั้นต้องปิดตา ไม่มีฉากเสียว ฉากเลือด มุกที่น่ากลัวที่สุดก็ซ้ำเดิมจากภาคแรกเป๊ะ อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 10% / 4.6/10)
DOLITTLE
หนังคว่ำเรื่องแรกแห่งปี 2020 ตั้งแต่เดือนมกราคม ตั้งแต่สถานการณ์โควิดยังไม่ลุกลามไปทั่วโลก ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้โทษนอกจากคุณภาพของตัวหนังเองล้วน ๆ ทำให้แม้แต่หนังจะนำแสดงโดย Robert Downey Jr. ที่ปีก่อนหน้าเพิ่งฮอตสุด ๆ จาก Avengers: Endgame (2019) ก็ไม่ช่วยอะไร หนังสร้างจากนิยายดังในอดีตและเคยมีเวอร์ชันหนังมาแล้วหลายครั้ง ส่วนครั้งนี้ Wall Street Journal ก็ได้เปิดเผยสาเหตุที่หนังล้มเหลวว่า มีเหตุมาจากการเข้าแทรกแซงการถ่ายทำของสตูดิโอผู้สร้างและผู้อำนวยการสร้าง
Dolittle ทุนสร้างกว่า 175 ล้านเหรียญฯ แต่ทำรายได้เปิดตัวไปแค่ 22.5 ล้านเหรียญฯ (ลำพังค่าตัวของ Downey Jr. เรื่องนี้ก็ปาไป 20 ล้านเหรียญฯ แล้ว) ประสบปัญหาถ่ายซ่อมที่ใช้เวลากว่า 9 เดือนจนต้องถูกโยกมาลงช่วงเวลาของหนังถูกโละ ค่าย Universal สั่งผู้กำกับถึง 2 คนอย่าง Chris McKay จาก The Lego Batman Movie (2017) และ Jonathan Liebesman จาก Teenage Mutant Ninja Turtles (2014) เข้ามาถ่ายซ่อมหนังเป็นเวลา 3 สัปดาห์เพื่อให้มีฉากฮาอเอาใจกลุ่มผู้ชมอายุน้อยและผู้ชมในต่างประเทศมากขึ้น จากเดิมที่หนังมีแต่โทนของความจริงจังและหดหู่จากชะตากรรมของตัวละครบางตัว ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Stephen Gaghan ผู้ทำหนังดราม่ามาโดยตลอด อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 10% / 4.6/10)
FANTASY ISLAND
หนังรีเมกจากหนังชุดทางทีวีในยุค 80s ว่าด้วยเรื่องราวของเกาะในฝันที่สามารถเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างที่ใจปรารถนาและจินตนาการเอาไว้ ให้กลายเป็นความจริงเมื่อคุณย่างเท้าเข้ามาในเกาะแห่งนี้ และหลายอย่างที่ไม่สามารถทำได้ในชีวิตจริง เช่น การได้แก้แค้นคนที่เคยทำไม่ดีไว้ การได้พบคนรักที่ตายไปแล้ว และได้สวมบทเป็นตัวละครตามโลกในจินตนาการ แต่หนังเรื่องนี้ก็เฉลยว่า ไม่มีอะไรฟรีและต้องมีสิ่งต้องแลกเสมอ นี่อาจเป็นผลงานที่ล้มเหลวไม่กี่เรื่องจาก Blumhouse สตูดิโอผู้สร้างหนังสยองขวัญแห่งยุคที่อยู่เบื้องหลังหนังฮิต ๆ มากมาย
แม้ว่าหนังจะได้ผู้กำกับมีประสบการณ์ Jeff Wadlow จาก Truth or Dare (2018) และ Kick-Ass 2 (2013) และทำรายได้ทั่วโลกไป 47 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 7 ล้านเหรียญฯ ซึ่งถือว่ากำไร แต่หากมองที่คุณภาพของหนัง ก็เต็มไปด้วยความอิหยังวะไม่ลงตัวตั้งแต่เส้นเรื่องยิบย่อยที่พาออกทะเล รวมทั้งนักแสดงขาด ๆ เกิน ๆ การคลี่คลายและให้เหตุผลก็ทำอย่างกับหนังเกรดบี รวมถึงการเฉลยปมแบบผิดที่ผิดทาง โดยสรุปแล้วการรีเมกหนังเรื่องนี้อาจไม่จำเป็นและมีแค่หนังเวอร์ชันปี 70s อาจจะดีอยู่แล้ว อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 7% / 4.9/10)
FORCE OF NATURE / FATMAN
Mel Gibson หนึ่งในนักแสดงเคยดังจากยุค 80s ที่ติดเข้ามาอยู่ในลิสต์นี้ก็มาทีเดียว 2 เรื่องในปีนี้ เรื่องแรก Kate Bosworth จาก Superman Returns (2006) และ Emile Hirch จาก Speed Racer (2008) นักแสดงเคยดังกลับมารวมตัวกันในหนังอาชญากรรมท่ามกลางภัยพิบัติทางธรรมชาติ Force of Nature หนังเล่าเรื่องของ อดีตตำรวจนักสืบที่เกษียณไปแล้วแต่ไม่ยอมหนีพายุตามคำรบเร้าของลูกสาวที่เป็นพยาบาล แต่เมื่อตำรวจหนุ่มสายตรวจมาไล่พวกเขาให้รีบอพยพ ก็พบความจริงว่าที่อดีตนายตำรวจคนนี้ไม่ยอมหนี ก็เพราะดักรอแก๊งโจรที่หนีการจับกุมไปได้กลับมาที่ตึกนั้นในตอนที่ไม่มีคนอยู่เพื่อชิงเงินมหาศาลที่ซุกซ่อนเอาไว้ สุดท้ายแล้วก็คือหนังเกรดบีเรื่องหนึ่งที่ได้ดาราเคยดังมาร่วมแสดง (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 9% / 4.5/10)
ส่วนอีกเรื่องก็พยายามทำตัวเป็นหนังแสบสุดจี๊ดแต่ก็ไปได้ไม่ถึงฝัน Gibson รับบทเป็นซานตาคลอสมาดนักเลง เขากำลังประสบปัญหาด้านธุรกิจ ทำให้ต้องจำใจเป็นหุ้นส่วนกับกองทัพสหรัฐฯ ซ้ำร้ายกว่านั้น เมื่อมีเด็กคนหนึ่งไม่พอใจที่ได้ของขวัญจากเขาเป็นถ่านดำ ๆ หนึ่งก้อน จึงได้จ้างมือปืนมาฆ่าเขา ซานต้าปืนโหดคนนี้จึงต้องดวลปืนชิงไหวชิงพริบกับมือปืนจอมกะล่อนที่บุกมาเหยียบถึงถิ่น สุดท้ายแล้วหนังก็กลายเป็นหนังเกรดบีที่ Gibson ถือปืนอีกเรื่องหนึ่ง (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 46% / 5.9/10)
THE GRUDGE
หนังบางเรื่องก็ไม่ควรมีภาคต่อแล้ว (The Grudge 2 (2006) ถูกจัดอยู่ใน 12 หนังภาคต่อยอดแย่ที่สุดตลอดกาล) ภาครีเมกถ้าไม่มั่นใจว่าจะออกมาดีก็อย่าทำเลยน่าจะดีกว่า เช่นเดียวกับ The Grudge ฉบับรีเมกเรื่องนี้ แทนที่จะปลุกผีแต่กลับตอกฝาโลงแฟรนไชส์สุดฮิตจากญี่ปุ่นเรื่อง Ju-on เสียสนิทในสหรัฐฯ แม้ว่าหนังจะได้ Sam Rami เจ้าพ่อหนังสยองขวัญจาก The Evil Dead (1981) มาอำนวยการสร้าง แต่ผู้กำกับใหม่อย่าง Nicolas Pesce นั้นอาจยังไม่เชี่ยวชาญพอ รวมถึงตัวหนังผีตามสูตรสำเร็จแบบนี้ก็เสื่อมมนต์ขลังไปเยอะแล้วในสหรัฐฯ
หนังฉบับรีบูตนี้ได้ย้ายสถานที่จากโตเกียวมาสู่สหรัฐอย่างเต็มตัว และเป็นไทม์ไลน์ที่อยู่ระหว่างหนัง The Grudge (2004) กับ The Grudge 2 (2006) ที่ขยายคำสาปจาก ผีคายาโกะกับผีโทชิโอะ ลูกชายของเธอ มาสู่คำสาปบทใหม่กับบ้านต้องสาปที่มาพร้อมกับผีจอมอาฆาต (จู-ออน) ที่พร้อมจะตามหลอนใครก็ตามที่เหยียบย่างเข้าไปในบ้านด้วยความตายอันโหดร้ายทารุณ อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 21% / 4.3/10)
THE NEW MUTANTS
เป็นไปตามความคาดหมายสำหรับความล้มเหลวของหนังในตระกูลมนุษย์กลายพันธ์ุ X-Men เรื่องสุดท้ายที่ผลิตภายใต้ชายคาค่าย 20th Century Fox ซึ่งถูกควบรวมกิจการเป็นของ Disney หนังเลื่อนฉายสิริรวมแล้วทั้งสิ้น 8 ครั้ง และสุดท้ายหนังกลายเป็นเจ้าของเสียงวิจารณ์ระดับย่ำแย่ ส่วนรายรับทั่วโลกไป 45 ล้านเหรียญฯ ที่ห่างจากทุนสร้าง 67 ล้านเหรียญฯ บทเรียนครั้งนี้จึงกลายเป็นทั้งบทเรียนของค่ายหนังเองที่เลือกผู้กำกับที่ไม่เหมาะสม เพราะ Josh Boone ผู้กำกับจาก The Fault in Our Stars (2014) นั้นไม่เคยมีประสบการณ์ทำหนังวัยรุ่นหรือหนังสยองขวัญ
สื่อ The Vulture บอกว่า แผนเดิมของ The New Mutants นั้นจะถูกสร้างให้มีฉากหลังอยู่ใน 80s เพื่อเชื่อมกับตัวละครในไทม์ไลน์หลักของเรื่อง X-Men: Apocalypse (2016) แต่หลังจากที่ Apocalypse ได้รับคำวิจารณ์ไม่ค่อยดีและรายได้ก็ไม่ดีนัก Fox เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผน โยนบทร่างแรกของ Boone และมือเขียนบท Knate Lee ที่ต้องการสร้างหนังออกมาในแบบของหนัง The Breakfast Club (1985) ที่ผสมผสานความสยองขวัญเข้าไป ถึงอย่างนั้น ฟาก Fox ก็เปิดเผยข้อมูลว่า บทของทั้งคู่ที่เริ่มเขียนกันมาตั้งแต่ปี 2015 นั้น ไม่ได้มีความเป็น “หนังวัยรุ่น” อย่างที่เสนอแนวคิดมาตอนแรกเลย แถมความตลกห่าม ๆ ที่เป็นเสน่ห์ของหนังแนวนี้ก็หายไปหมด
แหล่งข่าวใน Fox ยังเปิดเผยอีกว่า บทของ Boone และ Lee ยังทำลายภาพลักษณ์ตัวละครอันเป็นที่รักของแฟน ๆ อย่าง Storm มนุษย์กลายพันธุ์ที่พลังสามารถควบคุมดินฟ้าอากาศได้ แต่ทั้งคู่กลับเปลี่ยนให้เธอเป็น ผู้คุมจอมบงการที่จับเด็ก ๆ มาทรมานใน The New Mutants ด้วย ทำให้ Fox ต้องดึงมือเขียนบทหลายคนมาแก้บทหนังนั้นคือ Scott Neustadter และ Michael H. Weber จากหนังรักวัยรุ่น The Fault in Our Stars (2014) ที่ Boone ก็เป็นคนกำกับเอง แต่ Boone กลับไม่สนใจบทที่ถูกแก้เหล่านั้น หนำซ้ำยังคงเขียนบทร่วมกับ Simon Kinberg ผู้กำกับ X-Men: Dark Phoenix (2016) ซึ่งเป็นผู้เขียนบทหนัง X-Men มาโดยตลอด ก่อนที่จะชิมลางเป็นผู้กำกับในภาคนี้และทำหนังดิ่งเหวแบบตอกฝาโลงแฟรนไชส์ไปเลย อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 21% / 4.3/10)
SEBERG
หนังประวัติศาสตร์การเมืองอิงเหตุการณ์จริงของ Jean Seberg นักแสดงอเมริกันเจ้าแม่หนังแนว เฟรนช์ นิว เวฟที่โด่งดังตั้งแต่ช่วงปี 1960 เป็นต้นมา หนังไม่ได้เล่าถึงความดังของเธอในฐานะนักแสดงที่เล่นหนังทั้งในฝั่งฮอลลีวูดและประเทศฝรั่งเศส แต่เล่าถึงถึงการที่ตัวเธอเริ่มเข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิของคนผิวดำด้วยการบริจาคเงินให้คนกลุ่มนี้ซึ่งเธอเชื่อมั่น ซึ่งในเวลาต่อมา ตกเป็นเป้าการโจมตีของรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านหน่วยงานทรงอิทธิพลอย่าง FBI ซึ่งกดดันเธออย่างหนัก จนเธอเสียสุขภาพจิตและเผยว่า เคยคิดฆ่าตัวตาย และสุดท้ายเธอก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ก่อนจะพบร่างของเธออยู่ในรถยนต์ตัวเอง
ฟังดูจากเนื้อเรื่อง หนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริงแบบนี้น่าจะกลายเป็นหนังดราม่าเข้มข้นระดับเข้าชิงรางวัลได้ไม่ยาก แต่หนังที่กำกับโดย Benedict Andrews ที่มีผลงานกำกับไม่มากนักก็พาหนังไปไม่ถึงฝั่งฝัน ทำรายได้ทั่วโลกไปแค่หลัก 585,845 เหรียญฯ และคำวิจารณ์ย่ำแย่ ส่งผลให้แม้จะมีนักแสดงชื่อดังทั้ง Kristen Stewart จากแฟรนไชส์ Twilight (2008-2012) (ที่พักหลังหันมาเอาดีทางหนังดราม่า และผลงานเรื่องต่อไปคือการรับบทเป็นเจ้าหญิง Diana), Anthony Mackie จาก Avengers: Endgame (2019), Vince Vaughn จาก The Wedding Crashers (2005) และ Jack O’Connell จาก Unbroken (2014) กลายเป็นหนังธรรมดา ๆ เรื่องหนึ่งไปเสียอย่างนั้น (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 36% / 5.7/10)
SURVIVE THE NIGHT / HARD KILL
Survive the Night หนังแอ็กชันเลือดสาดที่ได้ Bruce Willis แสดงนำ เรื่องราวของครอบครัวหนึ่งซึ่งต้องเผชิญการบุกบ้านจาก 2 อาชญากรตัวร้ายที่หลบหนีตำรวจระหว่างการจับกุม พี่ชายของโจรบังคับข่มขู่ให้ศัลยแพทย์เจ้าของบ้าน (รับบทโดยอดีตพระเอกหน้าใส Chad Michael Murray จาก Freaky Friday (2003)) ผ่าตัดช่วยเหลือน้องชายให้รอดตาย ไม่อย่างนั้นจะฆ่ายกครัวบ้านนี้ ฟังจากเนื้อเรื่องแล้วก็ดูเป็นหนังเกรดบีฟอร์มเล็กอยู่แล้ว คุณภาพของหนังก็ยิ่งเหมือนเป็นงานฆ่าเวลาของ Willis มากกว่า หนังทุนสร้าง 3.5 ล้านเหรียญฯ ทำรายรับรวมทั่วโลกไปแค่ 220,156 เหรียญฯ เท่านั้น (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 14% / 4.7/10)
ส่วนอีกเรื่องที่ฟอร์มหนังอยู่ในโทนใกล้ ๆ กันก็คือ Hard Kill เมื่อเศรษฐีระดับโลกต้องจ้างทหารระดับมือพระกาฬมาเพื่อปกป้องผลงานอันล้ำค่า ท้ายที่สุดเขาดันต้องมาช่วยเหลือลูกสาวซึ่งถูกจับตัวไปโดยกลุ่มก่อการร้ายที่หวังแย่งชิงผลงานของเช่นกัน Willis รับบทเป็นเศรษฐีจึงไม่ต้องบู๊เอง แต่นักแสดงคนอื่นในเรื่องนั้นเป็นนักแสดงโนเนมทั้งหมด ทั้ง Jesse Metcalfe และ Tyler Jon Olson (คนนี้เล่นทั้ง Survive the Night เรื่องบน และ Force of Nature ของ Mel Gibson ที่เล่าไปแล้ว เรียกว่าเล่นหนังเกรดบีไปหลายเรื่องในปีที่ผ่านมา) คนอึดจึงมารับหน้าที่เป็นป๋าดันที่ดันไม่ขึ้น ทำรายได้รวมทั่วโลกไป 111,523 เหรียญฯ (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 0% / 3.7/10)
365 DNI
แม้ว่าจะได้เป็นหนังที่คนไทยค้นหาชื่อหนังผ่าน Google มากที่สุดของปี 2020 รวมถึง คอนเทนต์แนวอีโรติกยังคงเป็นที่ถูกอกถูกใจของคอหนังสตรีมมิงบ้านเรา เพราะ Fifty Shade of Grey (2015-2018) ทั้ง 3 ภาคที่กลับมาลงสตรีมทาง Netflix ก็ได้รับความนิยมขึ้นมาติดการจัดอันดับ Top 10 ของสตรีมมิงเจ้านี้ แต่หนัง 365 DNI หรือในสหรัฐฯ ฉายในชื่อ 365 Days เรื่องราวของมาเฟียหนุ่มหล่อที่จับสาวสวยมากักขังและจะทำให้เธอชอบภายใน 365 วัน ในแง่คุณภาพนั้นอาจจะสวนทางกับความชอบของนักวิจารณ์ เพราะซัดไป 0% บนเว็บมะเขือเน่า Rotten Tomatoes
เนื้อหาเน้นหนักและตั้งหน้าตั้งตาขายไปที่ความแซบซ่าน วาบหวิว ดุเดือดเผ็ดร้อนของการบรรเลงเพลงรักระหว่างพระเอก นางเอก ประมาณ 90% ของเรื่อง ขายจริงจังโดยมีเป้าสายตาไปที่ทรวดทรงองเอวของพระเอกมากกว่านางเอก 365 DNI เป็นอีโรติกติดเรตที่มุมกล้องปลอดภัยแต่ไม่ต้องเปลืองจินตนาการกันบวกกับเพลงประกอบในช่วงนั้นยิ่งฮาร์ดเซลเข้าไปอีก แต่ถ้าอยากได้เนื้อหาอะไรมากกว่านี้ไม่ต้องหา เหตุผลในการดำเนินเรื่องก็หาไม่เจอเช่นกัน อ่านรีวิวเรื่องนี้ของ WTF (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 0% / 3.2/10)
ARTEMIS FOWL
น่าเสียดายที่หนังจากวรรณกรรมเยาวชนสุดฮิตเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ถูกดัดแปลงเป็นหนังช้าไปมากจนแฟน ๆ เสื่อมความนิยมไปหมดแล้ว รวมถึงการได้ผู้กำกับอย่าง Kenneth Branagh ที่แม้จะทำหนังพีเรียดเทพนิยายหรือหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ ได้ดี เช่น Thor (2011), Cinderella (2015), Murder on the Orient Express (2017) แต่พอเขาได้มาจับงานแอ็กชันแฟนตาซีที่อยู่ในโลกปัจจุบันขึ้นมาก็มักจะมือไม่ถึงเสมอ เช่นตอนกำกับ Jack Ryan: Shadow Recruit (2014) ซึ่งกับเรื่องนี้ซึ่งเป็นสมบัติของ Fox เดิม หนังก็ถูก Disney ส่งไปลง Disney+
หนังหยิบเรื่องราวของนิยายเล่มแรกนั้น มาทำเป็นหนังเล่าถึง Artemis Fowl หรือ Arty เด็กหนุ่มอัจฉริยะวัย 12 ปีผู้มีสมองปราดเปรื่องมาก แต่กลับฝักใฝ่กิจกรรมนอกกฎหมาย เขาได้รับการฝึกฝนด้านการต่อสู้และการเอาตัวรอดมาจาก Artemis Fowl คนพ่อ (รับบทโดย Colin Farrell) ผู้เป็นนักเก็บสะสมของวิเศษในตำนานที่ถูกลักพาตัวไป โดยบุคคลลึกลับจากโลกของเอลฟ์แฟรี่ อาร์ทิมิส ฟาวล์ ได้ค้นพบความลับเรื่องอาชีพสุดวิเศษของพ่อ และเขาก็ต้องไขปริศนาว่าใครอยู่เบื้องหลังการจับตัวพ่อของเขาไป ขณะเดียวกันก็ช่วยโลกให้พ้นอันตรายไปด้วย หนังได้รับคำวิจารณ์ย่ำแย่ และหมดโอกาสจะมีภาคต่อแน่นอน (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 8% / 4.2/10)
THE LAST THING HE WANTED
ใครจะไปนึกว่าหนังที่มีนักแสดงระดับพรีเมียมทั้ง Anne Hathaway, Ben Affleck และ Willem Dafoe จะกลายเป็นหนังที่ดูสนุกไปจนถึงไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ผลงานของผู้กำกับหญิง Dee Rees ที่เคยมีผลงานเก่า Mudbound (2017) ที่เป็นระดับหนังคุณภาพเข้าชิง 4 ออสการ์ และทำให้กับ Netflix เหมือนกัน สร้างผลงานได้อย่างผิดฟอร์มเหมือนคนละคนกับหนังเรื่องที่ว่า The Last Thing He Wanted เล่าเรื่องราวของ ดัดแปลงจากนิยายชื่อดังปี 1996 ในชื่อเดียวกันของ Joan Didion ซึ่งเป็นการนำประสบการณ์ของเธอในการทำงานติดตามข่าวในประเทศนิคารากัวมาทำเป็นหนัง หนังจับเหตุการณ์ในช่วงปี 1984 ขณะที่การหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาถึงโค้งสุดท้าย และ Ronald Regan ยังได้ความนิยม Elena McMahon เป็นนักข่าวจาก Atlantic Post ที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามข่าวการเลือกตั้ง
เธอมองเห็นปัญหาที่ยังไม่ถูกตีแผ่อย่างจริงจังจากรัฐบาลของ Regan จากสายตาของนักข่าวหญิงที่มองเห็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ล้มตาย คนเกิดความขัดแย้งโดยมีสหรัฐฯ เป็นผู้มีสร้างปัญหา และหยิบยื่นอาวุธให้เกิดสงครามในประเทศแห่งนั้น แต่ต่อมาหนังสือพิมพ์ก็ถูกคนของรัฐบาลบีบให้เลิกตามข่าวดังกล่าวอยางเจ็บปวด ขณะเดียวกัน หนังก็ทำให้ได้เห็นอีกด้านที่ย่ำแย่ของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการต้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทิ้งลูกให้เรียนโรงเรียนประจำ เป็นมะเร็งเต้านม ดูแลพ่อเจ้าปัญหา ชีวิตที่อาจถูกข่มขู่จากเจ้าหน้าที่รัฐได้ทุกเมื่อ น่าเสียดายที่หนังถูกนำเสนออย่างผิดที่ผิดทาง ผู้กำกับไม่ถนัดในงานเขย่าขวัญจึงเลือกนำเสนอรายละเอียดชีวิตนักข่าวไปเกือบครึ่งเรื่อง ขณะที่ช่วงไล่ล่าก็ปราศจากบรรยากาศกดดันเพียงพอ หนังจึงดูไม่น่าเชื่อถือ บางช่วงก็ผ่อนเรื่องราวจนไม่อาจตรึงคนดูให้รู้สึกร่วมลุ้นไปกับตัวละครได้เลย (Rotten Tomatoes Score/iMDB Rating: 5% / 4.3/10)
THE LAST DAYS OF AMERICAN CRIME
ดัดแปลงจากนิยายภาพเรื่อง Deadly Class ของ Rick Remender และ Greg Tocchini เรื่องราวเกี่ยวกับโลกอนาคตอันใกล้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมใช้เทคโนโลยีชนิดใหม่ที่จะปล่อยออกมาเป็นสัญญาณเสียง ส่งผลให้ผู้ที่จะก่อคดีอาชญากรรมร้ายแรงใด ๆ ก็ตามจะหยุดชะงักทันที ทำให้ต่อไปจะไม่มีใครก่ออาชญากรรมได้ พระเอกของเรื่องเป็นโจรมืออาชีพที่ถูกลูกชายของเจ้าพ่อมาเฟียชวนไปโจรกรรมเงินนับล้าน โดยหวังสร้างชื่อให้ตัวเองเป็นโจรคนสุดท้ายที่ทำงานได้สำเร็จก่อนยุคสิ้นสุดอาชญากรรม ทั้งคู่ได้รับความช่วยเหลือจากแฮกเกอร์สาวมือฉมัง
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับที่ผ่านงานหนังแอ็กชันฟอร์มกลาง ๆ มาแล้วหลายเรื่อง แต่มาถึงเรื่องนี้นักวิจารณ์ต่างลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้กำกับ Olivier Megaton จากTaken 2-3, Transporter 3 นั้นมือไม่ถึง แม้พล็อตจะดูดุดันแต่เรื่องกลับโหมโรงแบบอ้อยอิ่ง ใช้เวลาแนะนำตัวละครหลักทั้ง 3 คน รวมถึงตัวละครสมทบอื่นอีกหลายตัวนานเกินไป กว่าจะถึงฉากแอ็กชันดุเดือดแบบจัดเต็ม ไป ๆ มา ๆ 1 ชั่วโมงแรก (จากเวลารวม 2 ชั่วโมง 28 นาที) หนังมีฉากติดเรตค่อนข้างเยอะแต่นางเอกนั้นไร้เสน่ห์ ฉากแอ็กชันขาดความสมเหตุผล เมื่อเทียบกับเนื้อหาและไฮไลต์ที่คนต้องการดูฉากปล้นที่กว่าจะมาก็ท้ายเรื่อง จึงไม่น่าแปลกว่าทำไมถึงได้ 0% จะเว็บมะเขือเน่า ชวนอ่าน 10 หนังอิหยังวะ? “พังพินาศ” จนต้องคว้า 0% บนเว็บมะเขือเน่า
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส