แดนนี่ คอลลินส์ เป็นศิลปินระดับซูเปอร์สตาร์ วัย70บวกๆ อยู่ในวงการมาแล้วถึง 40ปี ในวันเกิดของเขา ผู้จัดการส่วนตัวก็เซอร์ไพรซ์ด้วยการเอาจดหมายที่จอห์น เลนนอนเขียนด้วยลายมือส่งถึงเข้าเมื่อปี 1971 ผ่านนิตยสารฉบับหนึ่ง แต่คอลัมนิสต์ขโมยไปขาย ใจความคือจอห์น เลนนอนชื่นชมในฝีมือการเขียนเพลงของเขา แดนนี่ คอลลินส์เทิดทูน จอห์น เลนนอน อยู่แล้วเป็นการส่วนตัว เนื้อหาในจดหมายกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตในบั้นปลายของเขา แดนนี่ ล้มเลิกทัวร์คอนเสิร์ต กลับมาซุกตัวเขียนเพลงอีกครั้งในรอบ30ปี และกลับไปสานสัมพันธ์กับ ทอม ลูกชายที่เขาไปไข่ทิ้งไว้ไม่เคยพบหน้าเลยตั้งแต่เกิด ทำให้ทอม ไม่ยินดีต้อนรับ คุณพ่อซูเปอร์สตาร์ของเขา ก็ไปลุ้นดูกันครับว่า แดนนี่ ศิลปินที่ได้ใจคนนับล้านจะเอาชนะใจลูกชายได้ไหม

al-pacino-and-bobby-cannavale-in-danny-collins.jpg_srz_616_412_75_22_0.50_1.20_0

หนังอิงจากเรื่องจริงบางส่วนของ สตีฟ ทิลสตันศิลปินเพลงโฟล์คที่ได้รับจดหมายจากจอห์น เลนนอน หลังจากผ่านไป40ปีแล้ว แต่สตีฟ ไม่ได้เป็นศิลปินดังอย่างแดนนี่ คอลลินส์ ตัวละครในเรื่อง หนังถูกดัดแปลงเรื่องราวออกมาเป็นดราม่า-คอมมีดี้ที่ลื่นไหลเกินคาด ด้วยฝีมือ แดน โฟเกิลแมน ที่กำกับเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แต่แดนนี่ช่ำชองประสบการณ์มากในเรื่องงานเขียนบท โดยเฉพาะหนังการ์ตูนและหนังคอมมีดี้นี่ถนัดมาก car(2006) car2(2011) fred claus(2007)และ last vegas(2013) พอรอบนี้ได้กำกับบทที่ตัวเองเขียน เลยควบคุมจังหวะการปล่อยมุกได้อย่างใจ ยิงไปได้เสียงหัวเราะกลับมาตลอด เล่นมุกได้สนุกกับความเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ปรากฎตัวที่ไหนคนก็กรี๊ดกร๊าดตื่นเต้น เยี่ยมมากกับมุกในบทสนทนา การประชดประชันที่เจ็บแสบแต่ฮา หรือมุกจีบสาวแบบหมาหยอกไก่ แล้วยิ่งได้ระดับออสการ์อย่าง อัล ปาชิโน กับคริสโตเฟอร์ รุ่นเก่าทั้งคู่มาโต้ตอบกัน ยิ่งไปกันใหญ่ ออกมาเป็นหนังที่มีเสียงหัวเราะให้ได้ยินทั้งเรื่อง คลอไปด้วยเพลงดังๆของจอห์น เลนนอน ถึงแม้จะอัดแน่นไปด้วยเสียงหัวเราะแต่หนังก็ไม่หลุดไปจากประเด็น
ดราม่าพ่อลูก ที่หลายๆซีนพาอารมณ์ไปได้ซึ้งๆแต่ไม่ถึงกับน้ำตาไหลนะ ดูไปก็เอาใจช่วยให้ ทอม ให้อภัย แดนนี่ พ่อที่สำนึกผิดเสียที หนังจับคนดูให้อยู่กับหนังไปได้ตลอดไม่มีช่วงให้ได้ง่วง เอาใจช่วยกับภารกิจของแดนนี่ ที่ดูแล้วน่าจะสวยหรูตามตั้งใจ แล้วช่วงท้ายก็ล้มครืนไม่เป็นท่าด้วยตัวของแดนนี่เอง ทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ยิ่งพาให้เรื่องน่าติดตามขึ้นไปอีกว่าแล้วสุดท้าย แดนนี่ จะกู้สถานการณ์อย่างไร

danny-collins-photo

หนังน่าจะถูกใจผู้ชมรุ่นใหญ่เป็นพิเศษ เพราะอัดแน่นไปด้วยดารารุ่นเก๋า ทั้ง อัล ปาชิโน จาก the godfather ไตรภาค ที่พอดูกล้อมแกล้มไปได้กับภาพลักษณ์ซูเปอร์สตาร์ ไม่เป๊ะแต่ก็ไม่ดูขัดนัก ก็สมแล้วกับที่แดน เขียนบทแดนนี่ คอลลินส์ ไว้โดยมีภาพอัล ปาชิโนอยู่ในหัวก็ได้อัล มาเล่นจริงๆ ,คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ รุ่นเก๋าพอกันเล่นหนังมาตั้งแต่ยุค the sound of music นู่นมารับบท แฟรงค์ คู่หูของแดนนี่ ที่เป็นตัวยิงมุกของเรื่อง นางเอกก็ได้รุ่นใหญ่อย่าง แอนเน็ต เบนนิ่ง ที่ยังคงความสเน่ห์ความน่ารักให้เห็นได้แม้ในวัยป้า เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ ก็ยอมมารับบทตัวประกอบเป็นลูกสะใภ้ท้องแก่ของแดนนี่ แต่เธอก็ยังมีซีนเฉพาะของเธอที่ได้เสียงหัวเราะยาวๆอยู่เหมือนกัน บ๊อบบี้ คานาวาล ในบททอม ลูกชายของแดนนี่ ได้บทนี้เพราะสนิทเป็นการส่วนตัวกับ อัล ปาชิโนตอนเล่นละครเวที glengarry glen ross ร่วมกัน อัล เลยยื่นข้อแม้กับทีมงานว่า เขาจะมารับบท แดนนี่ คอลลินส์ ต่อเมื่อได้ บ๊อบบี้ มารับบท ลูกชายของเขา ในขณะที่เริ่มแรกทีมงานหมายตา เจเรมี่ เรนเนอร์ไว้ และหนูน้อยโฮป หลานสาวจอมแก่นวัย7ขวบ ก็เป็นอีกบทบาทสีสันนึงของเรื่อง
น่าเสียดายที่หนังไม่ได้ถูกโปรโมทในวงกว้าง ออกฉายที่อเมริกาตั้งแต่ เมษายน ก็ฉายแค่หลักร้อยโรง และตระเวณฉายตามเทศกาลหนัง เช่นเดียวกับในบ้านเรา ที่จะออกฉายอย่างเงียบๆ แล้วก็ถูกถอนออกภายในสัปดาห์เดียวเป็นแน่ แล้วก็รอวันลงแผ่น ทำให้หลายๆคนอาจพลาดได้ หนังฟีลกู๊ดที่ดูแล้วมีความสุขและแฝงสาระข้อคิดดีๆได้แบบนี้หายากครับ
“การทำความดี ไม่มีวันสายครับ”
ตัวอย่างหนัง

Play video

 

ฉากคอนเสิร์ตของ แดนนี่ คอลลินส์ อาศัยไปแจมในคอนเสิร์ตของวง chicago

Play video