ถึงแม้ว่าเดือนกุมภาพันธ์นั้นจะสั้นกว่าเดือนอื่น ๆ แต่ก็มีวันสำคัญที่เดือนอื่นไม่มีนั่นก็คือ ‘วันวาเลนไทน์’ นั่นเอง ไม่ว่าวันนี้จะเกิดจากวัฒนธรรมใด แต่มันก็ได้แพร่กระจายกลายเป็นวันสำคัญของทั้งโลก ก็ ‘ความรัก’ นั้นหาใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่เป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจของใครทุกคน และบทเพลงรักที่ถ่ายทอดห้วงอารมณ์แห่งรักนั้นก็เป็นดังภาษาสากลที่คนทั่วโลกสัมผัสถึงได้ บทเพลงเหล่านี้ได้บรรจุไว้ซึ่งถ้อยคำชวนซาบซึ้งตรึงใจและชวนให้ใคร่ครวญถึงความหมายและความสำคัญของคำว่า ‘รัก’ ในหลากหลายแง่มุม

ลองย้อนฟังบทเพลงเหล่านี้อย่างมีความสุขอีกสักที แล้วซึมซับถ้อยคำดี ๆ ที่บทเพลงเหล่านี้ได้ฝากไว้เพื่อทำความรักของเราให้งอกงามต่อไป

‘I Knew I Love You’ – Savage Garden

“I knew I loved you before I met you.”

บทเพลงบัลลาดพอปสุดโรแมนติกจากปลายยุค 90s ของคู่ดูโอจากออสเตรเลีย Savage Garden ที่ครองใจผู้ฟังมาตลอดทุกยุคทุกสมัย อีกทั้งยังครองตำแหน่งเพลงแรกของศิลปินออสเตรเลียที่ขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตบิลบอร์ดในศตวรรษที่ 21อีกด้วย ‘I Knew I Love You’ ถ่ายทอดอารมณ์รักแรกพบได้อย่างสุดซึ้ง บรรยายอารมณ์ของ ‘สัมผัสแรก’ เวลาที่เราได้พบกับคนที่จะเป็นคนรักของเราในอนาคตได้อย่างสุดแสนโรแมนติกชวนจิกหมอน Maybe it’s intuition / But some things you just don’t question / Like in your eyes, I see my future in an instant / And there it goes, I think I’ve found my best friend”  มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองโดยสัญชาติญาณ รู้สึกได้ว่าเราเคยคุ้นกันมากเหมือนรู้จักกันมาแล้วนานแสนนาน และแค่เพียงมองเข้าไปในตาของเธอ เราก็มองเห็นถึงอนาคตอันยาวไกลที่ทอดยาวออกไปและรับรู้ได้ทันทีว่าเธอคนนี้นี่แหละที่จะเป็นเพื่อนแท้และคู่ชีวิตที่จะเดินเคียงกันไปกับเราจากนี้จนนิรันดร์

‘When You Say Nothing At All’ – Ronan Keating

“You say it best when you say nothing at all.”

บางครั้งคำว่า ‘รัก’ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอื้อนเอ่ย แค่เพียงภาษากายหรือสิ่งดี ๆ ที่เรามีให้กันก็เพียงพอที่จะเป็นคำตอบของความรักแล้ว

บทเพลง ‘When You Say Nothing At All’ จากเสียงสุดละมุนของโรแนน คีทติง (Ronan Keating) อดีตสมาชิกวงบอยแบนด์ Boyzone เมื่อได้ประกอบภาพยนตร์รักโรแมนติกจากปี 1999 ‘ Nothing Hill’ ที่ได้การแสดงสุดประทับใจจากจูเลีย โรเบิร์ต และ ฮิวจ์ แกรนต์ ในเรื่องราวความรักระหว่างหนุ่มธรรมดา ๆ  เจ้าของร้านหนังสือในอังกฤษกับดาราสาวจากฮอลลีวูด ก็กลายเป็น combination สุดประทับใจไม่รู้ลืม หนังก็ดี เพลงก็เพราะ แถมความหมายในบทเพลงยังลึกซึ้งน่าประทับใจ ใจความของเพลงนี้บอกไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ท่อนแรกของเพลงว่า “It’s amazing how you can speak right to my heart / Without saying a word, you can light up the dark / Try as I may I can never explain / What I hear when you don’t say a thing” มันช่างน่ามหัศจรรย์นักที่คุณพูดได้ตรงกับใจผมเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่คุณยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ (มีความ Getsunova อยู่พอสมควร) ก่อนที่ในท่อนฮุคจะบรรยายไว้อย่างหวานหยดย้อยว่าที่เข้าใจในความนัยจากใจเธอได้นั้นก็เพราะว่ารอยยิ้มของเธอ แววตาของเธอ และสัมผัสจากมือของเธอนั้นได้บอกไว้หมดแล้ว “The smile on your face lets me know that you need me / There’s a truth in your eyes saying you’ll never leave me / The touch of your hand says you’ll catch me wherever I fall / You say it best when you say nothing at all”

เพลงนี้แต่เดิมเป็นเพลงคันทรีออกมาตั้งแต่ปี 1988 เป็นผลงานของ Keith Whitley แต่มาดังเป็นพลุแตกเอาตอนที่โรแนน คีทติงนำมาร้องประกอบหนังเรื่อง ‘Nothing Hill’ นี่ล่ะ แถมยังเป็นเพลงแจ้งเกิดในฐานะศิลปินเดี่ยวของนักร้องหนุ่มคนนี้อีกด้วย นอกจากหนังจะฮิตถล่มทลายกลายเป็นหนังรักคลาสสิกตัวเพลงเองก็ดังเปรี้ยงปร้างไปทั่วโลกไม่แพ้กัน

‘Because You Loved Me’ – Celine Dion

“You’ve been my inspiration

Through the lies, you were the truth

My world is a better place because of you”

เวลาพูดถึงเซลีน ดิออน เพลงแรกที่พุ่งเข้ามาในความคิดเลยก็คงจะเป็น ‘My Heart Will Go On’ แต่ถ้าให้นึกตรึกตรองไปอีกสักนิดเราจะพบว่า ‘Because You Loved Me’ คืออีกหนึ่งเพลงที่มิอาจลืมได้เลย

‘Because You Loved Me’ คือเพลงรักความหมายดี ๆ ที่เป็นการแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งจากหัวใจต่อคนที่อยู่เคียงข้างเราเสมอมา คอยปลอบโยน คอยให้กำลัง และคอยเป็นพลังใจให้เราจนเราเข้มแข็งและประสบความสำเร็จในวันนี้  You were my strength when I was weak / You were my voice when I couldn’t speak / You were my eyes when I couldn’t see” เธอเป็นความเข้มแข็งในวันที่ฉันอ่อนแอ เป็นสุ้มเสียงในยามที่ฉันมิอาจเอื้อนเอ่ยออกมา และเป็นดวงตาในยามที่ฉันบอดใบ้  You saw the best there was in me” เธอเห็นสิ่งที่ดีที่สุดที่อยู่ภายในตัวของฉัน นี่แหละคือสิ่งสำคัญที่คนรักกันควรจะมี

เพลงนี้แต่งโดย ไดแอน วาร์เรน เพื่อใช้ประกอบภาพยนตร์รักโรแมนติกดราม่าเรื่อง ‘Up Close and Personal’ นำแสดงโดย มิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ และ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด โดยดึงเอาอารมณ์สำคัญของเรื่องที่ตัวละครมิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ รู้สึกขอบคุณโรเบิร์ต เรดฟอร์ดที่เชื่อมั่นในตัวของเธอเสมอมา เลยทำให้วาร์เรนนึกถึงคุณพ่อของเธอที่เป็นแรงสนับสนุนสำคัญในที่ชีวิตและเชื่อมั่นในความฝันของเธอว่าสักวันหนึ่งมันจะเป็นความจริงและคอยสนับสนุนในทุก ๆ ทางจนเธอประสบความสำเร็จ เพลงนี้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในปี 1997 4 สาขาคือ  “Record of the Year”, “Best Female Pop Vocal Performance” “Song of the Year” และ “Best Song Written Specifically for a Motion Picture or Television” ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในสาขาสุดท้าย

‘Can’t Help Falling in Love’ – Elvis Presley

“For I can’t help falling in love with you.”

บทเพลงรักอมตะชวนระทวยจากราชาเพลงร็อกแอนด์โรลส์ ‘เอลวิส เพรสลีย์’ ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างจับใจยิ่งนัก เพลงนี้มาในท่วงทำนองที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์รักอันงดงาม ‘Can’t Help Falling in Love’ คำง่าย ๆ แต่บอกถึงความจริงที่คนเคยตกหลุมรักจะต้องเข้าใจ ‘มันช่วยไม่ได้จริง ๆ  ที่ฉันตกหลุมรักเธอ’ หลุมรักเป็นเหมือนหลุมกับดักที่เราเต็มใจจะหล่นลงไป บางครั้งก็รู้ บางครั้งก็ไม่รู้แต่เราก็พุ่งทะยานลงไปสุดตัวอย่างช่วยไม่ได้ บังคับหัวใจตัวเองให้ไปทางอื่นไม่ได้เลย นอกจากตก ‘หลุมรัก’ ของเธอเพียงเท่านั้น ในท่อนแรกของเพลงพูดไว้อย่างชัดเจนว่า​ “Wise men say only fools rush in / But I can’t help falling in love with you” ผู้เปรื่องปราชญ์เคยบอกไว้ว่ามีแต่คนโง่เท่านั้นที่เร่งร้อนพุ่งเข้าไป แต่มันช่วยไม่ได้จริง ๆ  ที่ผมตกหลุมรักคุณเข้าแล้ว วินาทีนั้นจะโดนหาว่าโง่ก็ยอมล่ะ จริงมั้ย ? และมาต่อในท่อนคอรัสที่เอ่ยไว้ถึงความรักว่าเหมือนดั่งแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเลฉันใด ความรักของเราก็ย่อมจะต้องเกิดขึ้นฉันนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย “Like a river flows / Surely to the sea / Darling, so it goes / Some things are meant to be” เมื่อมันช่วยไม่ได้ขนาดนี้ก็ตกมันไปเถอะหลุมรักน่ะ !

ท่วงทำนองของเพลง ‘Can’t Help Falling in Love’ มีที่มาจากเพลงฝรั่งเศสที่แต่งไว้ตั้งแต่ปี 1784 ชื่อ ‘Plaisir d’amour’ ขับร้องโดย Jean-Paul-Égide Martini ต่อมา George David Weiss, Luigi Creatore และ Hugo Peretti แต่งมาเพื่อให้เอลวิสขับร้องใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ‘Blue Hawaii’ ที่นำแสดงโดยเอลวิสเอง เพลงนี้กลายเป็นเพลงรักอมตะนิรันดร์กาลและถูกนำไป cover อีกหลายเวอร์ชันจากหลากหลายศิลปินหลากหลายแนวตั้งแต่ U2, บริตนีย์ สเปียร์ส ยัน twenty one pilots และกลายเป็นเพลงที่ถูกเปิดในงานแต่งงานของคนทั่วโลก

A Thousand Years’ – Christina Perri

“I have died every day waiting for you

Darling, don’t be afraid

I have loved you for a thousand years

I’ll love you for a thousand more”

บทเพลงรักสุดโรแมนติกจากน้ำเสียงของคริสตินา เพอร์รี ประกอบภาพยนตร์รักโรแมนติกชวนจิกหมอนระหว่างแวมไพร์และมนุษย์ ‘Twilight saga : Breaking Dawn P.I’ เพลงนี้คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอะไรเพราะได้เป็นเพลงที่อยู่ในใจมหาชนอยู่แล้ว

เพลงนี้สะท้อนความรู้สึกของหญิงสาวที่กลัวและไม่มั่นใจที่จะแสดงความรักออกไปต่อหน้าชายหนุ่มที่เธอหมายปอง แตสุดท้ายเธอก็เลือกที่จะใช้ความกล้าเพื่อที่จะบอกความในใจของเธอออกไป ในท่อนฮุคของเพลงเธอบรรยายความรู้สึกเอาไว้ได้อย่างชวนอ่อนไหวและซาบซึ้งใจในความรักที่เอ่อล้นอยู่ข้างใน I have died every day waiting for you / Darling, don’t be afraid / I have loved you for a thousand years / I’ll love you for a thousand more” การรอคอยคนของหัวใจในแต่ละวันมันเหมือนกับเราได้ตายลงไปทีละนิด ๆ ‘Thousand Years’ หรือพันปีคือจำนวนเวลาชีวิตที่เกินกว่ามนุษย์คนใดจะไปถึง การบอกว่าฉันรักเธอมากว่าหลายพันปีและจะรักเธอต่อไปอีกหลายพันปีนั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงขนาดและพลังของความรักที่เธอมีว่ามันหลากล้นมากมายขนาดไหน เป็นการบอกรักที่ทรงพลังยิ่งนัก

‘All of Me’ – John Legend

“’Cause all of me loves all of you”

เมื่อเรารักใครสักคน เราต้องรักเขาในแบบที่เขาเป็น

บทเพลงรักลึกซึ้งจากจอห์น เลเจนด์ (John Legend) ที่แต่งออกมาได้อย่างซาบซึ้งไปถึงทรวง ซึ่งไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเพลงนี้มันถึงได้ลงตัวทั้งในท่วงทำนองและคำร้อง จนฮิตติดชาร์ตไปทั่วโลกและมีการันตียอดขายในระดับ 8x Platinum ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะอารมณ์ทั้งหมดในเพลงนี้ของจอห์น เลเจนด์มาจากความรักและแรงบันดาลใจที่ได้รับจากนางแบบสาวลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ คริสซีย์ ทีเกน (Chrissy Teigen) จนความรักครั้งนี้นำไปสู่การเป็นคู่ชีวิตและทำให้จอห์นได้กลายเป็นเขยโคราชในที่สุด

ใจความสำคัญของเพลงนี้คือการแสดงออกถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักที่เกิดจากการเข้าใจและยอมรับใครคนนึงอย่างสุดหัวใจ Love your curves and all your edges  /All your perfect imperfections” ในท่อนนี้เขียนออกมาได้อย่างสวยงามและคมคาย ในคน ๆ นึงนั้นย่อมมีทั้งด้าน ‘curve’ และ ‘edge’ นั่นก็คือมีทั้งด้านที่โค้งและด้านที่คม หมายถึงมีด้านที่เราชอบใจและก็ไม่ชอบใจ เป็นความ ‘imperfections’ หรือความไม่สมบูรณ์แบบไม่เพอร์เฟกต์ที่มีอยู่ในตัวคนทุกคน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พร้อมที่จะรักเธอในทั้งหมดที่เธอเป็น Give your all to me / I’ll give my all to you” ให้เธอจงเชื่อใจมอบทั้งหมดที่เธอมีและเป็นมาให้ฉัน และฉันก็มอบทั้งหมดของฉันให้เธอด้วยเช่นกัน การที่เราจะรักใครสักคน เราต้องรักเขาอย่างสุดหัวใจ และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ทั้งตัวตน ความคิด และจิตใจ นั่นล่ะจึงจะใช่คำว่า ‘รัก’ ที่แท้จริง

‘Perfect’ – Ed Sheeran

“When you said you looked a mess, I whispered underneath my breath

But you heard it, darling, you look perfect tonight.”

หลังจากปล่อยเพลง ‘Thinking Out Loud’ มาเป็นเพลงประจำงานแต่งแล้ว พ่อหนุ่มหัวแดง เอ็ด ชีแรน (Ed Sheeran) ก็ปล่อยเพลง ‘Perfect’ ตามมาอีกเพลงให้เรามีเพลงใช้เปิดในช่วงเวลาสุดโรแมนติกของชีวิต

เพลงนี้หนุ่มเอ็ดได้แรงบันดาลใจมาจากความรู้สึกที่มีให้กับเชอร์รี ซีบอร์นภรรยาสาวของเขา (สังเกตว่าส่วนใหญ่ถ้าเพลงไหนศิลปินแต่งให้กับแฟนแล้วล่ะก็ จะกลายเป็นเพลงรักที่โรแมนติกสุด ๆ ) ซึ่งเอ็ดตั้งใจจะให้เพลงนี้มาล้มยักษ์อย่าง ‘Thinking Out Loud’ และตั้งใจจะให้เป็นเพลงที่บ่งบอกตัวตนของเขาและกลายเป็นเพลงที่ทุกคนจะต้องคิดถึงเมื่อนึกถึงเอ็ด ชีแรน

เนื้อหาของเพลงนี้ถ่ายทอดเรื่องราวความรักของเอ็ดที่มีต่อเชอร์รี โดยเล่าว่าตอนนี้ตัวเขาเองรู้แล้วว่าได้พบกับคนที่เขารอมาแสนนาน บางครั้งความรักก็ต้องการเวลาอันสุกงอม จริง ๆ ทั้งคู่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนไฮสคูลมาด้วยกันและเหมือนจะปิ๊งกันแล้วตั้งแต่ตอนนั้น แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกลของเส้นทางชีวิตที่ต่างคนต่างมีทางเป็นของตัวเองทำให้ความสัมพันธ์มีอันต้องห่างเหิน แต่สุดท้ายรักแท้ก็ย่อมเป็นรักแท้ ความรักที่ทั้งคู่มีให้กันก็ชักนำให้ได้กลับมาคบหาดูใจกันจนกลายเป็นคู่ชีวิตกันในที่สุด Well I found a woman, stronger than anyone I know / She shares my dreams, I hope that someday I’ll share her home.” ท่อนนี้เขียนออกมาได้อย่างคม เธอแชร์ความฝันกับฉันและฉันหวังว่าสักวันฉันจะแชร์บ้านของฉันกับเธอ (และเขาก็ได้แชร์มันกับเธอในที่สุด) ส่วนในท่อนฮุคของเพลงก็เขียนออกมาได้อย่างเห็นภาพ สวยงามและโรแมนติกมาก เต้นรำด้วยกันท่ามกลางความมืด เดินเท้าเปล่าบนผืนหญ้าฟังเพลงโปรดไปด้วย และเมื่อตอนที่เธอแสดงความไม่มั่นใจ เราก็เพียงกระซิบเบา ๆ  เพื่อบอกกับเธอว่า “ที่รัก คืนนี้คุณดูเพอร์เฟกต์ที่สุดแล้ว”

‘First Love’ – Utada Hikaru

“I’ll remember to love

You taught me how

You are always gonna be the one”

บทเพลงแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการของนักร้องสาวตัวแม่แห่งเจแปน ‘อูทาดะ ฮิคารุ’ กับบทเพลงพอปละมุนกับเสียงร้องในสไตล์อาร์แอนด์บีที่สะกดใจผู้ฟังทั่วโลก

‘First Love’ เป็นบทเพลงรักเศร้าที่ถ่ายทอดอารมณ์ในช่วงเวลาของการจากลา ถ้อยคำในบทเพลงคือการย้ำเตือนคนรักว่าไม่ว่าเราจะห่างไกลกันแค่ไหน ความสัมพันธ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เธอจะเป็นหนึ่งเดียวในใจฉันเสมอ และฉันจะจดจำความรักที่เธอได้สอนฉันเอาไว้ตลอดไป

เชื่อว่าใครที่เคยมีประสบการณ์รักครั้งแรกหัวใจก็แตกสลายมาแล้วย่อมต้องเข้าใจดีว่าความรู้สึกในเพลงนี้นั้นเป็นอย่างไร สำหรับ ‘รักแรก’ นั้นไม่ว่ามันจะเป็นเช่นไร จะจบลงแบบไหน มันก็คือประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่สอนให้เราได้รู้ว่า ‘ความรัก’ นั้นคืออะไร และได้เรียนรู้ที่จะรักต่อไป

‘Fix You’ – Coldplay

“Lights will guide you home

And ignite your bones

And I will try to fix you”

บทเพลงสุดเศร้าซึ้งจาก ‘Coldplay’ ที่กลายเป็นบทเพลงอมตะของวงไปแล้ว ท่วงทำนองของเพลงนี้มีบรรยากาศที่เศร้าแต่เคล้าด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเพลงนี้ ‘คริส มาร์ติน’ ได้แต่งให้กับ ‘กวินเน็ธ พัลโทรว์’ อดีตภรรยาของเขาในวันที่เธอสูญเสียคนที่รักที่สุดซึ่งก็คือ ‘บรูซ พัลโทรว์’ คุณพ่อของเธอนั่นเอง คริสตั้งใจมอบเพลงนี้เพื่อปลอบประโลมหัวใจให้เธอผ่านช่วงเวลาแห่งสูญเสียครั้งใหญ่นี้  ท่วงทำนองของ Fix You มีความอุ่นละมุนเศร้าจากเสียงออร์แกนจากคีย์บอร์ดเครื่องเก่าที่บรูซ พัลโทรว์ มอบให้กับกวินเน็ธ ในบรรยากาศอันบางเบาล่องลอย เคล้าเสียงเปียโนและกีตาร์ที่ค่อย ๆ ซึมแทรกมาอย่างช้า ๆ  ก่อนจะเพิ่มความเข้มขึ้นด้วยกีตาร์ไฟฟ้า เบส และกลอง ในช่วงท้ายเพลงปลุกพลังแห่งความหวังให้ลุกโชน เป็นเพลง slow burn ที่งดงามมาก ๆ 

ถ้อยคำในบทเพลงนี้มีความงดงามอย่างยิ่ง ในท่อนร้องจะเขียนบรรยายความรู้สึกของคนที่มูฟออนไม่ได้และติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้าได้อย่างคมคาย เช่นในท่อนเปิดที่ร้องว่า When you try your best, but you don’t succeed / When you get what you want but not what you need” หรือในท่อนร้องต่อมาที่ร้องว่า ​”And the tears come streaming down your face / When you lose something, you can’t replace” บางการสูญเสียก็มิอาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้เช่นการสูญเสียของกวินเน็ธในครั้งนี้ จากนั้นในท่อนคอรัสคริสก็มอบความหวังและกำลังใจด้วยถ้อยคำเปี่ยมอารมณ์กวีที่กลั่นออกมาจากข้างในว่า Lights will guide you home / And ignite your bones / And I will try to fix you” แสงสว่างจะนำทางคุณกลับบ้าน จุดพลังกายใจให้กับคุณ และผมคนนี้นี่แหละจะคอยดูแลหัวใจของคุณเอง

ทั้งท่วงทำนองและถ้อยคำในบทเพลงนี้เหมาะที่จะเป็นบทเพลงแห่งความรักและกำลังใจที่เรามอบให้กับคนที่เราห่วงใยโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เขากำลังอยู่ในความโศกเศร้า ท้อแท้ อ่อนแอหรืออ่อนไหวให้กับการสูญเสียหรืออุปสรรคนานาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ให้บทเพลงนี้เป็นกำลังใจและโอบอุ้มความรักของเราต่อไป

‘I Don’t Want To Miss a Thing’ – Aerosmith

“Cause I’d miss you, baby

And I don’t wanna miss a thing”

ถึงแม้ว่าเวลานึกถึงเพลง ‘I Don’t Want To Miss a Thing’ เมื่อใดก็จะนึกถึงความร็อกของวง ‘Aerosmith’ และภาพยนตร์แนวปกป้องโลกจากอุกกาบาตชนโลกเรื่อง ‘Armageddon’ ที่อำนวยการสร้างโดย เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ และภาพวีรกรรมการเสียสละของตัวละครในเรื่อง แต่เอาเข้าจริงแล้วนี่คือหนึ่งในเพลงรักความหมายดี ๆ ที่โรแมนติกมาก ๆ 

เชื่อเลยว่าตอนที่สตีเว่น ไทเลอร์ร้องเพลงนี้จะต้องอินมาก ๆ เพราะว่านักแสดงสาว ‘ลิฟ ไทเลอร์’ ที่แสดงนำในหนังเรื่องนี้เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเขาเอง และเนื้อหาในหนังก็ชวนให้คุณพ่อคนนี้อินอย่างแน่แท้ ‘I Don’t Want To Miss a Thing’ ถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่จะต้องไกลห่างจากคนที่ตัวเองรัก ไม่ว่าจะไกลในรูปแบบไหนก็ตาม เขาเพียงแค่อยากใช้ช่วงเวลาที่มีค่ากับคนที่เขารักในทุกวินาทีอย่างดีที่สุด เพราะช่วงเวลาเหล่านั้นคือช่วงเวลาที่เป็นดั่งสมบัติอันล้ำค่า I could stay lost in this moment forever / Where every moment spent with you is a moment I treasure.”

ในมุมหนึ่งเพลงนี้ได้ย้ำเตือนให้เราได้เห็นถึงคุณค่าของเวลาที่เรามีกับคนในครอบครัวและคนที่เรารัก เพราะว่าเวลาเรานั้นเป็นสิ่งที่มิอาจซื้อหามาได้ และเราก็ไม่รู้ว่าเราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันไปจนถึงเมื่อไหร่ รู้แต่เพียงว่า I don’t wanna miss a thing” เราไม่อยากพลาดช่วงเวลาไหนไปทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจงใช้ช่วงเวลาที่มีค่าเหล่านี้ให้ดีที่สุด

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส