จากที่เคยมีคนเล่นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ตามลานกว้างที่เป็นพื้นซีเมนต์ แผ่นกระดานติดล้อทั้งเซิร์ฟสเก็ตและสเก็ตบอร์ด ก็เป็นเทรนด์ฮิตในบ้านเราไปเรียบร้อย จนพื้นที่โล่งตามห้างสรรพสินค้าหรือสวนสาธารณะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ชนิดที่หากคนอย่าง โทนี อัลวา (Tony Alva), สเตซี เพรัลทา (Stacy Peralta) และเจย์ อดัมส์ (Jay Adams) รวมถึง สคิป อิงบลอม (Skip Engblom) ได้เห็น ก็คงอดยิ้มด้วยความสุขไม่ได้
หลายคนคงมีคำถามว่า “ทั้งสี่คนคือใคร” ถ้าย้อนกลับไปแถวเวนิซ ที่เมืองชายทะเลซานตามอนิกา แถบย่านด็อกทาวน์ ช่วงกลางยุค 70s พวกเขาคือกลุ่มคนที่ทำให้การเล่นสเก็ตบอร์ด ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุค 1950s ต้องเปลี่ยนโฉม จากการเล่นที่อิงกับยิมนาสติก ไม่หวือหวา มาเป็นความโลดโผนและน่าตื่นตา จนชื่อของพวกเขาได้รับการบันทึกไว้ ทั้งในโลกกีฬาและการเป็นส่วนหนึ่งของผู้สร้าง ‘วัฒนธรรมย่อย’ (Subculture) ของชุมชนคนเล่นสเก็ตบอร์ด ที่ไม่ได้หมายความแค่การเล่นกระดานติดล้อ แต่ยังรวมถึงรูปแบบใช้ชีวิต รสนิยมในการฟังเพลง การแต่งกาย ฯลฯ
ชีวิตพวกเขาถูกนำเสนอในสื่อต่าง ๆ มากมาย อย่างหนังสารคดี ‘Dogtown and Z-Boys’ ที่เพรัลทาเขียนบทและกำกับเมื่อปี 2001 แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็น ‘Lords of Dogtown’ หนังปี 2005 ของผู้กำกับแคเธอรีน ฮาร์ดวิก (Catherine Hardwicke) ผู้กำกับ Twilight ภาคแรก และ Red Riding Hood โดยมีเดวิด ฟินเชอร์ (David Fincher) ที่เคยคิดกำกับหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองมาก่อน เป็นผู้อำนวยการสร้าง ได้นักแสดงอย่าง เอมิล เฮิร์ช (Emile Hirsch), รีเบ็กกา เดอ มอร์เนย์ (Rebecca De Mornay) และ ฮีธ เล็ดเจอร์ (Heath Ledger) แสดงนำ ซึ่งอัลวา, เพรัลทา, อดัมส์ ตัวจริง ตลอดจนตำนานของวงการสเก็ตบอร์ด โทนี ฮอว์ก (Tony Hawk) ยังมาปรากฏตัวแบบคามีโอ (Cameo หมายถึงนักแสดงรับเชิญที่ปรากฏตัวเป็นระยะเวลาสั้น ๆ) โดยเพรัลทายังเป็นคนเขียนบทหนังเรื่องนี้อีกด้วย
‘Lords of Dogtown’ ว่าด้วยชีวิตเด็กเล่นสเก็ตบอร์ดและกระดานโต้คลื่น 3 คนที่สไตล์การเล่นบอร์ดและใช้ชีวิตแตกต่างกัน อัลวา (รับบทโดยวิกเทอร์ ราซัก – Victor Rasuk), เพรัลทา (จอห์น โรบินสัน – John Robinson) และ อดัมส์ (เอมิลล์ เฮิร์ช – Emille Hirsch) ที่คลุกคลีอยู่กับสคิป อิงบลอม (เล็ดเจอร์) นักออกแบบกระดานโต้คลื่นและเจ้าของร้าน Zephyr Surf Shop เมื่อสคิปได้ล้อโพลียูรีเธนสำหรับติดบอร์ดมา เขาให้ทั้ง 3 ลองใช้ ปรากฏว่าทุกคนตื่นเต้นกับมันมาก เพราะทำให้บอร์ดเคลื่อนที่บนพื้นเรียบได้เหมือนกระดานโต้คลื่นถลาไปตามเกลียวคลื่น ซึ่งเหมาะกับสไตล์เล่นบอร์ดของพวกเขา ที่ต่างจากคนทั่ว ๆ ไปในยุคนั้น โดยเฉพาะการเล่นในสระว่ายน้ำร้างที่ปล่อยของกันได้เต็มที่ และทำให้ทีมสเก็ตบอร์ด ซี-บอยส์ (Z-Boys) ที่สคิปสร้างขึ้นเพื่อแข่งขันในรายการต่าง ๆ ถูกกล่าวขวัญถึง สามหนุ่มกลายเป็นเซเลบบอร์ดของสคิปก็ขายดิบขายดี
ชื่อเสียง ความสำเร็จ นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พวกเขาแตกกระซานซ่านเซ็นไปคนละทิศคนละทาง สคิปยุบทีมซี-บอยส์ เด็ก ๆ ได้ประสบการณ์ทั้งดีและร้าย รวมถึงได้รู้ว่า ความสุขที่สุดของพวกเขาก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันวานซึ่งไม่อาจหวนคืน หากอย่างน้อยในท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้รำลึกถึงมัน กับการได้ไถบอร์ดร่วมกันเป็นครั้งสุดท้าย ต่อหน้าซิด (ไมเคิล แอนการาโน – Michael Angarano) เพื่อนสนิทคนหนึ่งในทีมซี-บอยส์ ที่ป่วยเป็นมะเร็งสมอง
‘Lords of Dogtown’ ปิดท้ายด้วยการบอกว่า อัลวาได้เป็นแชมป์โลกสเก็ตบอร์ดคนแรก, เพรัลทาตั้งพาวเวลล์ เพรัลทา (Powell Peralta) บริษัทสเก็ตที่รับเด็กวัย 14 ปีชื่อโทนี ฮอว์กเข้าทีม ส่วนอดัมส์ แม้จะเป็นแค่นักเล่นสเก็ตบอร์ดและกระดานโต้คลื่นแบบตามใจฉัน แต่เขาก็ประสบความสำเร็จในแบบฉบับของตัวเอง และได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผู้จุดประกายที่ก่อให้เกิดเปลวไฟ”
หนังมีการแต่งแต้มอะไรลงไปบ้าง เพื่อสร้างอารมณ์ความรู้สึก และทำให้การเดินเรื่องมีจุดหมาย ดูสนุก แต่เหตุการณ์สำคัญส่วนใหญ่ ก็ใช่หรือใกล้เคียงกับความเป็นจริง โดยเฉพาะการเล่นสเก็ตบอร์ด ซึ่งเพรัลทาที่เขียนบทหนังเรื่องนี้รู้สึกว่า ในหนังเรื่องผ่าน ๆ มา ดูโอเวอร์มากกว่าสมจริง และสมควรทำให้ถูกต้อง “ถ้าคุณย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นจากหนังอย่าง Gidget” เพรัลทา พูดถึงหนังเมื่อปี 1959 “ถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้ แล้วดูการแสดงของเจมส์ ดาร์เรน (James Darren) หรือใครสักคน พวกเขาสูบซิการ์บนกระดานโต้คลื่น แล้วคุยกันขณะที่แล่นอยู่บนเกลียวคลื่น ทุกอย่างดูผ่อนคลายมาก นี่คือสิ่งที่เราต้องต่อต้าน เราไม่อยากตกลงไปในหลุมทรายดูด ที่เต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระ”
ตอนเขียนบทและกำกับหนังสารคดี ‘Dogtown and Z-Boys’ เพรัลทาใช้บริการเพื่อน ๆ มาบอกเล่าความหลังหน้ากล้อง แต่พอเป็นหนัง เขาพบว่านี่คืองาน “ที่ยากที่สุดในชีวิตที่ผมเคยทำ” เขาย้ำ “ผมเป็นนักกีฬาอาชีพ เคยกำกับหนังมาหลายเรื่อง และบริหารบริษัทที่มีลูกจ้าง 150 คน แต่ไม่มีอะไรเทียบการเขียนบทได้เลย แว่บหนึ่งผมคิดว่าตัวเองรู้ดีว่ากำลังทำอะไร แต่พอขุดค้นลงไป ผมไม่รู้เลยว่ากำลังทำอะไร เพราะมีปัญหาให้แก้ไขเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องอย่าง ผมจะไปหานักแสดงจากที่ไหน ตัวละครทุก ๆ ตัวต้องสร้างสมดุลย์ให้กันและกัน แล้วทุกครั้งเวลาที่แก้ปัญหาหนึ่งได้ อีกหกปัญหาก็โผล่มา แต่ในหนังมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหลายฉากมาก”
ปัญหาหนึ่งก็คือนักแสดง คอนเซ็ปต์แรกตอนเดวิด ฟินเชอร์ ยังเป็นผู้กำกับก็คือ เอานักสเก็ตบอร์ดมาเล่น โดยให้เรียนการแสดง แต่พอเป็นแคเธอรีน ฮาร์ดวิก เธอเลือกสอนนักแสดงให้เล่นสเก็ตแทน ซึ่งทำให้เพรัลทาและบรรดาสมาชิกซี-บอยส์ตัวจริงสบายใจ “เป็นการกระทำที่ถูก” เพรัลทากล่าว “คุณสามารถสอนเด็กให้เล่นสเก็ตได้ แต่ผมไม่รู้ว่า คุณจะสอนผมให้แสดงได้หรือเปล่า?”
อัลวาที่เข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้หนังด้วย บอกว่า “คุณไม่สามารถทำได้ มันจะทำให้หนังเรื่องนี้เหมือนหนังเกี่ยวกับสเก็ตบอร์ดเรื่องอื่น ๆ ที่ทำกันออกมา เพราะพยายามเอาคนที่เล่นบอร์ดหรือสเก็ตมาเล่น มันงี่เง่าจะตาย สิ่งสำคัญคือ คุณต้องทำในสิ่งที่ถูกนั่นคือเอานักแสดงดี ๆ มา” ซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นโปรบนกระดานติดล้อ “เป็นแบบนี้นะ” เพรัลทาอธิบาย “คนพวกนี้ไม่ต้องเรียนรู้ที่จะทำอะไรให้เกินตัวหรอก พวกเขาต้องเรียนรู้แค่การทำให้ตัวเองดูสบาย ๆ บนบอร์ดเท่านั้นเอง”
การปรากฏตัวของแก๊งซี-บอยส์ในหนังก็ไม่ได้ออกมาดูดี อัลวาดูเป็นเด็กโอหังที่พร้อมเล่นงานเพื่อนทุกคน เพรัลทาเป็นเด็กใสซื่อหัวใจบริสุทธิ์ ที่ให้เกียรติกับทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งตัวเองก็ทำให้เพื่อน ๆ เชื่อในการใส่สีสันให้กับตัวละคร และยอมให้ตัวเองปรากฏบนจอแบบนั้น “เจย์ไม่ได้ดูกราดเกรี้ยวแบบที่เห็นในหนัง โทนีก็ไม่ได้ก้าวร้าวแบบนั้น ผมก็ไม่ได้เป๊ะกับในหนัง แต่นี่คือหนัง เราต้องมีการสร้างลักษณะตัวละครขึ้นมา” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การแข่งขันกันเองของพวกเขาที่เป็นไปในหนัง ไม่เกิดขึ้นจริง “สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เราทุกคนเป็นเด็กหนุ่มและต่างก็ต้องการเป็นคนที่เจ๋งที่สุด แล้วก็มีเพียงแค่โอกาสเหล่านั้นเท่านั้น” เพรัลทาบอก “พอทีมแตก พวกเรายังคงแข่งขัน ต่อสู้กัน เรามองกันและกันเป็นคู่แข่ง ต้องเผชิญหน้ากัน ผมอยากเอาชนะโทนี โทนีก็อยากชนะผม มันเป็นเรื่องแบบนั้น”
ที่แน่ ๆ ไม่มีใครในทีมซี-บอยส์คิดว่า พวกเขากำลังสร้างสิ่งที่เป็น ‘ปรากฏการณ์’ “พวกเราถูกมองว่าป่าเถื่อนเกินกว่าจะคิดว่าเรากำลังเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง” เพรัลทากล่าว ถึงจะบุกเข้าไปในบ้านของใครสักคน เพื่อเล่นสเก็ตบอร์ดในสระ พวกเขาก็ไม่ใช่เด็กป่าเถื่อน เพราะส่วนใหญ่แล้ว ไม่มีการทำลายข้าวของ “พวกเราเคยโดนด่า และถูกขึ้นแบล็กลิสต์ ต่อให้ใครก็ไม่รู้เป็นคนเข้าไป แล้วก็ทำอะไรแบบนั้น” อัลวาเล่า “ยกเว้นว่า พวกเราจะพ่นภาพกราฟิตี ไม่ใช่ในสระนะ ส่วนมากเป็นบนกำแพงหรือผนังบ้านแถว ๆ นั้น เพราะนั่นเป็นการเตือนคนอื่นว่านี่คือถิ่นคุณ มันแตกต่างกันนะ แต่นี่เป็นในสระ แล้วเราไม่เคยไปขโมยของหรือทุบกระจกบ้านใคร เราแค่เล่นสเก็ตบอร์ดในสระ”
เมื่อมีลูกมีเต้าของตัวเอง เพรัลทาก็ได้เห็นวงล้อประวัติศาสตร์หมุนมาทับรอยเดิม “ลูกผมเคยเข้ามาในบ้าน” เพรัลทาเล่า “แล้วบอกว่า ‘ผมอยากคุยกับพ่อครับ เราแอบเข้าไปในบ้านที่อยู่ถัดออกไปราว ๆ 2 บล็อก มันมีสระว่ายน้ำด้วย แล้วเราก็ลงไปเล่นสเก็ตกัน’ จากนั้นเขาก็มองหน้าผม แล้วพูดว่า ‘พ่อไม่โกรธผมนะครับ พ่อก็เคยทำแบบเดียวกันมาก่อน’ ผมมองหน้าเขา สิ่งที่ผมพูดได้ก็คือ ‘ลูกใส่หมวกกันน็อกหรือเปล่า?’ ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นอีกแล้ว ปัจจุบันออสติน ลูกชายคนเดียวของเพรัลทา เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2012
สิ่งที่พวกเขาสร้างเอาไว้ให้ชุมชนสเก็ตบอร์ด กินความมากกว่าสไตล์การเล่นสเก็ตบอร์ดยุคใหม่ อัลวาที่เล่นกระดานโต้คลื่นและไถบอร์ดตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ยังทำงานร่วมกับแวนส์ (Vans) ตั้งแต่ปี 1974 ซึ่งเป็นรองเท้าที่พ่อซื้อให้ใส่ตั้งแต่เด็ก เพื่อออกแบบรองเท้าที่เหมาะกับการเล่นสเก็ตบอร์ดแท้ ๆ โดยรองเท้าที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1966 รายนี้เป็นรองเท้าที่เด็ก ๆ ในซานตา มอนิก้าเลือกใช้
แล้วตอนอายุ 19 ปี ราว ๆ ปี 1977 อัลวาก็ก่อตั้งบริษัท Alva Skates ซึ่งเป็นบริษัทสเก็ตบอร์ดรายแรกที่บริหารและเป็นเจ้าของโดยนักกีฬาตัวจริง แล้วยังเป็นหนึ่งในบริษัทแรก ๆ ที่ใช้ไม้เมเปิล พลายวูดของแคนาดา มาทำกระดาน แล้วเป็นผู้บุกเบิกการติดอุปกรณ์ใต้กระดานที่ชื่อ Rip Grip นอกจากนี้ในช่วงต้นยุค 1980s อัลวายังเป็นมือเบสให้วงพังก์ Skoundrelz ตามด้วยเป็นสมาชิกยุคแรกของวงร็อก Junkyard และเมื่อปี 2007 อัลวาตั้งวง G.F.P. – General Fucking Principle ต่อด้วยเป็นหนึ่งในสมาชิกวงร็อก His Eyes Have Fangs ในปี 2013
ส่วนเพรัลทาที่เข้าทีมซี-บอยส์ตอนอายุ 15 และกลายเป็นนักสเก็ตบอร์ดอาชีพระดับท็อปตั้งแต่อายุแค่ 19 ปี ก็มีบริษัทพาวเวลล์ เพรัลทาของตัวเอง ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริษัทสเก็ตบอร์ดที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของยุค 1980s ที่ยังมีทีมสเก็ตบอร์ด Bones Brigade อยู่ในการดูแล ซึ่งสมาชิกหลาย ๆ คน ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิวัติการเล่นบอร์ดยุคใหม่ ซึ่งในปี 1984 เพรัลทาก็ได้กำกับและสร้างวิดีโอเกี่ยวกับสเก็ตเรื่องแรก ‘The Bones Brigade Video Show’ อีกด้วย
เมื่อปล่อยมือจากบริษัทในปี 1992 เพรัลทาหันมาทำงานภาพยนตร์ทั้งโทรทัศน์, หนังใหญ่ รวมถึงงานโฆษณาเต็มตัว ซึ่งหนึ่งจำนวนนั้นก็คือ โฆษณาสุดอื้อฉาวของเบอร์เกอร์ คิง ที่ใช้คนพื้นเมือง เช่น เอสกิโมในกรีนแลนด์ และม้งในไทย ซึ่งถูกตำหนิว่าหาประโยชน์จากคนพื้นบ้าน
เจย์ อดัมส์ เด็กหนุ่มผู้รักอิสระ เริ่มเล่นกระดานโต้คลื่น ไถบอร์ดตั้งแต่ 4 ขวบ และมีสไตล์การเล่นบอร์ดที่โดดเด่น ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก แลร์รี เบอร์เทิลแมนน์ (Larry Bertlemann) นักเล่นกระดานโต้คลื่นอาชีพ ที่มักเอามือสัมผัสกับเกลียวคลื่นยามโลดแล่นไปกับมัน อดัมส์เป็นสมาชิกที่เด็กที่สุดในทีมด้วยอายุ 13 ปี อัลวาพูดถึงเพื่อนคนนี้เอาไว้ว่า “เด็กบางคนเกิดและโตมาด้วยแคร็กเกอร์กับนมสด แต่เขาเกิดและโตมาบนกระดานโต้คลื่นและสเก็ตบอร์ด”
อายุแค่ 15 ปีอดัมส์คือนักสเก็ตบอร์ดคนแรก ๆ ที่เล่นท่า ‘คว้าอากาศ’ (catching air) เหนือขอบสระว่ายน้ำ และหลังทีมแตกอดัมส์กับพ่อเลี้ยง เคนต์ เชอร์วูด (Kent Sherwood) ร่วมกันตั้งทีม เอซ-ไรเดอร์ (Ez-Ryder) ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ซี-เฟล็กซ์ (Z-Flex) ในเวลาต่อมา
เทียบกับเพื่อน ๆ ชีวิตของอดัมส์ไม่ได้สวยงามนัก เขาติดคุกอยู่หลายครั้งและติดยาเสพติด ในปี 1982 เขาถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน ข้อหาก่อให้เกิดการต่อสู้กันจนมีผู้เสียชีวิต ช่วงปลายยุค 1990s หลังน้องชายถูกฆาตกรรม, แม่, พ่อ และยาย เสียชีวิตในปีเดียวกัน อดัมส์หันไปหาเฮโรอีน และถูกจับติดคุก 2 ปีครึ่งจากข้อหาใช้ยาเสพติดที่ฮาวาย ขณะที่กำลังถ่ายทำสารคดี ‘Dogtown and Z-Boys’ ก่อนจะถูกปล่อยตัวในปี 2002 แต่ 3 ปีต่อมาก็ติดคุกอีก เมื่อถูกจับได้ว่าเป็นตัวกลางในการซื้อขายยาไอซ์ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้น เขาเดินสายพูดเรื่องการต่อสู้ในอดีตให้เด็ก ๆ ตามโรงเรียนฟัง อดัมส์ถูกตัดสินจำคุก 4 ปี แต่ปี 2008 ก็ถูกส่งมาอยู่ในบ้านพักฟื้น ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวในเดือนมกราคม 2014 โดยในปี 2012 เขาได้รับการจารึกชื่อในหอประกาศเกียรติคุณสเก็ตบอร์ด
อดัมส์เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย เมื่อ 15 สิงหาคม 2014 ในวัย 53 ปี แต่สไตล์การเล่นของเขาก็ยังได้รับการจดจำ และรำลึกถึงเสมอ เพรัลทา พูดถึงอดัมส์ไว้ว่า “เขาอาจจะไม่ใช่นักสเก็ตที่เจ๋งที่สุดตลอดกาล แต่ผมกล้าพูดว่า เขาคือต้นแบบของการเล่นสเก็ตบอร์ดยุคใหม่”
แล้วกับเด็ก ๆ ที่เพิ่งได้รับรู้เรื่องราวที่เป็นจุดกำเนิดของการเล่นสเก็ตบอร์ดยุคใหม่ สมาชิกของซี-บอยส์หวังว่า ‘Lords of Dogtown’ น่าจะทำให้คนอีกรุ่นได้ภูมิใจว่า เจ้ากีฬาชนิดนี้เดินทางมาไกลขนาดไหน “คงเป็นเรื่องดี ถ้าพวกเขาดูหนังจบแล้วก็เข้าใจได้ดีขึ้นว่า สเก็ตบอร์ดมาจากไหน” เพรัลทา กล่าว “อย่าง ครั้งแรกที่สไปก์ จอนซ์ (Spike Jonze) ได้ดูหนังสารคดี เขาบอกว่า ‘ผมไม่รู้เลยว่า พวกคุณเป็นคนที่คิดเล่นบอร์ดในสระน้ำ ผมมองข้ามไปเลยว่าคุณเป็นคนทำมัน’ บางทีขอแค่คนที่ได้ดูแล้วบอกว่า ‘พระเจ้า…มันเริ่มต้นแบบนี้เองเหรอ’”
“มันแสดงให้เห็นว่า สเก็ตบอร์ดพัฒนามาจากกระดานโต้คลื่น โดยเฉพาะในแอลเอ.” อัลวาเสริม “จากกระดานโต้คลื่น มาอยู่บนถนน แล้วก็ไปที่สนามหลังบ้าน พื้นที่ส่วนตัวของผู้คน สระว่ายน้ำ”
ที่วันนี้ หลังผ่านกาลเวลา มันเดินทางมาอยู่บนลานซีเมนต์กว้าง ๆ พื้นที่โล่งตามห้าง หรือสวนสาธารณะ ของเมืองไทย อย่างครึกครื้น
อ้างอิง 1 อ้างอิง 2 อ้างอิง 3 อ้างอิง 4 อ้างอิง 5
อ้างอิง 6 อ้างอิง 7 อ้างอิง 8 อ้างอิง 9
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส