นับว่าน่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยสำหรับการร่วมงานกันครั้งแรกระหว่าง แซค สไนเดอร์ (Zack Snyder) ยอดผู้กำกับวิสัยทัศน์สุดเฉียบจากหนังซูเปอร์ฮีโร ‘Man of Steel’ ที่คราวนี้เขาจะได้หวนกลับไปสู่การทำหนังซอมบี้หลัง ‘Dawn of the dead’ งานหนังซอมบี้ที่สร้างชื่อให้เขาเป็นที่รู้จักและปูเส้นทางอาชีพอันรุ่งโรจน์ โดยคราวนี้เขากลับมาทำหนังซอมบี้แอ็กชันอย่าง ‘Army of the Dead’ โดย Beartai – Buzz ได้โอกาสอันดีในการสัมภาษณ์ทั้งแซค สไนเดอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์และนักแสดงนำทั้ง เดฟ บอทิสตา (Dave Bautista) หนุ่มสุดล่ำเจ้าของบทแดร็กซ์ จาก ‘Guardians of the galaxy’ และ เอลลา เพอร์เนล (Ella Purnell) นักแสดงสาวดาวรุ่งจาก ‘Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children’ มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองสนุกสนานจากการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ด้วย
บทสัมภาษณ์แซค สไนเดอร์
อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณกลับมาทำหนังซอมบี้อีกครั้ง
แซค: ความจริงแล้วผมยังประหลาดใจกับตัวเองเลยนะครับ (หัวเราะ) เอาจริง ๆ หนังซอมบี้เป็นหนึ่งในประสบการณ์ทางภาพยนตร์ที่ทำให้ผมหลงรักการทำหนังเลย อันที่จริง ๆ จะเรียกว่ากลับมาสู่วงการหนังซอมบี้ผมเองก็ตะขิดตะขวงใจอยู่ลึก ๆ เพราะไอเดียนี้มันอยู่ในหัวผมมานานมากเลยจนเหมือนเราไม่ได้ห่างจากการทำหนังซอมบี้ขนาดนั้น
ทำไมคุณถึงเลือกลาส เวกัส เป็นฉากหลังในหนัง
แซค : ผมคิดว่าหนังซอมบี้มักวิพากษ์วิจารณ์สังคม ผมเคยทำหนังซอมบี้ในห้างสรรพสินค้า (Dawn of the Dead) มาแล้วซึ่งผมสามารถสร้างอารมณ์ขันจากมันได้ ดังนั้นการเอาเวกัสเป็นฉากหลังเพื่อสื่อถึงนิสัยของมนุษย์ที่ชอบเล่นการพนันก็นับเป็นอีกหนึ่งวิธีการในการเล่าเรื่องราวของตัวละครในหนังได้ครับ
แนวคิดเบื้องหลังการออกแบบตัวละครของคุณเป็นอย่างไร
แซค : คนสนใจหนังซอมบี้เพราะซอมบี้คืออสุรกาย แต่ที่จริงแล้วมนุษย์คืออสุรกายในหนังซอมบี้ครับ เพราะซอมบี้ก็คือมนุษย์ที่ไร้มนุษยธรรมผมก็เลยคิดว่าจะผลักดันมันไปอีกระดับได้ยังไงก็เลยวิวัฒนาการให้คนเห็นว่าซอมบี้ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ฆ่ากันเองและมีการดูแลผู้คนในเผ่าพันธุ์ตัวเองนั่นแหละครับที่จะทำให้คนดูรู้สึกว่ามันแตกต่าง
การผ่านหนังทั้งซูเปอร์ฮีโร แฟนตาซีหรือหนังซอมบี้เองให้อะไรกับคุณในฐานะคนทำหนังบ้าง
แซค : แน่นอนครับมันเป็นการเล่าเรื่องสเกลระดับตำนานทั้งนั้น มันทั้งให้แรงบันดาลใจและทำให้ผมหลงใหลเวลาที่ต้องเล่าสัจธรรมของมนุษย์ในเรื่องเล่า ซึ่งการเปรียบเปรยของมันทำให้ผมสนใจและอยากทำให้มันน่าเชื่อถือที่สุด
สถานการณ์การระบาดของโควิด 19 มีผลต่อการเล่าเรื่องราวในหนังบ้างไหม
แซค : เราถ่ายทำก่อนเกิดโรคระบาดครับ เราเลยยังไม่ได้ใช้เครื่องวัดอุณหภูมิหรือการกักตัวนักแสดงในมาตรการถ่ายทำเลย เราก็เลยสนุกกับการถ่ายทำอย่างบ้าระห่ำมาก แต่ในขณะเดียวกันการเมืองในหนังเองก็สื่อให้เห็นชัดเจนว่ามีภาพของนักการเมืองที่แนวคิดบ้าระห่ำแบบคาวบอยกับพวกอนุรักษ์นิยมสุดขั้วให้เห็น แต่เอาเข้าจริงตอนโควิด 19 ระบาดหนังของเราก็เสร็จไปประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์แล้วล่ะครับ มีแค่ถ่ายซ่อมบ้างฉากในช่วงเกิดสถานการณ์ระบาดบ้าง แต่ก็น่าสนใจดีครับที่มีการเปรียบเทียบหนังกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ในหนังปล้นช่วงของการคัดคนเข้าทีมแล้วนำเสนอตัวละครด้วยการตัดต่อแบบมองทาจทำได้น่าสนใจมาก คุณนำเสนอซีนนี้เพราะชอบหนังปล้นคลาสสิกหรือแค่อยากจะยั่วล้อมัน
แซค : ไม่เลย..ผมชอบหนังปล้นทุกเรื่องแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ แม้มันจะดูเป็นคอนเซปต์ที่ดูบ๊อง ๆ แต่ผมก็รักมันมากเวลาดูหนังปล้นต่าง ๆ แล้วตอนถ่ายผมก็สนุกมากเลย
หน้าต่อไปเรามีบทสัมภาษณ์ของ เดฟ บอทิสตา คลิกหน้า 2 เพื่ออ่านต่อได่้เลย
บทสัมภาษณ์เดฟ บอทิสตา
การได้ร่วมงานกับแซค สไนเดอร์เป็นอย่างไรบ้าง
เดฟ : ผมชอบทำงานกับแซคด้วยวิสัยทัศน์ที่ไม่เหมือนใครและผมได้เรียนรู้จากเขาเยอะมากและที่พิเศษสุด ๆ คือเขาไม่ได้เป็นแค่ผู้กำกับแต่ยังถ่ายภาพเองอีกด้วยเขาจะอยู่หลังกล้องหลักตลอดเวลา บ่าของเขาก็ไม่เคยว่างเว้นจากกล้องที่ต้องแบกเลย ดังนั้นเขาเลยไม่เหมือนผู้กำกับคนอื่นที่อยู่แต่หลังมอนิเตอร์คอยตัดสินการแสดงแต่ละฉากเขากลับเป็นแรงหนุนให้กับนักแสดงอย่างแท้จริงเพราะทำงานใกล้ชิดและคอยแนะนำตลอด ในขณะที่เราแบกปืนกล แซคก็แบกกล้องอ่ะครับ (หัวเราะ) ดังนั้นมันเลยเหมือนสหายร่วมศึกตลอดทั้งซีนที่เราถ่ายทำเลยล่ะครับ ดังนั้นเราเลยเคารพการทำงานของเขามากขึ้นไปอีกเพราะเขายอมตากแดดถ่ายทำกับเราแบบไม่ยอมนั่งหลบในร่มเงาตอนทำงานเราจะเห็นหน้ากันตลอดคอยซับพอร์ตนักแสดงเสมอนั่นทำให้เห็นว่าแซคเป็นตัวจริงแค่ไหน
แชร์ประสบการณ์ทำงานร่วมกับนักแสดงคนอื่น ๆ หน่อย
เดฟ : มันบ้าบิ่นมาก ๆ ครับ (หัวเราะ) ผมได้ร่วมงานกับนักแสดงที่มาจากทุกมุมโลกมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูงมาก แต่ละคนมาด้วยภูมิหลังที่ต่างกันและพกพาพลังงานมาเต็มไปแล้วปล่อยให้มันพรั่งพรูในการทำงาน ผมว่ามันมหัศจรรย์มาก ผมนี่ภาวนาให้เจอการทำงานแบบนี้มาโดยตลอด แล้วเคมีที่นักแสดงมีให้กันมันส่งผลต่อภาพที่ปรากฎบนจอได้เลยอย่างผมกับอนา (อนา เด ลา เรกูเอรา – Ana de la Reguera ผู้รับบทครูซ)เรามีเคมีความโรแมนติกกันโดยไม่ต้องแตะเนื้อต้องตัวเลยแต่คนดูจะสัมผัสได้ หรือตอนที่ ดีเธอร์กับแวนเดอร์โรห์ (แสดงโดย โอมารี ฮาร์ดวิกและแมตไธอัส ชไวโกเฟอร์)รวมตัวกันก็ทำให้เกิดเคมีที่น่าสนใจและสนุกสนานซึ่งหนังก็มีข้อความที่อยากส่งถึงผู้ชมนะครับหากคิดดี ๆ โดยเฉพาะการร่วมมือกันของคนแม้ต่างชาติพันธุ์ ต่างสีผิวและวัฒนธรรมซึ่งมันเป็นทางเดียวที่เราจะรอดจากวิกฤติได้ครับ ซึ่งผมก็หวังว่าหนังฮอลลีวูดจะยังเล่าเรื่องราวของคนหลากหลายเชื้อชาติต่อไปเพราะมันสำคัญมากจริง ๆ
หากคุณต้องต่อกรกับซอมบี้คุณจะเอาตัวรอดอย่างไรและจะเลือกใช้อาวุธอะไร
เดฟ : (หัวเราะ) ก่อนอื่นคงมองโลกในแง่ดีก่อนครับว่าเราจะต้องไม่เป็นไรจนกว่าสถานการณ์จะแย่ลงนะ ผมว่าผมคงรอดเพราะเตรียมตัวมาดี ส่วนอาวุธคงเป็นมีดเช่น มีดคารัมบิต (Karambit Knife) แล้วก็คงเป็นดาบคาตานะหรือดาบซามูไรน่ะครับ ถ้าผมมีไว้ก็คงอุ่นใจแล้วล่ะครับ ปลอดภัยหายห่วง (หัวเราะ)
ในเรื่องตัวละครสก็อตของคุณอยากทำฟู๊ดทรัก ถ้าเป็นคุณล่ะเดฟจะทำอะไรขาย
เดฟ : ถ้าผมมีฟู้ดทรักเหรอครับ อู้ว…ถ้าผมทำฟู้ดทรักผมคงขายของที่ผมกินได้ด้วยปัญหาสุขภาพผมเลยต้องเลือกอาหารนิดนึงครับ เพราะฉะนั้นคงต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากนมและกลูเตน ดังนั้นน่าจะเป็นกริลชีสแซนด์วิชปราศจากผลิตภัณฑ์นมและกลูเตนครับเพราะผมชอบมากและมันก็หากินยากมากเลย ดังนั้นคงเป็นฟู้ดทรักขายแซนด์วิชปราศจากผลิตภัณฑ์นมและกลูเตนครับ (หัวเราะ)
คุณคิดว่านิยามความเป็นพ่อในหนังกับชีวิตจริงแตกต่างหรือใกล้เคียงกันแค่ไหน
เดฟ : ความเป็นพ่อเหรอครับ (หัวเราะ) ผมว่ามันให้คำนิยามได้ยากมากเลยนะ คือมันไม่มีหนังสือสอนให้เป็นพ่อหรือสอนวิธีเลี้ยงลูกเลย แต่ผมคิดว่ามันมีคุณสมบัติบางอย่างที่ผมยึดถือนะเช่นการมีความรักที่ปราศจากเงื่อนไขให้ลูกของคุณคอยสนับสนุนในทุกสิ่งที่เขาเป็นและให้ลูก ๆ ได้มีชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่เรื่องแบบนี้มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแต่ละสถานการณ์ที่ครอบครัวต้องเผชิญนะครับ คุณจะหวังให้คำปรึกษาเดียวกันใช้ได้กับทุกคนมันเป็นไปไม่ได้เพราะสถานการณ์ของแต่ละคนมันต่างกันจริง ๆ แต่เหนืออื่นใดคือต้องพยายามเป็นพ่อแม่ที่มีความรักต่อลูกให้ได้มากที่สุด ถ้าเป็นได้ปัญหาต่าง ๆ คงหาทางลงของมันได้เอง เพราะลูกต้องการความรักจากคุณมากที่สุด สนับสนับสนุนให้เขาได้เป็นสิ่งที่อยากเป็นให้ดีที่สุดให้ความรักนำทางครับ
คุณมีความเห็นอย่างไรต่อบทบาทที่คุณได้รับเปรียบเทียบระหว่างหนังทุนสูงกับหนังบล็อกบัสเตอร์
เดฟ : แม้จะเป็นหนังทุนสูงก็ไม่ได้หมายความว่าบทจะไม่เข้มข้นหรือไม่มีมิตินะครับ สำหรับผมหากบทบาทนั้นมีความลึกซึ้งและเข้มข้นต่อให้เป็นหนังทุนสร้างไม่มากหากผมสนใจก็จะคว้าโอกาสนั้นไว้ผมจะไม่กังวลว่าจะได้ค่าตัวน้อยแค่ไหนหรือเสียเวลามากเท่าไหร่ อย่างผมรู้ว่า ‘Guardian of the galaxy’ จะฉายเดือนพฤศจิกายนแต่หากมีทีวีซีรีส์ที่อาจทุนสร้างไม่สูงมากติดต่อมาและบทดีมากในฐานะศิลปินผมคงต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ครับ
คุณมองเส้นทางการเติบโตจากนักมวยปล้ำสู่นักแสดงฮอลลีวูดเต็มตัวของคุณยังไง
เดฟ : ให้ตอบตามตรงคือผมไม่เคยมองย้อนกลับไปเลยครับ (หัวเราะ) ผมมองไปแต่ข้างหน้า ผมภูมิใจกับความสำเร็จกับงานทุกงานที่ทำนะครับ แต่ผมก็มองไปข้างหน้าถึงหนังเรื่องใหม่ที่ต้องแสดงและเป้าหมายใหม่ที่จะต้องเอาชนะให้ได้และงานที่ผมทำอยู่ก็รัดตัวเกินกว่าจะหันกลับไปมองยังวันคืนเก่า ๆ ได้ ผมมักตั้งเป้าว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าผมจะบรรลุเป้าหมายในงานอะไรบ้างและก็เหมือนทุกครั้งว่าพอผ่านไปสัก 2 ปีบางทีเป้าหมายก็อาจจะเปลี่ยนและทิศทางที่ผมจะบรรลุเป้าหมายใหม่ก็เกิดขึ้นอีก บางทีวันหนึ่งหากผมได้ทำทุกอย่างที่ตั้งใจผมอาจมองย้อนกลับไปในอดีตก็ได้เพราะวันนี้มันยุ่งเกินกว่าจะมองย้อนกลับไปจริง ๆ แต่ตอนนี้ผมคงต้องมองไปข้างหน้าเอาชนะเป้าหมายที่ตั้งใจไว้จนถึงวันหมดลมหายใจซะก่อนน่ะครับ
เรายังมีบทสัมภาษณ์ของเอลลา เพอร์เนล นักแสดงสาวสวยอีกคนในหน้า 3 นะครับ
บทสัมภาษณ์เอลลา เพอร์เนล
ร่วมงานกับแซก สไนเดอร์เป็นยังไงบ้าง
เอลลา : แซคเหมือนฝันที่เป็นจริงสำหรับนักแสดงเลยค่ะ เปี่ยมไปด้วยแพชชัน พลังงานเต็มเปี่ยมมีความสร้างสรรค์ เขาจำชื่อนักแสดงได้ทุกคนและอยู่ในงานทุกขั้นตอน และสิ่งที่ฉันประทับใจมากคือแซคเชื่อใจนักแสดงของเขาจริง ๆ ค่ะ หากฉันมีไอเดียอะไรนอกจากที่บทเขียนมาว่าอยากพูดประโยคนี้หรือต้องการให้เก็บโมเมนต์นี้ไว้เขาก็จะฟังและให้เราได้ลองทำค่ะ แถมในบางจังหวะยังหยิบกล้องมาถ่ายด้วยแสงธรรมชาติแบบไม่ต้องจัดนี่แหละค่ะคือพรสวรรค์เฉพาะตัวของนักทำหนังเลย
รู้สึกยังไงที่ได้ร่วมงานกับเดฟ บอทิสตา
เอลลา : เดฟมีพรสวรรค์ในการแสดงเป็นคนละเอียดอ่อนและมีความโดดเด่นเฉพาะตัวมากค่ะ ในขณะที่ภายนอกดูตัวใหญ่เหมาะกับหนังแอ็กชันเขากลับเข้าถึงความอ่อนโยนที่ตัวละครต้องเป็นได้ดีมากโดยเฉพาะการที่ต้องแสดงเป็นพ่อลูกกันกับฉัน เราไม่ค่อยได้เตรียมตัวเวิร์คชอปกันมากนักก่อนเปิดกล้องซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะบทต้องการให้เราดูห่างเหินกันและนั่นก็ทำให้เราส่งความตึงเครียดให้กันและกันได้ ซึ่งการแสดงของเราเข้าขากันมากแม้ครั้งแรกเราจะถ่ายรูปคู่กันในชุดเสื้อคลุมคริสต์มาสน่าเกลียด ๆ ท่ามกลางความร้อนตับแตกก็ตามแล้วเขาก็ทักนี่ฉันเป็นพ่อเธอนะเป็นยังไงบ้างซึ่งก็ทำให้เราคุ้นเคยกันได้อย่างรวดเร็วเลยค่ะ
บอกความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงคนอื่น ๆ หน่อยครับ
เอลลา : การถ่ายทำสนุกมากค่ะ การได้นักแสดงจากนานาชาติเราเลยมีเรื่องให้เมาธ์กันได้ไม่ขาดปาก แถมยังได้คอนแท็กต์เวลาเดินทางไปไหนเราก็มีที่อยู่แล้วค่ะไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน นิวยอร์ก เม็กซิโก แล้วตอนทำงานด้วยกันก็สนุกมากทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะได้มาถ่ายทำในแต่ละวันโดยเฉพาะการแต่งตัวมาฆ่าซอมบี้ ซึ่งความสนุกในการทำงานส่วนหนึ่งก็มาจากแซคที่ร่วมหัวจมท้ายกับพวกเราตลอดเวลาเลยทำให้ทุกคนสนิทกันเหมือนครอบครัวในเวลาอันรวดเร็วมาก ๆ
คุณกับตัวละครเคตเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
เอลลา : เราเหมือนกันมากกว่าค่ะ ฉันกับเคตเรารักเพื่อนเหมือนกันแต่เคตจะมีเรื่องในอดีตที่น่าเศร้าจากการสูญเสียพ่อแม่ที่ฉันไม่เคยเผชิญมาก่อนนอกนั้นก็แทบจะถอดแบบกันได้เลยค่ะ
ตัวละครอื่น ๆ ในหนังค่อนข้างมีความมืดหม่นและดาร์คมากแต่ตัวละคร “เคต” ดูเป็นด้านสว่างและความหวังของมนุษย์คุณมีวิธีการทำความเข้าใจและเข้าถึงบทบาทของคุณอย่างไร
เอลลา : เป็นคำถามที่สำคัญมากค่ะ สิ่งที่เจ๋งมากสำหรับหนังเรื่องนี้คือนักแสดงของเรานานาชาติมาก สมาชิกแต่ละคนที่ถูกเลือกมาในทีมปล้นก็แตกต่างกันจนเหมือนไม่มีทางเข้ากันได้รวมถึงตัวละครเคตของฉันด้วยนะคะ รับรองว่าไม่ใช่คนที่จะอยู่ในสถานการณ์ซอมบี้ครองโลกแน่นอน แต่เวลาดูหนังแอ็กชันคุณก็จะเบื่อหากมีแต่คนที่เก่งเรื่องบู๊อย่างเดียว ดังนั้นตัวละครของฉันเหมือนเป็นตัวเชื่อมให้คนดูคล้อยตามได้เพราะเป็นคนธรรมดาที่ต้องต่อสู้กับศัตรูที่ไม่ธรรมดาอย่างซอมบี้ แต่ใช่ เคต ไม่ใช่คนที่ร่วมทีมเพราะต้องการเงิน เธอแค่อยากจะช่วยเพื่อน ๆ ของเธอซึ่งก็เหมือนฉันหากจะต้องฝ่าฟันซอมบี้คงไม่ใช่เพื่อเงินอย่างแน่นอน เคตเป็นคนหัวดื้อและห้าวเป้งมาก ๆ ฉันคงบอกคุณได้แค่นี้แหละนะ
คุณเตรียมตัวอย่างไรสำหรับหนังซอมบี้เรื่องแรก
เอลลา : นี่เป็นหนังซอมบี้เรื่องแรกรวมถึงหนังแอ็กชันเรื่องแรกด้วยค่ะ แม้จะมีหลากหลายอารมณ์ทั้งขบขันและดราม่า แต่สำหรับการต้องมาเล่นหนังแอ็กชันฉันก็กังวลค่ะมีการเข้ายิมเพิ่มกล้ามเนื้อเพราะกลัวจะผอมไปมีฝึกการต่อสู้กับเทรนเนอร์ ซึ่งมันก็สนุกดีที่ได้ใช้สมองหรือร่างกายไปกับเรื่องใหม่ ๆ ในชีวิตอย่างการต่อสู้ หรือการสร้างอารมณ์ที่สัมพันธ์กับตัวละครทั้งความกล้าบ้าบิ่นและความกลัว เป็นการขยายขอบเขตความสามารถในการแสดงของฉันซึ่งก็หวังว่าจะได้พัฒนาต่อไปอีกเรื่อย ๆ นะคะ
คุณรู้สึกยังไงที่ตัวละครผู้หญิงในเรื่องเป็นเหมือนผู้กอบกู้สถานการณ์ มีความแข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยความเป็นแม่มากขนาดนี้
เอลลา : ฉันดีใจค่ะที่เรามีตัวละครผู้หญิงที่ยืนหยัดด้วยตัวเองได้ สามารถฆ่าซอมบี้เอาตัวรอดได้โดยไม่ต้องรอผู้ชายมาช่วยเหลืออย่างที่เคยเห็นในหนังแอ็กชันหรือหนังซอมบี้ก็ตามมันเหมือนเป็นบันทึกบทใหม่ที่ว่าตัวละครของพวกเธอมีทั้งความน่าประทับใจจากความงามภายนอกและความแกร่งภายใน และไม่ใช่แค่ตัวละครผู้หญิงนะคะ ตัวละครผู้ชายเองก็มีมิติที่น่าสนใจเช่นบทของเดฟที่พยายามหาทางสานสัมพันธ์กับลูกสาว ซึ่งมันทำให้เห็นว่าบทหนังไม่ได้สร้างตัวละครที่แบนออกมา ตัวละครหญิงในเรื่องมีความแซ่บกันทุกตัวถ้าไม่มีผู้หญิงก็ไม่มีใครในทีมปล้นรอดได้แน่นอน ซึ่งมันก็ถูกถ่ายออกมาให้เห็นและฉันก็ภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการพลิกโฉมหน้าตัวละครหญิงในโลกภาพยนตร์ยุคนี้
ถ้าคุณได้เงินมหาศาลจากการปล้น คุณจะเอาเงินไปทำอะไร
เอลลา : ตัวละคร เคต ของฉันไม่ได้ไปปล้นเพื่อเงินนะคะเธอไปช่วยเพื่อนแต่ฉันจะหยิบเงินจากการปล้นมามั้ย..ก็เป็นไปได้ ส่วนจะใช้กับอะไร ฉันคงเอาไปทำความดี บริจาคการกุศล เอาเงินให้โรงเรียน แล้วอาจจะเอาไปซื้อรองเท้า กระเป๋าสวย ๆ แหมฟังดูไม่ดีเลยแต่นี่แหละจุดอ่อนของฉัน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส