บาฮูบาลี เป็นหนังสร้างปรากฎการณ์ใหม่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดในประวัติศาสตร์หนังอินเดียถึง 18 ล้านเหรียญ และเป็นหนังอินเดียทำรายทั่วโลกสูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจาก PK และ Bajrangi Bhaijaan ถึงวันนี้ บาฮูบาลี กวาดรายได้ไปแล้วถึง 91 ล้านเหรียญ เป็นรายได้ที่ยังไม่รวมตลาดใหญ่สุดในจีน ที่จะเปิดฉายถึง 5,000 โรง ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งอาจจะขึ้นแซงเป็นอันดับ1 ก็ได้อ่านเรื่องราวของหนัง บาฮูบาลี ทำให้ได้รู้ว่า บาฮูบาลี ถูกสร้างจาก ทอลลีวู้ด อีก1แหล่งอุตสาหกรรมผลิตหนังทางตอนใต้ของอินเดียอยู่ในเมืองไฮเดอราบัค ส่วนบอลลีวู้ด ที่เราคุ้นคำนี้กันนั้น อยู่ในมุมไบ แต่ปัจจุบัน ทอลลีวู้ด ผลิตหนังได้มากกว่า บอลลีวู้ด แล้วภายใน 1 ปี สร้างหนังกันมากกว่า 1,000 เรื่อง หนังของ ทอลลีวู้ด จะพูดภาษาเตลูกู หรือภาษาทมิฬ แล้วพอออกฉายก็จะพากย์ภาษาฮินดีทับ
บาฮูบาลี ออกแนวนิยายปรัมปราเกี่ยวกับกษัตริย์และเทพ เอามหากาพย์รามายณะมาผสมกับนิยายพื้นบ้าน ออกมาเป็นเรื่องราวของ บาฮูบาลี หนังย้อนไปเล่าตั้งแต่เขายังเป็นทารก ที่รอดชีวิตจากเหตุกบฎชิงบัลลังก์ของมหานครมหิตมาตี เกิดเหตุกลียุคพี่น้องชิงบัลลังก์กันเอง วาสิกามี สมเด็จย่าอุ้ม บาฮูบาลี หนีการตามล่าจากทหารกบฎ เธอต่อสู้จนตัวตาย โชคดีได้ชาวบ้านมารับ บาฮูบาลี ไปเลี้ยง เขาเติบโตมาในหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมน้ำตกใหญ่ ทุกวันเขาจะแหงนหน้ามองยอดเขาต้นทางน้ำตก เหมือนมีอะไรดลใจว่ามีบางสิ่งรอคอยเขาอยู่บนยอดผานั้น จนอายุ 25 บาฮูบาลีก็ไต่ขึ้นยอดน้ำตกได้สำเร็จ ได้พบกับเหล่าทหารกองโจรที่หวังจะโค่นล้มราชบัลลังก์โฉด และได้พบความลับถึงต้นกำเนิดของตัวเขาเอง ได้รับรู้ความโหดร้ายที่พ่อแม่ได้เผชิญ และภารกิจบังคับที่จะต้องช่วงชิงบัลลังก์คืน หนังจบแบบยังคงทิ้งปริศนาคาใจ ให้คนดูต้องตามต่อในภาค 2 ที่จะเป็นภาคจบ กำหนดฉายปลายปี 2016 เลย ด้วยทุนสร้างที่มากขึ้นไปอีกถึง 24 ล้านเหรียญ
ใครที่ไม่เคยดูหนังอินเดีย หรือเคยดูนานแล้ว อยากให้ลองดูเรื่องนี้ครับ อุตสาหกรรมหนังอินเดียวันนี้ก้าวหน้าไปไกลมาก พูดได้ชัดเจนว่าเป็นงานสร้างยิ่งใหญ่อลังการมาก ภาพสวยเห็นถึงความประณีตตั้งใจ งานซีจีฝีมือบริษัทอินเดียล้วนๆ ที่คุณภาพทัดเทียมฮอลลีวู้ดเลย ภาพเอฟเฟ็คท์เนียนแต่ก็มีบ้างบางฉากที่ยังดูหลอกๆ แต่ไม่ถึงกับน่าเกลียดจนขัดหูขัดตา เรื่องราวมีปริศนาน่าติดตาม มีบทเฉลยในช่วงท้ายแต่ก็ยังมีปริศนาใหม่และตัวละครใหม่ที่รอมีบทบาทอีกมากในภาค 2
ชั่วโมงครึ่งแรกของหนังยังเดินหน้าไปค่อนข้างช้า มีเอกลักษณ์ความเป็นหนังอินเดียอยู่มาก เพลงเยอะเดี๋ยวร้องเดี๋ยวเต้น ยังมีฉากพระนางร้องเต้นวิ่งไล่กันให้เห็นอยู่ นางเอกยังคงทรงนิยมของอินเดียแทบไม่เห็นเอว บทมีช่องโหว่อยู่มากไร้เหตุผลที่มาที่ไป อย่างเรื่องพละกำลังมหาศาลของ บาฮูบาลี ที่ไม่มีคำอธิบาย อวันติกา นางเอกของเรื่องไล่ฆ่า บาฮูบาลี เมื่อแรกเจอ วิ่งไล่ฟันกันห่างกันแค่ไม่กี่นาทีเปลี่ยนเป็นหลงรัก แล้วก็ซั่มกัน พอเข้าชั่วโมงท้ายหนังย้อนอดีตไปเล่าเหตุการณ์เมื่อ 50 ปีก่อน ยุครุ่งเรืองของหมิตมาตี ที่ต้องทำศึกกับทัพกาลาเกย่า อารมณ์หนังเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละเรื่อง ฉากรบลากยาวทำให้โทนหนังสนุกขึ้นมาก แม้จะดูออกชัดเจนว่าได้รับอิทธิพลจาก ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง มา ทั้งภาพและดีไซน์ตัวละคร แต่ก็ยังสอดแทรกกลยุทธ์การรบที่แปลกใหม่ไม่เคยเห็นมาก่อน ฉากต่อสู้รุนแรงเลือดกระฉูดแต่ไม่มีภาพหวาดเสียว เห็นชัดว่ามีการทำการบ้านคิดค้นฉากต่อสู้มาดี อาวุธแปลกใหม่ดาบใหญ่ ตุ้มยักษ์ที่ดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอินเดีย ดนตรีเล่นใหญ่ในทุกๆฉากบิลท์อารมณ์กันจนเฝือ ไม่เผื่อเก็บไว้เล่นในฉากใหญ่เลย ฉากเวอร์ ๆ เท่ ๆ เยอะมาก ตั้งใจส่งพระเอกกันสุด ๆ โดยเฉพาะฉากโดดน้ำตก ยิงธนูกลางอากาศนี่ร้อง โอ้วว ตัวละครที่ผมชอบมากคือ วาสิกามี บทของเธอประมาณฮองเฮาผู้รักษาการณ์ปกครองประเทศ เป็นหญิงแกร่งดุ สายตามีพลังมาก ถ่ายทอดอารมณ์ได้ถึงคนดูเลย ฉากเปิดตัวอุ้มเด็กนั่งบัลลังก์จัดการกบฎเท่มาก
เป็นหนังที่ควรค่าแก่การดูครับ ได้เปิดโลกทัศน์เห็นความก้าวหน้าของหนังอินเดียว่าวันนี้ก้าวไปไกลแล้ว ผมว่าคุณภาพแซงหน้าหนังจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วง 2-3 ปีหลังนี้แล้ว ถึงแม้หนังยังมีแผลอยู่หลายจุดแต่ความอลังการของภาพ ความตั้งใจของทีมงานก็สามารถลดรอยแผลต่างๆให้เล็กลงได้ หนังยาวมากครับ 2 ชั่วโมง 39 นาที ออกฉายตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ตอนนี้แผ่นดีวีดีออกแล้ว ก็เลยมีคนแปลซับไทยปล่อยให้ดูกันได้ตามเว็บดูหนังออนไลน์แล้ว เสียดายที่ไม่ได้สัมผัสความอลังการของภาพบนจอใหญ่ แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของการดูจอเล็กก็ตอนฉากย้อนเหตุการณ์ ฉากนี้เป็นฉากสำคัญแต่กลับเล่าเรื่องเร็ว ซับขึ้นเร็ว ตัวละครโผล่มาเพียบ ถ้าดูโรงในมีเหวอแน่ แต่พอดูที่บ้านก็เลยย้อนกลับไปอ่านอีกรอบได้ พอให้เข้าใจได้มากขึ้น