เดือนนี้มีอัลบั้มดี ๆ ที่หลายคนรอคอยอยู่ไม่ว่าจะเป็น ‘Sob Rock’ จาก John Mayer  หรือ ‘Blue Banisters’ จาก Lana Del Rey​ (ที่มีอันต้องเลื่อนไปก่อนและต้องรอลุ้นกันอีกทีว่าจะออกภายในเดือนนี้รึเปล่า) แต่ที่แน่ ๆ สิ้นเดือนนี้เรามีนัดกับอัลบั้ม ‘‘Happier Than Ever’ อัลบั้มเต็มชุดที่ 2 จาก Billie Eilish ที่จะว้าวสู้อัลบั้มแรกได้มั้ยก็ต้องรอฟังกัน และนอกจากนี้ยังมีอัลบั้มจากศิลปินอินดี้ที่สร้างสรรค์งานเพลงดี ๆ อีกมากมายหลากหลายสไตล์ให้ได้ฟังกัน ส่วนจะมีอัลบั้มไหนของศิลปินคนใดบ้างนั้นเราไปดูกันเลยครับ

Drama’ – Rodrigo Amarante

‘โรดริโก อมารันเช’ (Rodrigo Amarante) นักร้อง-นักแต่งเพลงชาวบราซิล อดีตมือกีต้าร์วง Los Hermanos และ Little Joy ผู้แต่งเพลงประกอบซีรีส์ Narcos และภาพยนตร์เรื่อง 7 Days In Entebbe ได้กลับมาทำงานเพลงเดี่ยวอีกครั้งในชื่อ ‘Drama’ ซึ่งเป็นอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 2 ของเขานับตั้งแต่ออกอัลบั้ม ‘Cavalo’ เมื่อปี 2013 ในอัลบั้ม ‘Drama’ นี้ อมารันเชได้สร้างคอลเล็กชันเพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ซึ่งเห็นได้จากซิงเกิล “I Can’t Wait” ที่มาพร้อมสุ้มเสียงอันไพเราะและการเรียบเรียงที่สร้างสรรค์ลุ่มลึกและหลากหลายของเขาทำให้งานดนตรีของเขามีความน่าสนใจอย่างมาก

Hotel Surrender’ – Chet Faker

หลังจากที่หยุดทำงานเพลงไปตั้งแต่ปี 2016 ในที่สุด ‘เชต เฟเกอร์’ (Chet Faker) หรือ นิโคลัส เจมส์ เมอร์ฟี (Nicholas James Murphy) ก็กำลังจะกลับมาอีกครั้งพร้อมอัลบั้มใหม่ที่ใช้ชื่อว่า ‘Hotel Surrender’ ที่เขาตั้งใจพกพาความไพเราะ ซาวด์และบีตโดน ๆ ในกลิ่นอายโซลและทริปฮอป กับเสียงร้องที่แฝงความกวน ซึ่งเริ่มจากการปล่อยซิงเกิลแรก “Low” ไปเมื่อปีที่แล้ว และตามมาด้วย “Get High” “Whatever Tomorrow “ และ​ “Feel Good” ที่เพิ่งปล่อยมาเมื่อเดือนที่แล้ว เชื่อว่า ‘Hotel Surrender’ จะมาพร้อมการปล่อยของแบบเต็มรูปแบบของเฟเกอร์แน่นอน

Scout’ – Samia

‘The Baby’ อัลบั้มเปิดตัวของ ‘ซาเมีย’ (Samia) เป็นหนึ่งในงานเพลงอินดี้ร็อกที่ดีที่สุดในปี 2020 เธอเป็นนักแต่งเพลงที่ยอดเยี่ยมและเพลงอย่าง “Pool” และ “Is There Something In The Movies?” จะทุ้มอยู่ในใจคุณไปอีกนานหลังจากที่ได้ฟังเป็นครั้งแรก โชคดีที่เราไม่ต้องรอนานนักสำหรับงานเพลงใหม่จากซาเมีย เพราะเธอกำลังกลับมาพร้อมอัลบั้ม EP ที่ชื่อว่า ‘Scout’ ที่มีเพลงที่พร้อมจะให้คุณเพลิดเพลินได้ไม่แพ้งานเพลงใน ‘The Baby’ หากคุณยังไม่เคยฟังเพลงของเธอลองประเดิมด้วยซิงเกิลล่าสุด “Show Up”  ได้เลย

‘Animal’ – Lump

อัลบั้มชุดที่ 2 ของ ‘LUMP’ ดูโอโปรเจกต์จาก ‘ลอร่า มาร์ลิง’ (Laura Marling) ศิลปินอินดี้โฟล์กชาวอังกฤษเจ้าของรางวัลศิลปินหญิงเดี่ยวยอดเยี่ยมจาก Brit Award และ ‘ไมก์ ลินด์เซย์’ (Mike Lindsay) โปรดิวเซอร์เจ้าของรางวัล Mercury Music Prize งานเพลงของทั้งคู่คือส่วนผสมของความต่างที่ลงตัวและในอัลบั้ม ‘Animal’ ก็ได้แสดงเอกลักษณ์อันนี้ให้เห็นได้อย่างเด่นชัด ลองฟังซิงเกิลที่ปล่อยออกมาแล้วอย่าง “Animal” และ “Climb Every Wall” ที่มีทั้งส่วนผสมของความดาร์กและความขี้เล่น การอยู่ในกรอบและความอิสระ บนซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ฟังดูเหมือนแปลกแปร่งแต่ก็เข้าหูอย่างประหลาด อีกทั้งองค์ประกอบทางดนตรีที่มีความมินิมอลในงานของทั้งคู่ก็ทำให้เรารู้สึกเพลินดีทีเดียว

‘Gold-Digger Sounds’ – Leon Bridges

หากใครประทับใจอัลบั้ม ‘Texas Sun EP.’ ผลงานจากสองศิลปินชาวเท็กซัสวงดนตรีไซคีเดลิก-ฟังก์ ‘Khruangbin’ (เครื่องบิน) และ นักร้องเพลงโซล ‘ลีออน บริดเจส’ (Leon Bridges) แล้วล่ะก็นี่คือโอกาสดีที่เราจะได้สัมผัสงานเพลงเดี่ยว ๆ ของหนุ่มบริดเจสคนนี้ที่มีชื่อว่า ‘Gold-Digger Sounds’

สิ่งหนึ่งที่เราสามารถวางใจได้เลยจากผลงานของลีออน บริดเจสนักร้องเพลงโซลผู้แจ้งเกิดจากบทเพลง “Coming Home” และอัลบั้มแรกที่มีชื่อเดียวกันในปี 2015 ซึ่งได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 58 ในสาขา Best R&B Album นั่นก็คืองานเพลงที่มีกลิ่นอายดนตรีในแบบโซลและอาร์แอนด์บีแบบคลาสสิกดั้งเดิมเพิ่มเติมคือความสดใหม่ ซึ่งดูเหมือนว่าบริดเจสจะร่ายมนต์สะกดเราให้หลงใหลในน้ำเสียงและท่วงทำนองของเขาได้อย่างง่ายดาย ลองฟัง “Why Don’t You Touch Me: Part 1” ซิงเกิลใหม่ล่าสุดของเขาดูก่อนแล้วจะหลงเลย

‘Sling’ – Clairo

‘แคลโร’ (Clairo) หรือ แคลร์ ค็อทริลล์ ศิลปินสาวผู้สร้างปรากฏการณ์จากเพลง “Pretty Girl” ที่เธอร้องเองแต่งเองและโปรดิวซ์เองจนโด่งดัง ได้ประกาศออกอัลบั้มชุดใหม่ที่ใช้ชื่อว่า ‘Sling’ ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดที่ 2 ของแคลโรต่อจาก ‘Immunity’ อัลบั้มเดบิวต์ที่ออกมาเมื่อปี 2019 และอัลบั้มชุดนี้จะเป็นอัลบั้มแรกที่ออกกับทางค่าย Republic ซึ่งเป็นค่ายเพลงในอเมริกาเหนือซึ่งจะออกวางจำหน่ายในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ แคลโรให้เราได้สัมผัสตัวอย่างของงานเพลงชิ้นใหม่ด้วยซิงเกิลที่มีสัมผัสอันอ่อนโยน “Blouse” บทเพลงโฟล์กในสไตล์ยุค 70s ในสุ้มเสียงแบบโมเดิร์นอันนุ่มนวลกลมกล่อมซึ่งมีเสียงร้องคอรัสจากลอร์ด (Lorde) ด้วย (ซึ่งแคลโรเองก็ไปร้องคอรัสร่วมกับฟีบี้ บริดเจอรส์ (Phoebe Bridgers) ในเพลง “Solar Power” ซิงเกิลล่าสุดของลอร์ด) เพลงนี้นับว่าเป็นเพลงอะคูสติกที่ละเอียดอ่อนที่สุดเท่าที่แคลโรเคยทำมา ในอัลบั้มนี้เธอผละจาก รอสแทม แบตแมงลีจ (Rostam Batmanglij) โค-โปรดิวซ์จากอัลบั้มชุดแรก ‘Immunity’ และมาร่วมงานกับแจ็ค แอนโตนอฟฟ์ (Jack Antonoff) เพื่อสร้างสรรค์งานเพลงในอัลบั้มที่มีชื่อว่า ‘Sling’ ซึ่งปกอัลบั้มเป็นภาพเธอกำลังอุ้มลูกสุนัข ‘Joanie’ ซึ่งเธอบอกว่าเป็น ‘ดาวเด่น’ ของอัลบั้มนี้ และตั้งแต่ที่เจ้าหมาน้อยเข้ามาในชีวิตของเธอ มันก็ได้ “บังคับให้เธอได้เผชิญกับความคิดของการเป็นพ่อแม่และความหมายของสิ่งนี้… และเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นบทเรียน , ความเสียใจที่นำไปสู่ความสำนึกผิด… หรือการได้คิดถึงบางสิ่งหรือใครบางคนก่อนที่จะคิดถึงตัวเอง” มันน่าสนใจมากเลยว่าความรักที่เธอมีต่อน้องหมาจะนำมาสู่อัลบั้มที่พาเราเข้าไปสู่แง่มุมของชีวิตได้อย่างน่าสนใจนั้นจะเป็นอย่างไร

https://www.youtube.com/watch?v=fJiM4BuX-hw

Take the Sadness Out of Saturday Night’ – Bleachers

อัลบั้มชุดที่ 3 ของวงอินดี้พอป ‘Bleachers’ วงดนตรีของนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์มือดีที่แต่งเพลงฮิตให้ศิลปินมากมายนั่นคือ ‘แจ็ค แอนโตนอฟฟ์’ (Jack Antonoff) ‘Bleachers’ คือโปรเจกต์ที่แอนโตนอฟฟ์ควบเองหมดทุกหน้าที่ แต่งเอง บันทึกเสียงเอง ร้องเอง ทำเองทุกอย่างแต่เวลาแสดงสดถึงจะมีผองเพื่อนักดนตรีมาช่วยเล่น แน่นอนว่าอัลบั้มชุดที่ 3 ‘Take the Sadness Out of Saturday Night’ นี้ Bleachers ก็ยังคงเอกลักษณ์ของงานดนตรีที่ได้รับอิทธิพลจากช่วงปลายยุค 80s ต้นยุค 90s และภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องชีวิตไฮสคูลของจอห์น ฮิวจ์ส (John Hughes) และนำมันมาผสานกับเทคนิคการสร้างสรรค์ดนตรีสมัยใหม่  สำงานเพลงในอัลบั้มใหม่นี้แอนโตนอฟฟ์ได้ออกแบบมาเพื่อให้เราได้นึกถึงค่ำคืนในฤดูร้อนอันแสนโรแมนติก ท้องถนนที่เปิดโล่ง และไดอารี่ของนักเรียนไฮสคูลที่เต็มไปด้วยเรื่องของความกังวลใจและความปรารถนาของวัยรุ่น ถึงแม้จะดูเหมือนว่างานหลักในทุกวันนี้ของแอนโตนอฟฟ์จะเป็นการสร้างสรรค์เพลงฮิตให้กับป็อปสตาร์เบอร์ใหญ่ ๆ ของโลกใบนี้ (เช่น เทย์เลอร์ สวิฟต์ หรือ ลอร์ด) แต่ชัดเจนว่าการได้เล่นดนตรีในบาร์เล็ก ๆ หรือเขียนเพลงอินดี้ป็อปดี ๆ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่เขารักและพร้อมที่จะทุ่มเทให้อยู่ดีและนี่ก็คือสิ่งที่การันตีว่าเราคงจะไม่ผิดหวังกับงานเพลงใน ‘Take the Sadness Out of Saturday Night’ เช่นเดียวกับการได้ฟังเพลงฮิตทั้งหลายที่เป็นฝีมือของแอนโตนอฟฟ์

‘Blue Banisters’ – Lana Del Rey

หากอัลบั้ม ‘Chemtrails Over The Country Club’ ของนักร้องสาว ลาน่า เดล เรย์ (Lana Del Rey) ที่ออกมาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมายังไม่สามารถเอาความยิ่งใหญ่ของอัลบั้ม ‘Norman Fucking Rockwell ‘ กลับคืนมาได้ ‘Blue Banisters’ อัลบั้มชุดล่าสุดและอัลบั้มชุดที่ 2 ของปีนี้ (ที่ออกตามกันมาแบบติด ๆ ) ก็น่าจะเป็นงานแก้มือที่น่าสนใจ ลองฟังซิงเกิลที่ปล่อยออกมาแล้วอย่าง “Text Book” และ “Wildflower Wildfire ” เราจะพบกับน้ำเสียงที่ไพเราะของลาน่าที่มาพร้อมสไตล์ที่แตกต่างออกไปจาก Chemtrails ก็น่าลุ้นกันว่าอัลบั้มเต็ม ๆ นั้นจะปังแค่ไหน แต่เดิมอัลบั้มชุดนี้มีกำหนดออกในวันชาติอเมริกา 4 กรกฎาคม แต่ต้องโดนโรคเลื่อนไปก่อน ซึ่งเธอก็ได้ย้ำผ่านอินสตาแกรมว่าอัลบั้มจะออกมา “เร็ว ๆ นี้” ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าจะกำหนดออกอาจจะยังอยู่ในเดือนนี้ และเธอก็ได้ปล่อยอาร์ตเวิร์กปกอัลบั้มมาให้เราได้ชมกันก่อนซึ่งเป็นภาพเธอในชุดเดรสสีเหลืองนั่งอยู่ข้าง ๆ น้องหมาเยอรมันเชเพิร์ด 2 ตัวของเธอคือเจ้าเท็กซ์และเจ้าเม็กซ์นั่นเอง

‘Sob Rock’ -John Mayer

พี่จอห์น ชาวไร่ เอ้ย ! ‘จอห์น เมเยอร์’ (John Mayer) กำลังจะกลับมาแล้ว คราวนี้เมเยอร์ได้พาเราไปสัมผัสกับอิทธิพลของงานดนตรียุค 80s ที่จะถ่ายทอดผ่านอัลบั้มใหม่ที่ใช้ชื่อว่า ‘Sob Rock’ โดยเขาตั้งใจที่จะทำให้อัลบั้มนี้มีความรู้สึกเหมือนเป็น ‘สิ่งใหม่’ มากกว่าที่จะเป็นเพียงการย้อนเวลากลับไปสู่ยุคนั้น

‘Sob Rock’ มีกำหนดออกในวันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคมนี้กับทางโคลัมเบียเร็คคอร์ดและมีปล่อยออกมาให้เราได้ฟังแล้ว 4 ซิงเกิล คือ “New Light” , “I Guess I Just Feel Like” , “Carry Me Away” และซิงเกิลล่าสุด “Last Train Home” ซึ่งเมเยอร์บอกว่าเต็มไปด้วย ‘การอ้างอิงทางดนตรีที่เด่นชัด’ (เชื่อว่าหลายคนฟังแล้วจะคิดถึงงานเพลงของวงดัง ๆ ในยุค 80s เช่นวง Toto หรือ REO Speedwagon อย่างแน่นอน) แต่ถึงอย่างนั้นเมเยอร์ก็ได้ทำมันออกมาในแนวทางใหม่ เพราะจอห์น เมเยอร์ใช้อิทธิพลของยุค 80s เป็นตัวนำทางแต่เขาก็พยายามหาส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างการดึงเอาอิทธิพลมาใช้กับการพาเราย้อนกลับไปในยุคนั้นและหลอมรวมให้กลายเป็นสิ่งใหม่ เชื่อว่าแฟน ๆ จะต้องตื่นเต้นกับอัลบั้มนี้แน่ๆ  แถมตัวปกอัลบั้มยังดีไซน์ออกมาคล้ายกับงานเพลง Soft Rock ในยุคนั้นด้วย

‘Happier Than Ever’ – Billie Eilish

30 กรกฎาคมนี้เราก็จะได้ฟังกันแล้วกับอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ของ ‘บิลลี อายลิช’ (Billie Eilish)  “Happier Than Ever” ซึ่งเป็นผลงานต่อจากอัลบั้มเปิดตัวของอายลิช ในปี 2019 “When We All Fall Asleep, Where Do We Go?” ซึ่งคว้ารางวัลแกรมมี่และติดอันดับชาร์ตเพลงไปทั่วโลก อายลิชบอกว่าอัลบั้มชุดใหม่นี้จะ ‘ตรงไปตรงมา’มากกว่าอัลบั้มเดบิวต์ของเธอ ซึ่งเธอบอกว่า “เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องในจินตนาการ”

ตอนนี้อายลิชปล่อยเพลงจากอัลบั้มออกมาให้เราได้ฟังกันแล้ว 5 เพลงคือ  “My Future” ซึ่งเป็นเพลงแรกที่อายลิชและ ฟินนีส์ โอคอนเนล (Finneas O’Connell) พี่ชายของเธอเขียนระหว่างการล็อกดาวน์หลังจากการเลื่อนและการยกเลิกเวิลด์ทัวร์ของเธอ ต่อมาคือ “Therefore I Am” ซึ่งหลังจากปล่อยเพลงนี้อายลิชก็ไปทำสีผมใหม่เป็นสีบลอนด์เป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ ‘ยุคใหม่’ ของเธอ “Your Power” และ “Lost Cause” ทั้ง 2 แทร็กต่างกล่าวถึงความสัมพันธ์ที่น่าผิดหวัง โดยเฉพาะ “Your Power” ที่พูดถึงความสัมพันธ์อันเป็นพิษที่ซ่อนอยู่ในความโรแมนติกระหว่างผู้ชายที่มีอายุมากกว่าและหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าซึ่งเธอบอกว่าเป็นเพลงโปรดที่สุดเท่าที่เธอเคยเขียนมา และล่าสุดกับ “NDA” ที่ให้อารมณ์ดาร์ก ลึกลับที่มาพร้อมเอ็มวีที่ทั้งหลอนทั้งหวือหวาตื่นตาตื่นใจซึ่งเธอร่วมกำกับเองด้วย

อายลิชเคยให้สัมภาษณ์กับโรลลิงสโตนว่าเธอเคยมีความสัมพันธ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ 2 ครั้งตั้งแต่ที่เริ่มเข้าสู่การเป็นบุคคลสาธารณะ และการแต่งเพลงได้ช่วยให้เธอกรั่นกรองประสบการณ์เหล่านั้นได้ดีมาก ๆ อายลิชบอกว่างานเพลงชุดนี้จะไม่มีเพลงไหนที่ให้อารมณ์สนุกเลย ส่วนใหญ่แล้วมันคือผลลัพธ์จากเรื่องบ้า ๆ ที่ส่งผลต่อจิตใจของเธอ มันก็เลยจะมีเพลงที่พูดถึงเรื่องดาร์ก ๆ อย่างการล่วงละเมิดทางอารมณ์ การแย่งชิงอำนาจ ความหวาดระแวง รวมไปถึงการใคร่ครวญถึงชื่อเสียงที่มีและจินตนาการของการพบปะแบบโรแมนติกกับใครสักคนแบบลับ ๆ เชื่อว่าอัลบั้มนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รู้จักกับตัวตนของอายลิชในอีกด้านหนึ่งได้ดีมาก ๆ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส