ผมค่อนข้างเชื่อมั่นในชื่อของ วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ในฐานะมือเขียนบทภาพยนตร์คุณภาพระดับต้น ๆ ของไทย และหนังจะไม่ทำให้ผิดหวังครับ วิศิษฎ์ ทิ้งช่วงจากหนัง อินทรีแดง ไปถึง 5 ปี แล้วก็กลับมากับหนังผีที่เป็นแนวถนัดของเขาอีกครั้ง แต่รอบนี้เปลี่ยนแนวสักหน่อย มาเป็นหนังที่เจาะตลาดวัยทีนมากขึ้น ใช้ดาราวัยรุ่นรับบทนำ และ ธีมหลักเป็นการสืบสวนบนบรรยากาศสยองขวัญ
พลอยชมพู สาวน้อยลูกครึ่งเยอรมันวัย 15 ที่โด่งดังจากการร้องเพลงคัฟเวอร์บนยูทูบ จนมีงานเพลงกับแกรมมี่ แล้วก็ผ่านงานแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ มามากทั้งมิวสิควีดีโอ โฆษณา และหนังสั้น คราวนี้ถึงทีได้รับบทนำเต็มตัวครั้งแรกต้องเจอกับบทยาก ๆ อยู่หลายซีนก็ถือว่าทำได้ผ่านนะครับ พลอยชมพู ในบท ม่อน เธอเป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียนคอนแวนท์ เธอผ่านอุบัติเหตุชวนช็อคในวัย 4 ขวบที่ต้องเสียทั้งพ่อและแม่ไป ทำให้เธอกลายเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างเงียบเก็บตัวเลยไม่ค่อยมีเพื่อน แต่ผลจากอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เธอมีญาณพิเศษได้กลิ่นวิญญาณและพูดคุยกับวิญญาณได้ ทำให้ รุ่นพี่ วิญณาณนักเรียนชายที่สิงสู่อยู่ในโรงเรียนนี้มากว่า 50 ปี ตามตื๊อให้ ม่อน ช่วยสืบสาวคดีฆาตกรรมคุณหญิงพรรณวดี เจ้าของดั้งเดิมของโรงเรียนนี้
ชอบเรื่องราวในส่วนของคดีสืบสวนครับ วิศิษฏ์ สร้างเรื่องตรงนี้ออกมาได้ลึกลับน่าติดตาม วางตัวละครในอดีตมาหลายคนที่ต่างก็พัวพันกันและน่าสงสัยไปหมด ชอบที่ดึงดารารุ่นเก่าอย่าง อาสะอาด เปียมพงสานต์ มาร่วมงานด้วย แล้วอาก็โชว์ลวดลายดารารุ่นเก๋าไม่ทำให้ผิดหวังเลย หนังวางเงื่อนงำคดีไว้ซับซ้อนดีแต่ไม่ชวนงง บทเฉลยตัวคนร้ายแม้ไม่ชวนอึ้งแต่ก็ไม่ตื้นขนาดคาดเดาได้ง่าย ๆ นัก พร้อมกับที่หนังออกฉาย คุณวิศิษฏ์ ก็เอาบทภาพยนตร์เรื่องนี้มาดัดแปลงเป็นนิยายชื่อเดียวกันด้วย หลายคนที่ได้อ่านบอกว่าฉบับนิยายบรรยายรายละเอียดได้ลึกซึ้งกว่าหนังครับ
ชอบการสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ของโลกวิญญาณ ที่นับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ในหนังผี และสามารถหยิบมาใช้เป็นสีสันในการดำเนินเรื่องได้ดีด้วย อย่างเช่น ผีจากอดีตกาล ไม่สามารถเดินผ่านพื้นที่ที่เคยมีกำแพงกั้นในช่วงเวลาที่เขาเคยมีชีวิตได้ คนปรกติไม่สามารถมองเห็นผีอย่างรุ่นพี่ได้ ถ้าใครมองเห็นแปลว่าคนนั้นใกล้ถึงฆาตแล้ว บางความสามารถก็ดูเกินจริงไปมาก รุ่นพี่ หยิบรื้อค้นเอกสารได้ หยิบหนังสือจากห้องสมุดมาปาทะลุกำแพงให้ม่อนได้ แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนน้อยของหนัง
แม้ว่าเส้นเรื่องหลักจะเป็นการแท็กทีมคนกับผีช่วยกันสืบสวนคดีในอดีต แต่หนังก็พยายามดันฉากผีหลอกออกมาบ่อยครั้งเพื่อให้พูดได้ว่านี่คือ หนังผี นะ ผีในเรื่องนี้ไม่ใช้ผีเมคอัพครับ แต่เป็นผีซีจีล้วน ๆ ทำออกมาได้เนียนนะครับถือว่าไม่น่าอาย แต่มันไม่น่ากลัวนี่สิ แล้วก็ไม่ได้บรรยากาศเงียบ ๆ ชวนลุ้นผีโผล่ และไม่มีผีตุ้งแช่ด้วย
ส่วนที่ไม่ชอบคือหนังมีกลิ่นของความเป็นญี่ปุ่นมากเกินไป โทนเรื่องการสืบสวนในโรงเรียนนี่ยังโอเค เพราะเราคุ้นกับการ์ตูนญี่ปุ่นแนวนี้กันมามาก แต่ก็ปรับให้เข้ากับเรื่องราวโบราณแบบไทย ๆ แล้ว แต่ที่ขัดหูขัดตามากคือ ตัวรุ่นพี่ ไม่ใช่ตัวผู้เล่น บอม พงศกร นะครับ ตัวบอม นี่ผมได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาว ๆ หลังออกจากโรงมาแล้วว่าหล่อมากหล่อเหลือเกิน ตรงนี้คงกลบเกลื่อนบทบาทการแสดงของน้องบอมไปได้ล่ะ งานแสดงของบอม ถึงแม้ไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็อยู่ในจุดที่โอเคแล้วล่ะ สำหรับงานแสดงเรื่องแรกของเขา แต่ที่ติดใจคือ การเป็นผีหน้าขาว ทำไมเป็นผีแล้วต้องหน้าขาวแบบผีญี่ปุ่นด้วย ขาวแบบขาวมาก ขาวหลอกตา ขาวตลก คิ้วเข้มปากแดง ดูแล้วก็สงสัยว่าทีมงานไม่รู้สึกว่ามันดูประหลาดไปหรือ ไม่พอผีผู้หญิง ตอนออกมาหลอกก็เป็นผีคอยาวผมยาว นี่มันผีญี่ปุ่นชัด ๆ ทำไมผีไทยตั้งเยอะแยะสร้างเอกลัษณ์ผีไทยเองไม่ได้หรือครับ
หนังมีเส้นเรื่องรอง เป็นเรื่องของ”แอ้น” เพื่อนสนิทของม่อน แอ้นเป็นเด็กรวยแต่มีปัญหา บุคลิกเป็นเด็กเยอะ ๆ มีอดีตกับผู้ชายมากหน้าหลายตา ล่าสุดไปนอนกับอาจารย์ผู้ชายแล้วก็ลากเอาปัญหามาถึงตัวม่อนด้วย เรื่องราวของแอ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นเรื่องหลักเลย ตัดไปก็ไม่มีผล อาจจะใส่เข้ามาเพื่อให้หนังยาวขึ้นเพราะเรื่องของแอ้นกินเวลาของหนังไปมากพอควร หนังตัดสลับไปมาระหว่างแอ้นกับคดีสืบสวนไม่ค่อยราบรื่นนัก บางช่วงแอ้นก็ถูกทิ้งหายไปยาวเลยแล้วก็โผล่กลับมาใหม่ น้องที่รับบทแอ้นถือว่าเป็นส่วนด้อยของหนังนะ ยังเล่นเยอะไปและไม่ดูเป็นธรรมชาติ
เมื่อมีพระเอก นางเอกแล้ว หนังจึงต้องใส่ส่วนของความโรแมนติคลงไปด้วย ซึ่งไม่ใช่จุดถนัดของวิศิษฏ์ มีซีนให้ ม่อน กับ รุ่นพี่ เอาหน้าจ่อกันตั้งแต่ต้นเรื่อง ผ่านไปสักพักผีก็หึงคน มันรวดเร็วไปนะอารมณ์เลยตามไปไม่ทันและดูขัดเขินเสียมากกว่า ส่วนโรแมนติคจึงรู้สึกเป็นส่วนเกินของหนัง เมื่อปูมาไม่ดีก็เลยพาอารมณ์ร่วมไปได้ไม่ถึงในช่วงไคลแมกซ์
สรุปได้ว่า ในเรื่องของการสืบสวนคลี่คลายคดีลึกลับทำได้ดีมาก ฉากสยองไม่ชวนลุ้นและไม่น่ากลัว เช่นเดียวกับฉากโรแมนติคก็ไม่อิน เป็นงานของวิศิษฏ์ ที่ยังคงมาตรฐานเรื่องบทไว้ได้ดี แต่ความประทับใจหลังดูจบยังห่างไกลจาก “เป็นชู้กับผี” ครับ ไม่ต้องดูในโรงก็ได้ครับ