ต้องยอมรับว่าการแพร่ระบาดของโควิด19 ได้เปลี่ยนแปลงและพลิกโฉมวงการภาพยนตร์อย่างรวดเร็วหนึ่งในนั้นคือการฉายหนังในโรงภาพยนตร์ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่าจะต้องเป็นที่แรกในการเผยแพร่ตามหลักการของธุรกิจที่มีมาร่วม 100 ปี แต่พอเกิดโรคระบาดขึ้นทำให้โรงภาพยนตร์ไม่สามารถเปิดทำการได้อย่างปกติจนเกิดผลกระทบต่อธุรกิจโรงภาพยนตร์เข้าอย่างจัง
และเพื่อทางรอดของธุรกิจแต่ละสตูดิโอในฮอลลีวูดเลยต้องพร้อมปรับตัวเข้าหาความเปลี่ยนแปลง ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมาเราอาจคุ้นเคยกับข่าวการปรับตัวฉายหนังทั้งโรงและสตรีมมิงกันมาตลอดซึ่งในทางธุรกิจการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ช่องทางต่าง ๆ จะถูกเรียกว่า “วินโดวส์” (Windows) ซึ่งในวันนี้หลายค่ายภาพยนตร์เริ่มมีการปรับตัวและปรับเปลี่ยนช่วงเวลาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันกันแล้ว
ยูนิเวอร์แซล (Universal)
ในปี 2020 ที่โรงภาพยนตร์ต่างต้องปิดบริการ ยูนิเวอร์แซลตัดสินใจจำหน่ายภาพยนตร์เมเจอร์ของสตูดิโอผ่านระบบ พีวีโอดีหรือพรีเมียมวีโอดี (PVOD-Premium VOD) ทั้ง ‘The Invisible Man’ ‘Trolls: World Tour’ และ ‘Emma’ ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีโรคระบาดระบบพีวีโอดีจะจำหน่ายภาพยนตร์ก่อนการเผยแพร่ระบบสตรีมมิงและช่องทางทั่วไป 2 สัปดาห์หรือประมาณ 75 วันหลังเริ่มฉายในโรงภาพยนตร์ด้วยราคาค่าเช่าเรื่องละ 5.99 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 198 บาทซึ่งขนานกับการวางจำหน่ายภาพยนตร์ในรูปแบบดีวีดีและบลูเรย์ และผลตอบรับที่น่าพอใจก็ทำให้ยูนิเวอร์แซลมองมันเป็นแผนระยะยาว
โดยยูนิเวอร์แซลได้บรรลุข้อตกลงกับทางเครือโรงภาพยนตร์เอเอ็มซี (AMC) ในการจัดจำหน่ายหนังในระบบพีวีโอดีทันทีหลังหนังฉายได้ 17 วันเว้นแต่หนังเรื่องนั้นทำรายได้ผ่านหลัก 50 ล้านเหรียญในช่วงสุดสัปดาห์แรกของการฉายวินโดวส์จะถูกขยายเป็น 31 วันและลดค่าเช่าภาพยนตร์สำหรับโรงหนังรวมถึงให้สิทธิ์ในการนำหนังไปเผยแพร่ผ่านระบบสตรีมมิงของโรงหนังเอง
และด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ธุรกิจสตรีมมิงกำลังเฟื่องฟูสุด ๆ ยูนิเวอร์แซลก็ได้เปิดตัวบริการสตรีมมิงชื่อพีค็อก (Peacock) โดยนำ ‘The Boss Baby : Family Business’ หนังแอนิเมชันภาคต่อมาลงฉายพร้อมโรงหนังกว่า 3,600 โรงเพื่อเรียกลูกค้าให้กับธุรกิจใหม่
และแม้แนวคิดเรื่องวินโดวส์จะเปลี่ยนไปแต่ยังคงมีข้อยกเว้น โดยมีแหล่งข่าวเผยว่าหนังเรื่อง Old ของผู้กำกับ เอ็ม ไนต์ ชยามาลาน (M.Night Shyamalan) ทางยูนิเวอร์แซลงดบริการให้เช่าหนังผ่านระบบพีวีโอดี โดยยังคงวินโดวส์ระยะเวลาปกติคือหนังต้องฉายโรงภาพยนตร์ก่อนแล้วจัดจำหน่ายผ่านโฮม เอนเตอร์เทนเมนต์ต่อไป
วอร์เนอร์ บราเธอร์ส (Warner Bros.)
ปี 2020 วอร์เนอร์ บราเธอร์ส นับเป็นสตูดิโอแรกที่ประกาศให้ ‘Wonder Woman 1984’ และหนังในโปรแกรมทั้งหมดออกฉายทางเอชบีโอ แม็กซ์ (HBO MAX) ซึ่งเป็นบริการสตรีมมิงของบริษัทวอร์เนอร์ มีัเดีย (Warner Media) นั่นหมายความว่าผู้ใช้บริการเสียค่าบริการ 15 เหรียญต่อเดือน (ประมาณ 494 บาท) ก็สามารถรับชมหนังใหม่ขนโรงได้แล้ว แต่กระนั้นก็ต้องบันทึกไว้ว่าต่อให้หนังจะฉายสตรีมมิงพร้อมโรงภาพยนตร์แต่ ‘Godzilla vs. Kong’ ก็ยังทำรายได้ผ่านหลัก 100 ล้านเหรียญจากการฉายในโรงภาพยนตร์รั้งอันดับ 4 หนังทำเงินสูงสุดปีนี้่
แต่ล่าสุดทางวอร์เนอร์ได้ทบทวนแผนการวางวินโดวส์จัดจำหน่ายหนังใหม่สำหรับปี 2022 กำหนดวินโดวส์ให้เอชบีโอ แม็กซ์ฉายหนังได้หลังจากเข้าโปรแกรมฉายโรงแล้ว 45 วัน โดยได้ซีเนเวิลด์ (Cineworld) เจ้าของเครือโรงหนังรีกัลซีนีมา (Regal Cinema) โดยในข้อตกลงได้รวมถึงการเผยแพร่สำหรับสื่อที่ส่งตรงถึงบ้านทั้งหลายและแม้จะยังมี “ข้อแม้บางประการ” แต่ตัวสััญญาก็มีผลถึงปี 2023
และสำหรับครึ่งปัีหลัง วอร์เนอร์ ก็ยังมีโปรแกรมเด็ดทั้ง ‘The Suicide Squad’ ‘Dune’ และ ‘The Matrix 4’ ให้บริการผู้ชมเอชบีโอ แม็กซ์ 2.8 ล้านบัญชีสมาชิกพร้อมกับการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์พร้อมแผนผลิตคอนเทนต์ออริจินัลสำหรับเอชบีโอแม็กซ์ถึง 10 เรื่องในปีหน้า
ดิสนีย์ (Disney)
แม้แต่ก่อนที่ดิสนีย์จะซื้อทเวนตี เซนจูรี ฟอกซ์ (20th Century Fox) ดิสนีย์ก็ครองเป็นเจ้าบ็อกซ์ออฟฟิศหนังทำเงินอยู่แล้ว แต่อยู่ดี ๆ ดิสนีย์ก็พยายามผลักดันดิสนีย์พลัส (Disney+) บริการสตรีมมิงของตัวเองเพื่อแข่งกับเจ้าตลาดเดิมอย่างเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ด้วยการคิดแผนจัดจำหน่ายหนังเมเจอร์ของตัวเองด้วยกลไกที่ค่อนข้างซับซ้อนเกินคาดเดาโดยแบ่งออกเป็น 4 แผนดังนี้
- แผนแรกคือฉาย ‘Soul’ และ ‘Luca’ ให้สมาชิกชมฟรีทางดิสนีย์พลัสเท่านั้น
- แผนที่สองคือฉาย ‘Mulan’ โดยเก็บค่าบริการพีวีโอดีเพิ่ม 29.99 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 988 บาท) ทางดิสนีย์พลัสเท่านั้น
- แผนที่สามคือฉาย ‘Raya and the Last Dragon’ ‘Cruella’ ‘Black Widow’ และ ‘Jungle Cruise’ เก็บค่าบริการพีวีโอดีเพิ่ม 29.99 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 988 บาท) ทางดิสนีย์พลัส พร้อมเข้าฉายในโรงภาพยนตร์
- แผนที่สี่คือฉาย ‘Free Guy’ และ ‘Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings’ ในโรงภาพยนตร์ก่อนเท่านั้น
ซึ่งเป็นไปได้ว่าการที่ดิสนีย์สุ่มโยนหินถามทางด้วยวิธีการอันหลากหลายในการจัดจำหน่ายหนังของตัวเองและไม่มีการประกาศแผนการจัดจำหน่ายหนังในอนาคตออกมาก็น่าจะเป็นหนึ่งในการพิสูจน์ว่าแผนของบริษัทได้ผลหรือไม่ โดยประจักษ์เป็นหลักฐานจากข้อกล่าวหาของสมาพันธ์เจ้าของโรงภาพยนตร์แห่งชาติหรือนาโต (NATO-National Association of Theatre Owners) ที่โทษดิสนีย์สำหรับกรณียอดจำหน่ายตั๋ว ‘Black Widow’ ตกลงว่ามาจากการให้บริการพร้อมช่องทางพีวีโอดี
พาราเมาต์ (Paramount)
หลังโรงหนังกลับมาเปิดในปี 2021 พาราเมาท์มีหนังเข้าฉายเพียงเรื่องเดียวคือ ‘A Quiet Place Part 2’ ซึ่งก่อนหน้านี้สตูดิโอเองก็ตัดใจเฉือนหนังหลายเรื่องไปลงสตรีมมิงของตัวเองในชื่อ พาราเมาต์พลัส (Paramount Plus) ซึ่ง ณ.ปัจจุบันพาราเมาต์เลือกวินโดวส์ 45 วันหลังหนังฉายเพื่อลงพาราเมาต์พลัส นั่นหมายถึงหนังที่เพิ่งฉายไปวันที่ 23 กรกฎาคมอย่าง ‘Snake Eyes’ หนังสปินออฟ (Spin-Off) ของ ‘G.I.Joe’ น่าจะลงพาราเมาต์พลัสต้นเดือนกันยายน อย่างไรก็ตามล่าสุดพาราเมาต์ได้ปรับแผนเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายหนังทางพีวีโอดีอีกช่องทางหนึ่งในวันเดียวกับที่ปล่อยลงสตรีมมิง
โซนี และ ไลออนเกต (Sony and Lionsgate)
โซนีกำหนดวินโดวจัดจำหน่ายผ่านพีวีโอดียาวนานกว่าสตูดิโออื่นทั้ง ‘Monster Hunter’ และ ‘The Unholy’ ที่ทิ้งระยะห่างถึง 7 สัปดาห์ก่อนให้บริการทางพีวีโอดี ส่วน ‘Peter Rabbit: The Runaway’ ออกฉายไปแล้วเมื่อวันที่ 11 มิถุนายนในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
ส่วนไลออนเกตจำหน่าย ‘Spiral’ หลังฉายโรงได้ 3 สัปดาห์ ‘Chaos Walking’ หลังฉายโรง 4 สัปดาห์ และ ‘The Hitman’s Wife’s Bodyguard’ หลังฉายโรง 5 สัปดาห์ ซึ่งเหมือนทัั้ง 2 สตูดิโอยังคงไม่มีแผนชัดเจนสำหรับการจัดจำหน่ายคอนเทนต์ผ่านพีวีโอดี
อ้างอิง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส