สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เป็นประเทศที่มีปริมาณฝนเฉลี่ยเพียง 4 นิ้วต่อปีและมักมีอุณหภูมิสูงถึง 50 องศา ดังนั้นประเทศตะวันออกกลางแห่งนี้จึงหันไปใช้เทคโนโลยีเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของตนผ่านโครงการปล่อยโดรนเพื่อควบคุมสภาพอากาศและเมืองดูไบซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของ UAE ก็สามารถทำตามเป้าหมายของโครงการได้สำเร็จ
รัฐบาลลงทุนกับแผนการนี้ไปกว่า 15 ล้านเหรียญเพื่อมอบให้กับโครงการเพิ่มปริมาณน้ำฝน 9 โครงการ หนึ่งในนั้นคือทุนที่มอบให้กับมหาวิทยาลัยรีดดิง (University of Reading) ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างโดรนควบคุมสภาพอากาศ (Weather-controlling drones) แนวคิดการทำงานของโดรนเหล่านี้ก็คือ เมื่อพวกมันเข้าไปปะทะกับมวลเมฆ โดรนจะสร้างประจุไฟฟ้าออกมาและทำปฏิกิริยากับเมฆจนทำให้เกิดแนวโน้มการสร้างฝนที่สูงขึ้น
เครี นิโคลล์ (Keri Nicoll) หนึ่งในทีมผู้ตรวจสอบของโครงการอธิบายว่า “สิ่งที่พวกเราพยายามทำก็คือ ทำให้ละอองน้ำฝนที่ตกจากก้อนเมฆมีขนาดใหญ่พอที่จะเหลือรอดไปถึงพื้น” ซึ่งจากรายงานของ The Independent เผยว่าเทคนิคนี้เป็นที่ชื่นชอบของหลายคนเพราะไม่จำเป็นต้องพึ่งสารเคมี
ดูไบเป็นเมืองแรกที่มีการทดลองควบคุมสภาพอากาศด้วยโดรนซึ่งพวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างฝนให้ตกหนักภายในเมือง นอกจากนี้ยังมีรายงานประจำวันที่ 15 กรกฎาคมว่าเมืองอื่น ๆ เองก็มีฝนตกด้วย
ตามปกติแล้วช่วงเวลานี้ของปีดูไบจะมีอุณภูมิราว 40 องศาและไม่มีฝนตกเลย แต่จากคลิปวิดีโอในอินสตาแกรม officialuaeweather ซึ่งเป็นอินสตาแกรมรายงานสภาพอากาศอย่างเป็นทางการของ UAE เผยให้เราเห็นถึงความสำเร็จในการใช้โดรนเพราะสามารถทำให้ฝนตกในดูไบได้ ซึ่งประสิทธิภาพของมันอาจจะดีเกินไปจนถึงกับต้องออกประกาศเตือนระดับสีเหลืองให้ประชาชนระมัดระวังปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มสูงขึ้นในบางส่วนของประเทศ
จากรายงานของ Khaleej Times ในวันที่ 18 กรกฎาคม พบว่ามีปริมาณฝนตกอย่างต่อเนื่องทั่ว UAE ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาได้มอบความดีความชอบให้กับความพยายามในการปรับสภาพเมฆของเหล่าโดรน และนอกจากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นแล้วยังมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิโดยรวมจะลดลงด้วย
อย่างไรก็ตามจากความสำเร็จของโดรนควบคุมสภาพอากาศ ทำให้เกิดความกังวลถึงปัญหาน้ำท่วมที่อาจตามมาเนื่องจากมีฝนตกมากเกินไป ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในข้อสังเกตที่ทางผู้พัฒนาโดรนต้องเฝ้าระวังและสังเกตการณ์กันต่อไป
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส