‘แดเนียล เครก’ (Daniel Craig) นักแสดงวัย 53 ปี เจ้าของบทบาทสายลับอังกฤษทรงเสน่ห์รหัส 007 หรือ ‘เจมส์ บอนด์’ คนปัจจุบัน ตั้งแต่ภาค ‘คาสิโน รอแยล’ (Casino Royale) ในปี 2006 และกำลังจะกลับมารับบทนี้เป็นครั้งสุดท้ายใน ‘โน ไทม์ ทู ดาย’ (No Time to Die) ภาพยนตร์ 007 ลำดับที่ 25 ทึ่ กำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในเดือนตุลาคม 2564 นี้ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การรับบทเจมส์ บอนด์ของเขานั้นไม่ได้ดีงามเหมือนอย่างที่ใคร ๆ คิดกัน รวมถึงเขายังให้คำจำกัดความรู้สึกของเขาว่า “ผมรู้สึกเหมือนถูกรุมเร้าทั้งกายและใจ”
โดยเครกได้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยเรื่องราวของเขาเป็นครั้งแรกในฐานะของนักแสดงผู้รับบทบาทสายลับ ‘เจมส์ บอนด์’ คนที่ 6 ที่กำลังจะอำลาบทบาทที่เขาได้รับมาอย่างยาวนานถึง 15 ปี ในสารคดีขนาดสั้นเรื่อง ‘บีอิง เจมส์ บอนด์’ (Being James Bond) ที่ฉายทาง Apple TV+ ว่า ตอนแรกที่เขาทราบว่ากำลังจะได้รับบทเจมส์ บอนด์ เขาเองรู้สึกลังเล กังวล และทำตัวไม่ถูก เขาเผยว่า “ผมรู้สึกกังวลมากทัี่สุดเท่าที่ผมเคยเป็นนักแสดงมา ผมคิดว่าผมไม่ได้เป็นคนเท่ (พอที่จะรับบทเจมส์ บอนด์) ผมไม่รู้จะทำยังไงกับการรับมือการตรวจสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งความยอมรับในบทบาทนี้”
“ผมรู้สึกเหมือนว่ากำลังขังตัวเองอยู่ในห้องแล้วก็ปิดม่าน ผมเหมือนอยู่ในความเพ้อฝัน ผมรู้สึกเหมือนถูกปิดล้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ผมไม่ชอบชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นเลย ตอนนั้น ‘ฮิว แจ็กแมน’ (Hugh Jackman) คือคนที่ช่วยให้ผมยอมรับและเข้าใจในสิ่งนี้
‘บาร์บารา บรอกโคลี’ (Barbara Broccoli) หนึ่งในโปรดิวเซอร์หนังแฟรนไชส์เจมส์ บอนด์ ที่ร่วมสัมภาษณ์ในสารคดีเรื่องนี้เปิดเผยว่า เธอพบเจอเครกครั้งแรกในทีวีซีรีส์ ‘Our Friends In The North’ ที่ฉายในปี 1996 เธอเกิดความรู้สึกแน่วแน่ที่อยากจะได้เขามารับบทเป็นสายลับเจมส์ บอนด์ “ฉันรู้สึกมาตลอดว่า ถ้าเขาได้ปรากฏบนหน้าจอเมื่อไหร่ คุณจะไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เลย เขาดูมีพลังจากภายใน เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นดาราหนังและนักแสดงที่ยอดเยี่ยมในการปั้นให้เป็นเจมส์ บอนด์”
ส่วนโปรดิวเซอร์คู่หูบาร์บาราอย่าง ‘ไมเคิล จี วิลสัน’ (Michael G. Wilson) เสริมว่า “ในฐานะอาชีพนักแสดงของเขา ณ เวลานั้่น เขาเป็นนักแสดงสมทบที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นนักแสดงนำ ผมกับบาร์บาราเห็นตรงกันว่า เขานี่แหละที่จะก้าวขึ้นมารับบทนำได้จริง ๆ “
ณ เวลานั้น MGM สตูดิโอเจ้าของแฟรนไชส์เจมส์ บอนด์ ต้องการที่จะแคสติงนักแสดงคนอื่น ๆ ที่จะมารับบทนี้ด้วย แต่ทั้งคู่กลับยืนกรานและโน้มน้าวกับสตูดิโอว่า อยากให้แดเนียล เครก รับบทนี้เท่านั้น แม้ว่าเครกเองจะบอกปัดไปในทีแรก และ MGM เองก็อยากให้แคสติงนักแสดงคนอื่นแทนมากกว่า แต่หลังจากที่เขาได้อ่านบทภาพยนตร์ ‘Casino Royale’ เขารู้สึกว่าบทนั้นยอดเยี่ยม และเขาเองก็สนใจที่อยากจะรับบทนี้ ส่วนบาร์บาราเองก็โทรไปหาเครกเป็นการส่วนตัวเพื่อแจ้งว่า เขาจะได้รับบทบาทเป็นเจมส์ บอนด์
เครกเล่าว่า “เธอบอกกับผมว่า ‘นายได้รับบทนี้แล้วนะ ไอ้หนู…’ “ และยังเล่าเพิ่มเติมว่า ตอนนั้นเขาเอาวอตกา เวอร์มุต และแก้วผสมค็อกเทลกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์ เพื่อผสมวอตกามาร์ตินี (เขย่า แต่ไม่ต้องคน) ด้วยตัวเอง ปรากฏว่า เครื่องดื่มโปรดของสายลับเจมส์ บอนด์สูตรนี้ทำให้เครกเมาค้างไป 3 วัน “มันเหมือนกับเป็นการออกกำลังกายวันแรกของผมเลย”
แม้เขาเองจะไม่ค่อยมั่นใจว่าจะรับบทที่โด่งดังนี้ได้ แต่เขาก็มุ่งมั่นในการรับหน้าที่นี้ด้วยการจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง เขาเผยว่า “ผมต้องทำให้ดูเหมือนว่าตัวเองจะรับหน้าที่นี้ได้”
หลังจากที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า เครกจะได้เป็นเจมส์ บอนด์ คนที่ 6 ในปี 2005 เขาเผยว่า เขาต้องพบกับปฏิกิริยาด้านลบจากผู้คนที่ไม่เห็นด้วยกับการรับบทบาทนี้ของเขา “ผมได้อ่านทุกข้อความทั้งคืนเลย เพราะผมคิดไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนั้น แล้วพอผมตื่นขึ้นมา ผมก็คิดว่า เออ..ช่างแม่-เหอะ ผมรู้แค่ว่าหนังมันจะออกมาดี ผมรู้ว่าผมกำลังทำสิ่งที่พิเศษ”
ตลอด 15 ปีของเครก ในการรับบทเจมส์ บอนด์ เขาเองต้องเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ ที่ “ถูกรุมเร้าทั้งร่างกายและจิตใจ” ทั้งในภาค ‘Quantum of Solace’ (2008) ที่มีอุปสรรคจากการประท้วงหยุดงานของสมาคมนักเขียนบท ทำให้ต้องมีการเขียนบทขึ้นใหม่อย่างกะทันหันในช่วงเปิดกล้อง จนส่งผลให้ตัวบทภาพยนตร์ได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบ หรือในภาค ‘Spectre’ (2015) เครกประสบอุบัติเหตุบาดเจ็บที่ขาจนต้องใส่เฝือก ซึ่งจริง ๆ เขาเองสามารถเลือกที่จะหยุดพักได้ แต่เขาเองเผยว่า เขารู้สึกสนุกกับหนังเรื่องนี้ และเขาเองก็ต้องการแสดงฉากผาดโผนด้วยตัวเอง และไม่ต้องการจะหยุดพักกอง 9 เดือน เขาจึงอยากที่จะแสดงต่อไปในขณะที่มีเฝือกอยู่ที่ขา
หลังจากจบภาค ‘Spectre’ ประสบการณ์การ “ถูกรุมเร้าทั้งร่างกายและจิตใจ” ส่งผลให้เครกไม่อยากจะรับบทเจมส์ บอนด์ อีกต่อไปแล้ว แต่แล้วเขาก็ยอมกลับมารับบทนี้อีกครั้งใน ‘No Time to Die’ ที่กำลังจะฉายในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งนั่นทำให้เขาเป็นนักแสดงที่รับบท 007 ยาวนานที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีมา เขาเผยว่า “ผมไม่อยากจะพูดถึงว่า Spectre มันยากแค่ไหน แต่ผมเองอยากจะหยุดพัก ผมจำเป็นที่จะต้องดับเครื่อง หลังปิดกอง ผมรู้สึกว่าตัวผมเองแก่เกินไปแล้ว” จนบาร์บาราเองนี่แหละ ที่เป็นคนโน้มน้าวให้เครกกลับมารับบทนี้อีกครั้ง และเป็นครั้งสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม แม้เขาอาจไม่รู้สึกปลื้มกับชื่อเสียงที่มาพร้อมกับความกดดันทั้งกายและใจมากนัก แต่เขาเองก็เผยว่า การยุติการรับบทบาทสายลับชื่อก้องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก 2 ปีที่แล้วหลังจากที่การถ่ายทำ ‘No Time to Die’ เสร็จสิ้น แดเนียลกล่าวอำลานักแสดงและทีมงาน และเล่าว่า เขาภาคภูมิใจกับผลงานของเขาในแฟรนไชส์ 007 เป็นอย่างมาก
“เมื่อผมมองย้อนกลับไป ผมกลับรู้สึกภาคภูมิใจกับผลงานภาพยนตร์ทุก ๆ ภาคที่ผมเล่นอย่างไม่น่าเชื่่อ แน่นอนว่า การยุติการรับบทนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย การรับบทบาทนี้ของผมคือสิ่งที่ผมเป็นอยู่ แต่มันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่ย่ิงใหญ่กว่าเท่านั้น
“จริง ๆ ผมเลือกที่จะบ่นและซังกะตายกับการรับบทบาทนี้ต่อไปก็ได้ แต่มันก็ยังรู้สึกยากอยู่เหมือนกันที่จะเดินจากไป และนั่นมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับชื่อเสียงหรือเงินทอง
“ผมคิดว่าผมโชคดีมาก ๆ ที่ผมสามารถทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ แต่ผมคิดว่า (การยุติบทบาทเจมส์ บอนด์) มันคงโอเคแล้ว ณ เวลานี้ และมันก็เป็นเพราะว่า ผมได้เล่นหนังเรื่องนี้แล้วนี่แหละ”
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส