ยาวมากทั้งชื่อเรื่องและความยาวของหนังที่ 144 นาที เป็นผลงานทุนต่ำเรื่องที่ 2 ของ ไมเคิล เบย์ ที่เขาทำโชว์ให้แฟนหนังดูว่าเขาทำหนังทุนต่ำก็เป็นนะ เรื่องก่อนหน้าคือ Pain & Gain (2013)
รอบนี้ เบย์ มาใน โทนตึงเครียดขึงขัง ด้วยเนื้อหาที่จำลองจากเหตุการณ์จริงในลิเบีย วันที่ 11 กันยายน 2012 เมื่อทหารรับจ้างหน่วย GRS อดีตซีล 6 นาย ต้องเจอการปิดล้อมจากฝูงรบชาวลิเบีย สำหรับแฟนหนังที่ชอบหนังสงคราม 13 Hours เป็นหนังที่ต้องดูเลยครับ ฉากรบเล่นกันยาว ๆ แล้วจัดเต็มทั้งกระสุนและระเบิด ถ้าออกแผ่นดีวีดี เรื่องนี้เหมาะมาเปิดทดสอบศักยภาพโฮมเธียเตอร์ที่บ้านเลยครับ ฟังเสียงระเบิด เสียงกระสุนปลิวว่อนรอบตัว เรื่องความตูมตามยังคงไว้ใจ เบย์ ได้ ระเบิดบ้านระเบิดรถกันให้ดูแบบนับไม่ถ้วน ฉากย้อนแสงย้อมสีส้ม ๆ ที่เป็นลายเซ็นของเบย์ ยังคงมีให้เห็นแต่ฉากสโลว์หมุนกล้องไม่มีแล้วนะ เรื่องนี้ เบย์ มั่นใจว่าชื่อเขาต้องขายได้แน่ ๆ เลยไม่ใช้บริการดาราขายชื่อสักคนเดียว มีแค่พอคุ้น ๆ หน้าก็ จอห์น คราซินสกี้ ดาราเบอร์กลาง ๆ ที่เปลี่ยนลุคครั้งแรกมาไว้หนวดเคราเข้ม ก็ดูเป็นทหารผู้คร่ำหวอดสงครามดี และ เจมส์ แบดจ์ เดล ในบท ไทโรน หัวหน้าหน่วย GRS ที่มาเสียบบทนี้แทน มาร์ค วาห์ลเบิร์ก ส่วนอีก 4 คนอยู่ในฐานะตัวประกอบที่พอใส่แว่นไนท์วิชั่น เจอเขม่าหน้าดำก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใครแล้ว
ถึงแม้หนังจะยาวเกือบ 3 ชั่วโมง แต่ก็อัดฉากรบมาแน่น ไม่มีช่วงให้น่าเบื่อ ช่วงต้นอาจสตาร์ทช้าสักนิด เพราะต้องแนะนำสถานที่และตัวละครมากมาย อีกทั้งอธิบายเรื่องการเมืองลิเบียเป็นการปูความเข้าใจให้คนดู รับรู้บทบาทสถานะของ CIA ในลิเบีย นับว่าเป็นหนังผลงานของเบย์ ที่เน้นหนักเรื่องการเมืองมากที่สุดแล้ว พอผ่านชั่วโมงแรกได้นี่ก็จัดเต็มกันยิงกันทีลากยาวเป็นชั่วโมงครับ นับว่าเป็นหนังที่มีฉากยิงกันยาวที่สุดที่เคยดูแล้ว มีพักให้หายใจกันประมาณ 15 นาทีแล้วก็ยิงกันต่อ เป็นฉากรบที่ดูเอามันส์ได้ แต่ไม่ลุ้นนัก เหตุเพราะบทวางสถานะนักรบทั้ง 6 นี่มาแบบเทพมาก ยิงฝ่ายตรงข้ามร่วงกันเป็นแถว ทำให้ฝ่ายสหรัฐไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วงนัก ที่ได้ลุ้นจริง ๆ คือการใส่มุกเรื่อง กลุ่ม 12 กุมภา เข้าไป กลุ่ม 12 กุมภา คือทหารชาวลิเบียที่มารับจ้างอารักขาให้กับสหรัฐ พอเข้าประชิดก็ต้องลุ้นว่าไอ้ที่อยู่ตรงหน้านี่คือฝ่ายไหนจะยิงก่อนหรือรอให้มันยิงก่อนดี ถึงแม้ชื่อเรื่องจะมีเรื่องเวลามาเกี่ยวข้อง แต่กับเนื้อหาก็ไม่ได้เอาระยะเวลา 13 ชั่วโมง มาเป็นเงื่อนไขกดดันเป็นเวลาจำกัดแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่ระยะเวลาการรบยาวนานในคืนวันที่ 11 กันยายน เท่านั้น
ตลอดเวลาในเรื่องมีฉากยิงกันตายเป็นเบือ แต่ภาพก็ไม่ได้นำเสนอออกมาได้โหดนะ ภาพเหล่าทหารโดนยิงตายจะเป็นฉากไกล ๆ เสียมาก หรือไม่ก็เป็นภาพย้อนแสงเลยไม่ค่อยหวาดเสียวนัก แต่ฉากโหดก็พอมีบ้างอยู่โดนยิงแขนห้อยเลือดพุ่งไรงี้ ฉากรบในเรื่องเป็นฉากรบแบบเดินเท้า เรื่องนี้จึงเน้นเรื่องการสาดกระสุนเป็นหลัก เลยไม่มีรถถัง เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินรบโผล่มาให้เห็นนะ งบเลยคุมได้อยู่ใน 50 ล้านเหรียญ หนังฉายที่อเมริกามาตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม เก็บคืนมาแล้ว 44 ล้านเหรียญ รอตระเวนฉายต่างประเทศก็กำไรเละเทะแล้ว
เป็นหนังที่เหมาะกับกลุ่มผู้ชายนะครับ ตัวละครหญิงโผล่มาแค่เป็นน้ำจิ้ม มีดราม่าแซมแค่นิด ๆ นาน ๆ ทีฮอลลีวู้ดจะสร้างหนังสงครามจัดหนักแบบนี้มาให้ดูสักที ยิ่งคนที่ชอบเล่นเกมสงครามยิงกัน ได้มาดูหนังแบบนี้น่าจะถูกอกถูกใจเป็นพิเศษ