ต้อนรับการมาถึงของ ‘No Time to Die’ ภาพยนตร์ภาคที่ 25 ของยอดพยัคฆ์ร้ายเจมส์ บอนด์ (James Bond) และถือเป็นภาคสั่งลานักแสดงผู้สวมบทบาทบอนด์คนล่าสุดอย่างแดเนียล เครก (Daniel Craig) ด้วย Beartai Buzz ขอชวนทุกท่านมาพลิกแฟ้มย้อนรอยอ่านเรื่องราวของนักแสดงผู้เคยสวมบทบาทพยัคฆ์ร้ายในโลกภาพยนตร์
Sean Connery : ตำนานแห่งบอนด์เลือดเย็น
เป็น James Bond ได้ยังไง
ฌอน คอนเนอรี (Sean Connery) นักแสดงและนักเพาะกายวัย 32 ปี กลายเป็นตัวเลือกของอัลเบิร์ต อาร์ บร็อกคอลี (Albert R. Broccoli) โปรดิวเซอร์และทาง อีออน โปรดักชัน (EON Production) สตูดิโอผู้สร้างหนังชุดเจมส์ บอนด์ให้มารับบทนำประเดิมหนังภาคแรกอย่าง ‘Dr.No’ ออกฉายในปี1962 สวนกระแสกับผู้แต่งนิยายต้นฉบับอย่างเอียน เฟลมมิง (Ian Flemming) ที่มองคอนเนอรีว่าเป็นพวกกล้ามโตบ้าพลังและไม่มีมาดเหมือนอย่างตัวละครในนิยายของเขาแถมส่วนสูงเกือบ 188 ซม.ของเขาก็ยังไม่ตรงกับในนิยายที่บอนด์สูงเพียงแค่ 183 ซม.
Sean Connery กับการรับบท James Bond
แต่สำหรับคนดูและนักวิจารณ์แล้วคอนเนอรีได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเจมส์ บอนด์คนแรกและได้สร้างมาตรฐานสำหรับนักแสดงคนต่อ ๆ มาที่จะมารับบทยอดพยัคฆ์ร้าย คอนเนอรีมองว่าบอนด์คือตัวละครที่ไร้คุณธรรมและเลือดเย๋็นดังนั้่นการแสดงของเขาเลยทำให้บอนด์กลายเป็นสายลับไร้หัวใจที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ภารกิจสำเร็จ แต่สำหรับเรื่องสไตล์แล้วคงต้องเครดิตให้ เทอร์เรนซ์ ยัง (Terrence Young) ผู้กำกับหนังบอนด์ของคอนเนอรีที่ทำให้เขากลายเป็นเจมส์ บอนด์สุดคูลทั้งแนะนำร้านตัดผม พาไปตัดสูทและติวมาดเท่ ๆ ฉลาด ๆ ให้คอนเนอรี
ทำไมถึงเลิกเป็น James Bond
คอนเนอรีเคยบอกลาบทเจมส์ บอนด์ไปแล้วหลังหนัง ‘You Only Live Twice’ ออกฉายปี 1967 ด้วยเหตุผลว่าหนังเจมส์บอนด์ทำให้เขารู้สึกเหมือนปลาทองในโหลแก้วเพราะขาดความเป็นส่วนตัวและเริ่มเบื่อหน่ายกับการทำงานและทางอีออนได้เลือกจอร์จ ลาเซนบี (George Lazenby)มารับบทบอนด์ใน ‘On Her Majesty Secret Service’ แต่แล้วคอนเนอรีก็ตัดสินใจกลับมารับบทเจมส์ บอนด์อีกครั้งในหนัง ‘Diamonds Are Forever’ ออกฉายในปี 1971 ด้วยค่าตอบแทนถึง 1.25 ล้านปอนด์เทียบค่าเงินปัจจุบันเท่ากับ 27 ล้านปอนด์หรือประมาณ 1,234 ล้านบาทพร้อมข้อเสนอให้ทางยูไนเต็ด อาร์ททิสต์ (United Artist) ออกทุนสร้างหนังที่คอนเนอรีเลือกแสดง 2 เรื่องก่อนจะอำลาบทนี้อย่างเป็นทางการ
แต่กระนั้นคอนเนอรีก็กลับมารับบทบอนด์อีกครั้งในวัย 52 ปีกับ Never Say Never หนังเจมส์ บอนด์ของโปรดิวเซอร์ แจ็ก ชวาร์ตซ์แมน (Jack Schwartzman) ที่อยู่นอกแคนนอน (Canon) หรือซีรีส์หนังบอนด์ฉบับอีออนโปรดักชัน อิงเนื้อหาจากนิยาย ‘Thunderball’ ที่คอนเนอรีเคยแสดงมาแล้วแต่ผลตอบรับจากนักวิจารณ์กลับมองเห็นที่ความโรยราของเจมส์ บอนด์และลดความเลือดเย็นลงจากหนังฉบับแรกไปเยอะ
ผลงานหนัง James Bond
Dr.No (1962) กำกับโดย เทอร์เรนซ์ ยัง (Terrence Young)
From Russia With Love (1963) กำกับโดย เทอร์เรนซ์ ยัง (Terrence Young)
Goldfinger (1964) กำกับโดย กาย ฮามิลตัน (Guy Hamilton)
Thunderball (1965) กำกับโดย เทอร์เรนซ์ ยัง (Terrence Young)
You Only Live Twice (1967) กำกับโดย ลิวอิส กิลเบิร์ต (Lewis Gilbert)
Diamonds Are Forever (1971) กำกับโดย กาย ฮามิลตัน (Guy Hamilton)
Never Say Never Again (1983) กำกับโดย เออร์วิน เคิร์ชเนอร์ (Ervin Kershner)
กดอ่านเรื่องราวของนักแสดงคนต่อไปที่หน้า 2
David Niven : พยัคฆ์ร้ายสายฮา
เป็น James Bond ได้ยังไง
ความจริงแล้วเดวิด นีเวน (David Niven) เป็นเจมส์ บอนด์ที่ีตรงกับจินตนาการของเอียน เฟลมมิง (Ian Flemming) ผู้แต่งนิยายต้นฉบับที่สุดตั้งแต่ตอนอีออนสร้าง ‘Dr.No’ แต่เป็นหนังตลกล้อเลียนของฉบับโปรดิวเซอร์ ชาร์ลส์ เค เฟลด์แมน (Charles K. Feldman) และเจอร์รี เบรสเลอร์ (Jerry Bresler) ที่ทำให้ฝันของเฟลมมิงเป็นจริง และด้วยวัย 56 ปีของนีเวนก็ทำให้หนัง ‘Casino Royale’ หนังล้อเลียนที่ดัดแปลงหลวม ๆ จากนิยายของเฟลมมิงก็ทำให้นีเวนกลายเป็นเจมส์ บอนด์ฉบับพิสดารที่สร้างความครื้นเครงให้คนดูไปอีกแบบ
David Niven กับการรับบท James Bond
อันที่จริงแล้ว ‘Casino Royale’ อาจไม่ถือเป็นหนังเจมส์ บอนด์อย่างเป็นทางการทั้งจากมุมมองของบริษัทที่สร้างที่ไม่ใช่อีออนโปรดักชันหรือกระทั่งรูปแบบหนังที่ทำออกมาเป็นหนังตลกล้อเลียนหรือแนวพาโรดี (Parody) แต่หากมองว่านี่เป็นการให้นักแสดงขวัญใจเอียน เฟลมมิงคนแต่งนิยายมารับบทล้อเลียนตัวละครดังก็ถือเป็นมิติใหม่ที่สร้างเสียงหัวเราะและเดวิด นีเวนก็ทำหน้าที่เรียกเสียงฮาได้ตามหน้าที่
ทำไมถึงเลิกเป็น James Bond
ด้วยความตั้งใจเดิมของ ‘Casino Royale’ ก็เป็นหนังตลกล้อเลียนเจมส์ บอนด์อยู่แล้ว ส่วนตัวบทหนังเองก็สื่อกลาย ๆ ว่าเจมส์ บอนด์ฉบับนีเวนเป็นเหมิือนเจมส์ บอนด์ที่มาก่อนฌอน คอนเนอรีและเลือกที่จะเกษียณตัวเองและยกชื่อและรหัส 007 ให้สายลับอีกคนซึ่งก็คือคอนเนอรีนั่นเอง
ผลงานหนัง James Bond
Casino Royale (1967) กำกับโดย จอห์น ฮุสตัน (John Huston) เคน ฮิวจ์ส (Ken Hughes) โรเบิร์ต พาร์ริช (Robert Parrish) โจ แม็กกราธ (Joe McGrath) วาล เกสต์ (Val Guest)
กดอ่านเรื่องราวของนักแสดงคนต่อไปที่หน้า 3
George Lazenby : ตำนานบอนด์ตอนเดียว(ก็พอ)
เป็น James Bond ได้ยังไง
จอร์จ ลาเซนบี (George Lazenby)นายแบบวัย 29 ปีในขณะนั้นเป็นตัวเลือกที่แทบไม่มีใครคาดคิดทั้งการเป็นคนออสเตรเลียซึ่งต่างจากนักแสดงคนอื่นที่จะอยู่ในสหราชอาณาจักรหรือเป็นชาวยุโรปแถมยังไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการแสดงอะไรเลยนอกจากโฆษณาช็อกโกแลตแค่ตัวเดียว โดยจุดที่ทำให้ลาเซนบีได้รับเลือกให้แสดงใน ‘On Her Majesty’s Secret Service’ คือตอนเทสต์หน้ากล้องเขาเผลอต่อยหน้านักมวยปล้ำที่เป็นสตันท์ให้หนังจนทำให้โปรดิวเซอร์ อัลเบิร์ต อาร์ บร็อกคอลีประทับใจกับการแสดงความเกรี้ยวกราดและน่าจะทำให้เจมส์ บอนด์ฉบับลาเซนบีมีเสน่ห์ด้านความดิบไม่แพ้ฌอน คอนเนอรีที่เพิ่งบอกลาบทบอนด์ไปหลังหนัง ‘You Only Live Twice’
George Lazenby กับการรับบท James Bond
สาเหตุหนึ่งที่จอร์จ ลาเซนบีรับงานแสดงเป็นเจมส์ บอนด์ก็คือคำแนะนำของโรแนน โอ ราฮิลี (Ronan O’Rahilly) ผู้จัดการส่วนตัวที่แนะนำเขาว่าบอนด์ในแบบของลาเซนบีจะแทนภาพของฮิปปี รักอิสระต้อนรับยุค 70s ที่กำลังจะมาถึง และตัวหนังเองนอกจากจะระดมแฟชันมอด (Mod Fashion) ต้อนรับยุค 70s แล้วบทเจมส์ บอนด์ของลาเซนบียังมีความอ่อนไหวทางอารมณ์มากกว่าของคอนเนอรีที่สำคัญมันทำให้เห็นว่าสายลับพราวเสน่ห์ก็มีหัวใจและมันแหลกสลายเพียงใดเมื่อถึงตอนจบของหนัง
ทำไมถึงเลิกเป็น James Bond
แม้เจมส์ บอนด์ของลาเซนบีจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์นักแต่สำหรับแฟนนิยายแล้วลาเซนบีมีลักษณะใกล้เคียงกับตัวละครในนิยายที่สุดคนหนึ่งแม้ส่วนสูงจะไม่ได้ก็ตาม อีกทั้งปีเตอร์ อาร์ ฮันต์ (Peter R. Hunt) ผู้กำกับหนังบอนด์ภาคนี้ยังชื่นชมการทำงานของลาเซนบีว่าเขาควรได้รับโอกาสมากกว่านี้และจะทำให้เจมส์ บอนด์น่าเชื่อถือมากขึ้นสวนทางกับข่าวลือว่าลาเซนบีเป็นนักแสดงที่ทีมงานรับมือได้ยาก และแม้จะได้แสดงเป็นเจมส์ บอนด์แค่ตอนเดียวแต่ ‘On Het Majesty’s Secret Service’ ก็เป็นหนังบอนด์ในใจใครหลายคนหนึ่งในนั้นคือคริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ที่นำแรงบันดาลใจฉากหิมะถล่มในหนังมาคารวะในหนัง ‘Inception’ ของเขา
ผลงานหนัง James Bond
On Her Majesty’s Secret Service (1969) กำกับโดย ปีเตอร์ อาร์ ฮันต์ (Peter R. Hunt)
กดอ่านเรื่องราวของนักแสดงคนต่อไปที่หน้า 4
Roger Moore : พยัคฆ์ร้ายเสน่ห์แพรวพราว
เป็น James Bond ได้ยังไง
หลังล้มเหลวในการเจรจาให้ฌอน คอนเนอรีกลับมารับบทบอนด์ต่อทางอัลเบิร์ต อาร์ บร็อกคอลี โปรดิวเซอร์หนังไปสะดุดตานักแสดงซีรีส์ทีวีชื่อดังอย่าง โรเจอร์ มัวร์ (Roger Moore) ที่เพิ่งมีชื่อเสียงจาก ‘The Saint’ กับ ‘The Persuaders!’ให้มารับบทเป็นเจมส์ บอนด์คนที่ 3 ในแคนอนของอีออนโปรดักชัน โดยคนเขียนบทอย่างทอม แมนคีวิชซ์ (Tom Mankiewicz) คนเขียนบทได้เพิ่มมุกตลกลงไปในหนังเพื่อให้เหมาะกับบุคลิกของมัวร์นอกเหนือจากบุคลิกที่ดูเป็นผู้ดีและมาดเหมาะกับบทสายลับอยู่แล้ว และทีมงานได้เปลี่ยนปืนของบอนด์ฉบับมัวร์ให้เป็น สมิธ แอนด์ เวสสัน .44 แม็กนัม (Smith & Wesson .44 Magnum) แบบเดียวกับตัวละครเดอร์ตีแฮรี (Dirty Harry) ของคลินต์ ฮีสต์วูด (Clint Eastwood) เพื่อเพิ่มความแมนแทนปืนวอลเธอร์ พีพีเค (Walther PPK)
Roger Moore กับการรับบท James Bond
โรเจอร์ มัวร์ นับว่าเป็นนักแสดงที่ทำเงินให้หนังชุดเจมส์ บอนด์สูงที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากหนังทั้งสิ้น 7 เรื่อง แถมยังนำรสนิยมส่วนตัวหลายอย่างมาสร้างคาแรกเตอร์ให้บอนด์ทั้งการสูบซิการ์คิวบาแทนบุหรี่หรือการใส่เสื้อซาฟารี ส่วนในด้านการแสดงเจมส์ บอนด์ฉบับของมัวร์ทำให้ความรุนแรงดูเป็นเรื่องตลกมากกว่าซีเรียสจริงจังเหมือนฉบับคอนเนอรีและขายความตื่นตาตื่นใจของฉากแอ็กชันและเทคนิคพิเศษที่ไปไกลถึงขั้นให้บอนด์ไปตะลุยอวกาศในหนัง ‘Moonraker’ เลยทีเดียวและสำหรับคนไทยโรเจอร์ มัวร์น่าจะได้เป็นขวัญใจชาวไทยที่สุดจากหนัง ‘The Man with the Golden Gun’ หรือพยัคฆ์ร้ายปืนทองที่ยกกองมาถ่ายทำที่เมืองไทยและทำให้เขาตะปูถูกขนานนามอีกชื่อหนึ่งว่าเขาเจมส์บอนด์
ทำไมถึงเลิกเป็น James Bond
หนังบอนด์เรื่องสุดท้ายของมัวร์คือ ‘A View To A Kill’ ซึ่งตอนนั้นเขากลับมาเป็นเจมส์ บอนด์ในวัย 57 ปีสร้างสถิติเป็นนักแสดงอายุมากที่สุดที่รับบทเจมส์ บอนด์ ในขณะที่ ทันยา โรเบิร์ตส์ (Tanya Roberts) นางเอกของเขาอายุเพียง 30 ปีเท่านั้น ดังนั้นมันจึงถึงเวลาอันควรที่เขาจะบอกลาบทสายลับเจ้าเสน่ห์ก่อนที่สาวบอนด์ในอนาคตจะมีอายุน้อยลงจนเกือบจะกลายเป็นลูกสาวหรือหลานสาวเขาได้
ผลงานหนัง James Bond
Live and Let Die (1973) กำกับโดย กาย ฮามิลตัน (Guy Hamilton)
The Man with the Golden Gun (1974) กำกับโดย กาย ฮามิลตัน (Guy Hamilton)
The Spy Who Love Me (1977) กำกับโดย ลิวอิส กิลเบิร์ต (Lewis Gilbert)
Moonraker (1979) กำกับโดย ลิวอิส กิลเบิร์ต (Lewis Gilbert)
For Your Eyes Only (1981) กำกับโดย จอห์น เกล็น (John Glen)
Octopussy (1983) กำกับโดย จอห์น เกล็น (John Glen)
A View to a Kill (1985) กำกับโดย จอห์น เกล็น (John Glen)
กดอ่านเรื่องราวของนักแสดงคนต่อไปที่หน้า 5
Timothy Daltan : บอนด์สายดาร์ก
เป็นเจมส์ บอนด์ได้ยังไง
หลังโรเจอร์ มัวร์ เกษียณจากบทบอนด์ปี 1985 อัลเบิร์ต อาร์ บร็อกคอลีก็เริ่มถ่ายทอดมรดกผลักดันให้ลูกสาวอย่าง บาร์บารา บร็อกคอลี (Barbara Brocolli) และงานรับน้องใหม่สุดหินคือการมองหานักแสดงคนใหม่มารับบทเจมส์ บอนด์นี่แหละ และแม้จะมีตัวเลือกในใจแต่ท้ายที่สุดหวยก็มาออกที่ทีโมที ดัลตัน (Timothy Dalton) นักแสดงอังกฤษสายละครเวทีที่เคยเกือบมีโอกาสได้รับบทบอนด์มาแล้วตอนอายุ 25 ปีแต่เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมเลยทำให้ดัลตันบ่มเพาะประสบการณ์การแสดงและมีโอกาสได้ประเดิมบทบอนด์กับ ‘The Living Daylights’
Timothy Dalton กับการรับบท James Bond
ทีโมที ดัลตันเลือกตีความบทเจมส์ บอนด์ตามฉบับนิยายมากกว่าจะอิงตามคาแรกเตอร์ที่นักแสดงคนอื่นวางไว้ โดยเขาเพิ่มความมืดดำในจิตใจของบอนด์ให้เด่นชัดขึ้นและมีความเป็นนักฆ่ามากกว่าสายลับเจ้าสำอาง จนนักวิจารณ์มองว่าหนังบอนด์ฉบับของดัลตันขาดอารมณ์ขันและไม่ค่อยมีบทเลิฟซีนเท่าใดนักรวมถึงการไม่แสดงออกถึงด้านโรแมนติกเลยแต่กลับแสดงความดิบเถื่อนเสียมากกว่าจนเกือบเหมือนพวกศาลเตี้ยที่พิพากษาคนแบบนอกกฎหมาย
ทำไมถึงเลิกเป็น James Bond
กรณีของดัลตันเรียกได้ว่าเป็นความซวยแท้ ๆ อยู่เหมือนกันเพราะเดิมทีมีแผนการสร้างหนังเจมส์ บอนด์ให้ดัลตันแสดงอีก 3 เรื่องหลัง ‘Licence to Kill’ ออกฉายในปี 1989 แต่เนื่องจากคดีฟ้องร้องสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายหนังเจมส์ บอนด์ระหว่าง อีออน โปรดักชัน กับ เอ็มจีเอ็ม (MGM) เกิดขึ้นช่วงปี 1990 และลากยาวไปถึง 1994 ซึ่งดัลตันไม่บรรลุข้อตกลงในการกลับมารับบทหนังต่ออีกหลาย ๆ เรื่องเลยทำให้ดัลตันเกษียณตัวเองหลังแสดงหนังบอนด์ไปเพียง 2 เรื่องเท่านั้น อย่างไรก็ดีผู้กำกับอย่าง จอห์น เกลน (John Glen) ก็ยืนยันได้ว่าทีโมที ดัลตันคือนักแสดงที่ดีที่สุดในหนังบอนด์ทั้งหมดและยังได้รับการยืนยันจากผลโหวตให้ครองอันดับที่ 2 เจมส์ บอนด์ที่ดีที่สุดจากโพลของเรดิโอ ไทม์ส (Radio Times)
ผลงานหนัง James Bond
The Living Daylights (1987) กำกับโดย จอห์น เกล็น (John Glen)
Licence to Kill (1989) กำกับโดย จอห์น เกล็น (John Glen)
กดอ่านเรื่องราวของนักแสดงคนต่อไปที่หน้า 6
Pierce Brosnan : พยัคฆ์สำอางโคตรไฮเทค
เป็นเจมส์ บอนด์ได้ยังไง
อันที่จริงเพียซ บรอสแนน (Pierce Brosnan) นักแสดงเชื้อสายไอริชได้รับการทาบทามให้รับบทบอนด์ตั้งแต่หนัง ‘The Living Daylight’ แล้วเพราะ คาสซานดรา แฮริส (Cassandra Harris)ภรรยาของเขาแสดงเป็น เคาน์เตส ลิสล์ ฟอน ชลาฟ (Countess Lisl von Schlaf) ใน ‘For Your Eyes Only’ จนทำให้เขามีโอกาสได้พบกับอัลเบิร์ต อาร์ บร็อกคอลีในกองถ่ายและได้พูดคุยกันในเบื้องต้น
แต่เนื่องจากติดสัญญาซีรีส์เรื่อง ‘Remington Steele’ เลยต้องยกโอกาสให้ดัลตันไปแต่หลังจากดัลตันตัดสินใจไม่ต่อสัญญาบรอสแนนเลยมีโอกาสได้รับบทบอนด์ประเดิมในหนัง ‘Goldeneye’ ออกฉายปี 1995 ก่อนอัลเบิร์ต อาร์ บร็อกโคลี โปรดิวเซอร์หนังเจมส์ บอนด์เสียชีวิตในปีถัดมา
Pierce Brosnan กับการรับบท James Bond
สิ่งที่บรอสแนนนำมาสู่บอนด์ในฉบับนี้คือการผสมผสานระหว่างอารมณ์ขันลูกเล่นแพรวพราวคล้ายฉบับโรเจอร์ มัวร์และยังคงความเป็นชายชาตรีสายบู๊ได้อย่างฌอน คอนเนอรีแต่ไม่ถึงกับดาร์กเหมือนทีโมที ดัลตันแถมยังมีแกดเจ็ตล้ำสมัยมาสร้างความตื่นตาตื่นใจเลยทำให้หนังเจมส์ บอนด์ฉบับบรอสแนนถูกใจคนดูจนทำเงินให้หนังชุดนี้ได้เป็นกอบเป็นกำ และนอกจากนี้บรอสแนนยังสร้างค่านิยมใหม่ให้เจมส์ บอนด์ด้วยการไม่มีฉากสูบบุหรี่ตามแนวคิดของเขาที่ว่าในเมื่อมันก่อมะเร็งเขาเลยเลือกที่จะไม่เป็นสิงห์อมควัน แม้ในหนัง ‘Die Another Day’ เราจะเห็นเขาสูบซิการ์คิวบาก็ตาม
ทำไมถึงเลิกเป็น James Bond
เดิมทีสัญญาระบุให้บรอสแนนแสดงหนังบอนด์ 3 เรื่องและให้โอกาสในการตัดสินใจสำหรับหนังเรื่องที่ 4 เป็นต้นไปและแม้เขาจะตั้งใจสั่งลาบทบอนด์กับหนังเรื่องที่ 5 แต่ในระหว่างถ่ายทำ ‘After the Sunset’ ที่บาฮามาสทางบาร์บารา บร็อกคอลีก็โทรทางไกลมาบอกข่าวร้ายทั้งน้ำตาว่าเขาจะไม่ได้กลับมารับบทบอนด์อีกแล้ว
ผลงานหนัง James Bond
Goldeneye (1995) กำกับโดย มาร์ติน แคมป์เบล (Martin Campbell)
Tomorrow Never Dies (1997) กำกับโดย โรเจอร์ สปอตทิสวูด (Roger Spottiswoode)
The World Is Not Enough (1999) กำกับโดย ไมเคิล แอปเทด (Michael Apted)
Die Another Day (2002) กำกับโดย ลี ทามาโฮริ (Lee Tamahori)
กดอ่านเรื่องราวของนักแสดงคนต่อไปที่หน้า 7
Daniel Craig : พยัคฆ์ร้ายทลายคำสบประมาท
เป็น James Bond ได้ยังไง
วันที่ 14 ตุลาคม 2005 แดเนียล เครก (Daniel Craig) ปรากฎตัวในชุดทักซิโดขับเรือสปีดโบ๊ตล่องมาตามแม่น้ำเทมส์โลเคชันของหนังเจมส์ บอนด์ตอน ‘The World Is Not Enough’ แสงแฟลชสาดระรัวใส่เขาและเสียงตอบรับหลังจากนั้นกลับเต็มไปด้วยคำสบประมาทและคำถามต่อโปรดิวเซอร์ว่าทำไมถึงเลือกนักแสดงที่ดูห่างไกลจากคำว่าหล่อเหลาตามความนิยม เขาถูกสบประมาทและเหยียดหยามแม้กระทั่งผมสีบลอนด์ของเขาพ่วงด้วยแคมเปญในอินเทอร์เน็ตเพื่อถอดถอนเขาออกจากบทเจมส์ บอนด์แต่หลังจากหนัง ‘Casino Royale’ ออกฉายปี 2006 เสียงสบประมาทกลับกลายเป็นเสียงชื่นชมและยืนหยัดจนถึงหนังบอนด์เรื่องที่ 5
Daniel Craig กับการรับบท James Bond
เจมส์ บอนด์ฉบับของแดเนียล เครกดูจะเป็นผลจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายจากเหตุการณ์ 11 กันยาที่โลกเริ่มมองเห็นความสีเทาในตัวผู้คนมากและความรุนแรงดูจะเป็นทางออกที่ง่ายที่สุดในการจัดการปัญหาซึ่งผลจากการเมืองโลกก็ส่งผลต่อคาแรกเตอร์ของบอนด์ที่เปลี่ยนจากมนุษย์ไร้เทียมทานกลายเป็นมนุษย์ที่เจ็บเป็น เจ็บปวด ผิดพลาดและใจสลายได้ ซึ่งแดเนียล เครกถ่ายทอดบทบอนด์ออกมาได้ไร้ที่ติและทีละน้อยมันก็ช่วยต่อลมหายใจให้สายลับจากยุคสงครามเย็นที่เหมิือนไม่มีความเชื่อมโยงใด ๆ กับโลกปัจจุบันให้ดำรงอยู่ในการรับรู้ของคนดูยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้และสร้างงานยากให้กับผู้ที่จะมาสืบทอดบทยอดพยัคฆ์ร้ายรายนี้ยิ่งขึ้นไปอีก
ทำไมถึงเลิกเป็น James Bond
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าเครกจะอำลาบทเจมส์ บอนด์หลังหนัง ‘Spectre’ ออกฉายแต่ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจกลับมารับบทบอนด์อีกครั้งกับ ‘No Time to Die’ ที่เขาบอกว่าเป็นการกลับมาเพื่อเติมเต็มและจบเรื่องราวของเจมส์ บอนด์ในฉบับของเขาให้สมบูรณ์ที่สุด และการเดินทางอันยาวนานของเขาถึง 16 ปีก็กำลังจะได้รับการพิสูจน์กันวันที่ 7 ตุลาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
ผลงานหนัง James Bond
Casino Royale (2006) กำกับโดย มาร์ติน แคมป์เบล (Martin Campbell)
Quantum of Solace (2008) กำกับโดย มาร์ค ฟอร์สเตอร์ (Marc Forster)
Skyfall (2012) กำกับโดย แซม เมนดีส (Sam Mendes)
Spectre (2015) กำกับโดย แซม เมนดีส (Sam Mendes)
No Time to Die (2021) กำกับโดย แครี โจจิ ฟูคูนากะ (Cary Joji Fukunaga)
ข้อมูลอ้างอิงประกอบการเขียน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส