หนังสายรางวัลอีกหนึ่งเรื่อง ที่โดดเด่นมากทางสาขาการแสดง ส่งให้เอ็ดดี้ เรดเมย์น เข้าชิงผู้แสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยมเป็นปีที่ 2 ติดกัน และ อลิเซีย วิแคนเดอร์ เข้าชิงดาราสมทบหญิงทั้งที่เธอปรากฏตัวบนจอภาพยนตร์มากกว่าบทของเอ็ดดี้ เรดเมย์น เสียอีก มอง ๆ ไป นับวันการโยกย้ายสาขาเข้าชิงเพื่อให้หนังหรือดารามีโอกาสชนะ มีให้เห็นมากขึ้นทุกทีทั้งเวทีออสการ์ และ ลูกโลกทองคำนะ รอดูว่าจะมีเสียงวิพากย์วิจารณ์มาให้เห็น แล้วคณะกรรมการจะสนใจแก้ไขอะไรเพื่อความขลังของสถาบันหรือไม่

The-Danish-Girl

ไอนาร์ เวเกเนอร์ ตัวจริง ก่อนและหลังแต่งหญิง

The Danish Girl สร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ เดวิด อี.เบอร์ซอฟท์ เขียนโดยได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตจริงของ ไอนาร์ เวเกเนอร์ ศิลปินนักวาดภาพชาวเดนมาร์กที่ตัดสินใจผ่าตัดแปลงเพศในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เดวิด หยิบยกมาแค่ตัวละครหลักคือ ไอนาร์ เวเกเนอร์ และ เกอร์ดา ภรรยาของเขา ส่วนตัวละครอื่น ๆ นั้นถูกอุปโลกขึ้นเพื่อความบันเทิง รวมถึงการแก้ไขรสนิยมทางเพศของเกอร์ดาร์ที่ความจริงแล้วเธอเป็นเลสเบี้ยนและรับได้กับรสนิยมเบี่ยงเบนของสามีและอยู่กันฉันท์พี่น้องจนกระทั่งแยกตัวไปแต่งงานใหม่ในหลายปีให้หลัง แต่ในหนังนั้น เกอร์ดาร์ เป็นศิลปินจากอเมริกา ผลงานเธอไม่โดดเด่นเท่า ไอนาร์ จนวันหนึ่งนางแบบของเธอไม่ว่างมา เธอจึงรบกวนสามีให้แต่งหญิงเพื่อเป็นแบบให้เธอวาดภาพแทน นั่นเป็นการปลุกวิญญาณสตรีเพศในตัวไอนาร์ขึ้นมาอีกครั้งจากที่เขาเคยมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนมาแล้วในวัยเด็ก หลังจากนั้นไอนาร์ ก็เริ่มแต่งหญิงและเรียกชื่อตัวเองว่า ลิลลี่ เริ่มคบหาผู้ชายและตัดสินใจผ่าตัดแปลงเพศในยุคเริ่มแรกที่วงการแพทย์ยังมองบุคคลประเภทนี้ว่าเป็นโรคจิตเภท

เดวิด ดัดแปลงเรื่องราวให้เนื้อหาดราม่าเข้มข้นเพื่อให้ถูกใจผู้อ่าน เขียนให้เกอร์ดาร์ ต้องชอกช้ำกล้ำกลืนกับการต้องสูญเสียสถานะเพศชายในตัวสามีอย่างไม่มีวันกลับ ภาพพอร์ตเทรตที่เธอเขียนลิลลี่ ประสบความสำเร็จอย่างมากยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าตัวเธอเองนั้นเป็นคนที่เปิดประตูให้ลิลลี่ออกมาจากร่างไอนาร์สามีของเธอเอง จุดนี้เปิดโอกาสให้ อลิเซีย วิแคนเดอร์ จะต้องแสดงออกถึงความเจ็บชำของเกอร์ดาร์ออกมาให้คนดูได้เห็นและเธอก็สามารถถ่ายทอดได้ดี หลาย ๆ ครั้งที่เธอเห็นลิลลี่ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเป็นทางแทนคำพูด แต่เธอก็เลือกที่จะอยู่ดูแลลิลลี่ในร่างอดีตสามี

อลิเซีย เป็นดาราที่สวยและเปี่ยมความสามารถอย่างน่าชื่นชมในวัย 26 ปีก้าวเท้าเข้าสู่ฮอลลีวู้ดไม่นาน จากหนังเล็ก ๆ อย่าง Ex Machina ที่เล่นเป็นไซบอร์ก และโดดมาเป็นนางเอกเต็มตัวกับภาพลักษณ์สาวไฮเปอร์ใน The Man From U.N.C.L.E. จนมาถึงบทเกอร์ดาร์ บทที่ท้าทายความสามารถอย่างยิ่ง ซึ่งเธอพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอทำได้ดีไม่แพ้คู่แข่งตัวแม่ในวงการที่หมายมั่นบทนี้ทั้ง ชาลิซ เธียรอน , กวินเน็ธ พัลโธรว์ , อูมา เธอร์แมน , มาริยง โกติยาร์ด และ ราเชล ไวซ์

the-danish-girl_1

ส่วน เอ็ดดี้ เรดเมย์น อยู่ในระดับดาราอัจฉริยะเล่นได้ทุกบทบาท จากบทสตีเฟน ฮอว์คิง ชายผู้เป็นอัมพาตปากเบี้ยวมือเท้าหงิกใน Theory Of Everything ที่ส่งให้เขาคว้าออสการ์นำชายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นก็ไปเล่นเป็นตัวร้ายเริ่ดเชิดหยิ่งใน Jupiter Ascending และจากนี้ก็จะได้เห็นเขาในมาดพระเอกเต็มตัวกับหนังเอาใจตลาดบ้างใน Fantastic Beasts and Where to Find Them หนังที่สร้างจากนิยายของ เจ.เค. โรลลิ่ง , ระหว่างที่ถ่ายทำ The Danish Girl เอ็ดดี้ ก็คว้าออสการ์นำชายจาก Theory Of Everything กลายเป็นวาระสำคัญที่กองถ่ายต้องพักชั่วคราวเพื่อให้เอ็ดดี้ไปรับรางวัล

บทไอนาร์เป็นที่หมายปองอย่างมากจาก นิโคล คิดแมน เธอเริ่มจากเข้าชื่อเป็นผู้อำนวยการสร้างและแสดงความประสงค์ว่าต้องการรับบท ไอนาร์ นี้เอง แต่หนังก็หานายทุนและผู้กำกับไม่ได้จนเธอเกือบจะได้กำกับเอง แต่สุดท้ายเมื่อ ทอม ฮูเปอร์ก้าวเข้ามารับหน้าที่กำกับพร้อมกับ เอ็ดดี้ เรดเมย์น หนังจึงได้เดินหน้าต่อ ด้วยความที่เอ็ดดี้เป็นผู้ชายที่สรีระผอมเพรียว เขาจึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์มากกับบท ไอนาร์ และเอ็ดดี้ ทำให้เราเชื่อได้อย่างสนิทใจมากว่าที่เห็นอยู่บนจอนี่คือผู้หญิงข้ามเพศจริง ๆ บทไอนาร์ เป็นบทที่ต้องแสดงออกด้วยสายตา และภาษากายมากกว่าบทพูด หลาย ๆ ฉากที่กล้องแช่ภาพนิ่ง ๆ ที่ใบหน้าของเอ็ดดี้ จับการแสดงออกทางสีหน้าสายตาให้เราเห็นแทนคำพูด และสื่อให้คนดูรู้สึกถึงความคิดของไอนาร์ ในขณะนั้นได้ชัดเจน การกลอกตา พูด หรือการเคลื่อนไหวทุกอากัปกิริยา เอ็ดดี้ทำได้เป็นธรรมชาติมาก สมควรอย่างยิ่งที่ต้องได้เข้าชิงอีกครั้ง และเป็นรายที่ผมเชียร์ที่สุดในปีนี้ ก็ต้องตามดูว่าฝีมือของเอ็ดดี้ จะเข้าตากรรมการจนชนะกระแสมหาชนที่เอาใจช่วยลีโอนาร์โด กันอยู่ได้หรือไม่

Vikander-DanishGirl

The Danish Girl เป็นหนังที่เน้นขายการแสดง ภาพสวยเนื้อหาดราม่าหนัก น้ำตาเต็มเรื่อง แม้เรื่องราวไม่ได้ชวนติดตามนัก แต่สำหรับคนที่ชอบดูหนังขายการแสดง การได้ดูความสามารถของดาราดีกรีออสการ์ ก็ไม่ควรพลาดเรื่องนี้ครับ หนังอยู่ในมือผู้กำกับถูกคนอย่าง ทอม ฮูเปอร์ ที่เก่งในการรีดความสามารถดาราออกมาให้เห็นได้ชัด และเขาก็เคยทำสำเร็จมาแล้วด้วยการส่งให้ โคลิน เฟิร์ธ คว้าดารานำชายจาก The King’s Speech (2010) , ตามสไตล์หนังที่ไม่ได้สร้างมาเอาใจตลาด ทำให้หนังได้เงินจากค่าตั๋วเพียง 10 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 25 ล้านเหรียญ ถ้า เอ็ดดี้ เรดเมย์น หรือ อลิเซีย วิแคนเดอร์ คว้าออสการ์ได้ รายได้คงจะขยับอีกหน่อยนะ

Play video