เรื่องราวของคนตัวเล็ก ๆ ที่ลุกขึ้นฟ้องร้องบริษัทใหญ่ ๆ มักเป็นสิ่งที่คนให้ความสนใจอยู่เสมอ แต่ย้อนกลับไปในปี 1992 มีคดีตัวอย่างที่กลายเป็นตำนานแห่งการฟ้องร้องจวบจนสมัยนี้ นั่นก็คือการที่ สเตลลา ไลเบค (Stella Liebeck) วัย 79 ปี ลุกขึ้นมาฟ้องร้องบริษัทฟาสต์ฟู้ดเบอร์ต้น ๆ ของโลกอย่างแมคโดนัลด์ ด้วยเหตุที่ว่า เธอถูกน้ำร้อนในกาแฟของแมคโดนัลด์ลวกจนเป็นแผลฉกรรจ์
ในสายตาของคนทั่วไป คดีนี้อาจจะดูเป็นคดีไร้สาระ หรือออกแนวเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่คุณรู้หรือไม่ว่า? ในท้ายที่สุดนี่กลายเป็นคดีใหญ่ที่โด่งดังไปทั่วโลก และมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมากถึง 2.9 ล้านเหรียญ (ราว 96 ล้านบาท)
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ปี 1992 ในขณะที่ไลเบคนั่งรถไปกับหลานชายของเธอ พวกเขาตัดสินใจแวะร้านแมคโดนัลด์แบบไดรฟ์ทรูเพื่อหาอะไรรองท้อง ในตอนนั้นไลเบครับกาแฟร้อนจากพนักงาน ก่อนจะเปิดฝากาแฟโดยใช้ขาทั้งสองข้างหนีบแก้วเอาไว้ เพื่อกะจะเติมน้ำตาลและครีมลงไป แต่ขณะที่หลานชายของเธอกำลังจะออกรถจู่ ๆ น้ำร้อนก็หกใส่ขาของเธอ ซึ่งไลเบคเล่าว่าวินาทีนั้นเธอสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในทันที จึงรีบไปที่โรงพยาบาล ก่อนจะรู้ในทีหลังว่าแผลไหม้ที่เธอได้รับกว่า 6% ของร่างกายอยู่ในระดับที่ 3 ซึ่งเป็นระดับแผลที่รุนแรงที่สุด
แผลไหม้ระดับที่ 3 ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก ๆ สำหรับคนที่มีอายุเยอะ เพราะเป็นแผลที่ลงลึกไปถึงเนื้อเยื่อผิวหนังและอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ ซึ่งผลจากเหตุการณ์นี้ทำให้ไลเบคต้องนอนในโรงพยาบาลนานถึง 2 สัปดาห์ และจำเป็นต้องออกจากงานที่เธอทำอยู่เพื่อพักรักษาตัว
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ไลเบคพยายามเรียกร้องความเป็นธรรมจากแมคโดนัลด์ โดยการส่งจดหมายร้องขอค่ารักษาพยาบาลและค่ายา ที่มียอดรวมเป็นเงินถึง 13,000 เหรียญ (430,000 บาท) แต่สุดท้ายแมคโดนัลด์ส่งจดหมายกลับมาพร้อมบอกว่ายินดีจะชดใช้ค่าเสียหายอยู่ที่ 800 เหรียญ เท่านั้น อีกทั้งยังบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอุบัติเหตุจากความประมาทของไลเบคเอง ไม่ได้เป็นเพราะแมคโดนัลด์ทำซะหน่อย
เรื่องนี้ทำไลเบครู้สึกแย่กว่าเดิมมาก เพราะเจ็บตัวไม่พอยังต้องมาเจ็บใจอีก ด้วยความโมโหเธอจึงตัดสินใจจ้าง เคน วากเนอร์ (Ken Wagner) และรีด มอร์แกน (Reed Morgan) เข้ามาเป็นทนายเพื่อเตรียมฟ้องร้องแมคโดนัลด์
มอร์แกนเคยทำคดีฟ้องแมคโดนัลด์ เกี่ยวกับการเสิร์ฟ ‘กาแฟร้อน’ ในลักษณะนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง นั่นจึงทำให้เขามีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ดีพอสมควร และยังรู้ว่าแมคโดนัลด์มีการเสิร์ฟกาแฟอยู่ในอุณหภูมิ 88 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับร้านกาแฟเจ้าอื่น ๆ ที่เสิร์ฟด้วยอุณหภูมิ 54-60 องศาเซลเซียส
ทีมทนายของไลเบค ขึ้นให้การกับศาลโดยโจมตีว่า แมคโดนัลด์มีความผิดข้อหาเสิร์ฟกาแฟด้วยอุณหภูมิสูงที่สูงเกินไป จนทำให้ลูกความของพวกเขาได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังแสดงหลักฐานที่ว่าหากน้ำในอุณหภูมินี้โดนผิวหนังเป็นเวลาเพียง 3-7 วินาที จะทำให้เกิดแผลไฟไหม้ระดับที่ 3 ทันที
ด้านทนายความฝั่งจำเลย เทรซี เจงส์ (Tracy Jenks) ออกมาโต้แย้งโดยแสดงหลักฐานที่ว่าขนาดเบอร์เกอร์คิง ก็ยังเสิร์ฟกาแฟด้วยอุณหภูมิเท่านี้เหมือนกัน ก่อนจะโทษไลเบคว่า ไม่ยอมดูคำเตือนน้ำร้อนข้างแก้ว และถอดกางเกงออกช้าแผลจึงไหม้มากกว่าเดิม
พอเถียงกันไปสักพักทนายฝั่งไลเบคก็โชว์หลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า แมคโดนัลด์รู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เลือกที่จะไม่ทำอะไร โดยจากเอกสารที่พวกเขาโชว์ให้เห็น มีเนื้อหาว่าตั้งแต่ปี 1982-1993 มีลูกค้าของแมคโดนัลด์ร้องเรียนว่าโดนน้ำกาแฟลวกถึง 700 ราย และทางแมคโดนัลด์ก็มีการจ่ายค่าเสียหายให้กับคนเหล่านี้ไปมากกว่า 500,000 เหรียญ
พอโดนมาแบบนี้ฝั่งแมคโดนัลด์ก็ไม่ยอมแพ้ ทีมทนายความก็ขึ้นแก้ต่างว่าคนจำนวน 700 คน ที่โดนน้ำร้อนลวกถือว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วมาก ๆ เมื่อเทียบกับประชาชนทั่วโลกที่ดื่มกาแฟของแมคโดนัลด์แล้วปกติดี
หลังจากเรื่องยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน สุดท้ายคณะลูกขุนตัดสินให้แมคโดนัลด์ต้องชดใช้ค่าเสียหายและค่าปรับแก่ไลเบค เบ็ดเสร็จเป็นจำนวนเงินกว่า 2.9 ล้านเหรียญ โดยหนึ่งในคณะลูกขุนกล่าวว่าสาเหตุที่แมคโดนัลด์แพ้คดีนี้ไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บของไลเบค แต่เป็นการที่แมคโดนัลด์เพิกเฉยต่อความปลอดภัยต่อลูกค้าของตัวเอง
แม้ในคดีในชั้นศาลจะจบ แต่สงครามนอกศาลก็ยังคงอยู่ ไลเบคที่ตอนแรกจะได้เงินไปเกือบ 3 ล้านเหรียญ ว่ากันว่าสุดท้ายกลับโดนผู้พิพากษาขอลดลงเหลือเพียง 600,000 เหรียญ (ไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ) อีกทั้งจากเหตุการณ์นี้ยังทำให้ไลเบคถูกสื่อหรือคนบางส่วนมองว่าเป็นพวกมิจฉาชีพ หรือแม้กระทั่งเป็นตัวตลก ในตอนนั้นใคร ๆ ก็คิดว่าเธอเป็นคนแก่ผู้โชคดีคนหนึ่งที่ลงทุนเงินเพียงน้อยนิดไม่ร้อยบาท แต่กลับมาเป็นเศรษฐีได้เพียงเพราะใช้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาช่วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคดีน้ำร้อนลวกของไลเบคถูกยกให้เป็นกรณีศึกษาครั้งประวัติศาสตร์ ของคนตัวเล็ก ๆ ที่ได้รับชัยชนะเหนือบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก
เครดิตภาพและอ้างอิง:
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส