เว็บไซต์ Deadline ได้รายงานว่า ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดในแฟรนไชส์ James Bond อย่าง ‘No Time To Die’ สามารถทำรายได้รวมทั่วโลกถึงหลัก 600 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท ได้สำเร็จ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม 2021 ที่ผ่านมา (ตรงกับคืนวันฮาโลวีน) โดยรายได้รวมทั่วโลกในขณะนี้อยู่ที่ 605.8 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 20,200 ล้านบาท
นั่นส่งผลทำให้ ‘No Time To Die’ ได้กลายเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องที่ 2 ในช่วงที่ COVID-19 ระบาดตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 เป็นต้นมา ที่ทำรายได้ทั่วโลกถึงหลัก 600 ล้านเหรียญ ตามหลัง ‘F9: The Fast Saga’ ที่ทำรายได้ทั่วในขณะนี้ไปแล้วถึง 721.1 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 24,100 ล้านบาท
‘No Time To Die’ ทำรายได้ในสหรัฐฯ ไป 133.3 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 4,450 ล้านบาท รองลงมาคือในสหราชอาณาจักร โดยทำรายได้ไป 107.3 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 3,600 ล้านบาท ซึ่งขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลลำดับที่ 6 ของสหราชอาณาจักร
‘No Time To Die’ ของผู้กำกับ แครี โจจิ ฟูกูนากะ (Cary Joji Fukunaga) เป็นภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ James Bond ที่แฟนๆ ต้องรอการฉายมาอย่างยาวนาน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จนส่งผลทำให้ภาพยนตร์ถูกเลื่อนฉายมาหลายครั้ง ตั้งแต่ปลายปี 2020 มาจนถึงเมื่อ 8 ตุลาคม 2021 ที่ผ่านมา
‘No Time To Die’ นั้น ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ค่อนข้างมากว่าเป็นบทสุดท้ายของ แดเนียล เครก (Daniel Craig) ในบท James Bond ที่สมบูรณ์ที่สุด และสามารถกวาดรายได้จากต่างประเทศไปได้อย่างน่าประทับใจตั้งแต่เริ่มเข้าฉาย
อย่างไรก็ดี ‘No Time To Die’ จำเป็นจะต้องทำรายได้รวมทั่วโลกให้สูงถึง 900 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 30,000 ล้านบาท จึงจะถึงจุดคุ้มทุน เนื่องจากใช้ทุนสร้างไปสูงถึง 250 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 8,350 ล้านบาท รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ตามหลังจากจากต้องเลื่อนฉายภาพยนตร์ไปหลายครั้ง
ข้อมูลอ้างอิง : screenrant
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส