ข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ Box Office Mojo ระบุว่า ‘No Time To Die’ สามารถทำรายได้จากการฉายในต่างประเทศ (นอกเหนือจากสหรัฐฯ ที่เป็นประเทศแม่) แซงหน้า ‘F9: The Fast Saga’ ไปแล้ว ด้วยรายได้ 558 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 18,300 ล้านบาท ส่วน ‘F9: The Fast Saga’ นั้นทำไปได้ 548 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 17,900 ล้านบาท
นั่นส่งผลให้ ‘No Time To Die’ กลายเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ทำรายได้ในต่างประเทศได้สูงสุดในช่วงที่ COVID-19 กำลังระบาดนี้
ในส่วนของรายรวมทั่วโลกในปี 2021 นั้น ‘F9: The Fast Saga’ ทำรายได้อยู่ที่ 721 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 23,600 ล้านบาท ซึ่งตามหลังภาพยนตร์จากประเทศจีนอย่าง ‘The Battle of Lake Changjin’ และ ‘Hi, Mom’ ที่ทำรายได้ทั่วโลกไป 885 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 29,000 ล้านบาท และ 848 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 27,800 ล้านบาทตามลำดับ
ส่วน ‘No Time To Die’ นั้น ทำรายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 708 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 23,200 ล้านบาท
‘No Time To Die’ เป็นภาพยนตร์เรื่องล่าสุดในแฟรนไชส์ ‘James Bond’ ซึ่งถูกเลื่อนการฉายหลายครั้งตั้งแต่เดือนเมษายน 2020 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จนกระทั่งได้ฉายเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2021 ที่ผ่านมา
แม้ว่า ‘No Time To Die’ จะทำรายได้เปิดตัวในสหรัฐฯ ไม่สูงนัก อยู่ที่ 55.2 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 1,800 ล้านบาท แต่สามารถทำรายได้เปิดตัวในต่างประเทศได้อย่างน่าประทับใจถึง 119.1 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 3,900 ล้านบาท ใน 54 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ของ Universal Pictures (ที่ถือครองสิทธิ์การฉาย ‘No Time To Die’ อยู่ในขณะนี้) ที่ทำรายได้ในสหราชอาณาจักรสูงสุด แซงหน้า ‘Mamma Mia!’ (2008) ไปได้
ข้อมูลอ้างอิง : screenrant
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส