สถานที่ร้างทั่วโลก ล้วนแต่มีเรื่องราวเล่าขานแตกต่างกันออกไป บางสถานที่ถูกทิ้งร้างเพราะความเชื่อแปลก ๆ บางสถานที่ถูกพังทลายโดยภัยพิบัติจากธรรมชาติต่าง ๆ หรือบางสถานที่ก็ถูกทิ้งเพราะฝีมือมนุษย์ แน่นอนว่าในแต่ละสถานที่ ‘ร้าง’ เหล่านี้ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือน ๆ กันคือ บรรยากาศชวนขนลุกที่แอบซ่อนความน่าหลงใหลเอาไว้ ซึ่งสถานที่ร้างที่ผู้คนไม่อภิรมย์จะอยู่อาศัยเหล่านี้ ต่อมาหลาย ๆ ที่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของโลก ที่ใครก็อยากจะเดินทางไปสัมผัสกันสักครั้ง
วันนี้ beartai BUZZ ได้รวบรวม 5 สถานที่ร้างยอดนิยมของคนทั่วโลก ที่มีเบื้องลึกและประวัติที่น่าสนใจมาให้ทุกคนได้ชมกัน
เกาะฮาชิมะ ประเทศญี่ปุ่น: เกาะผีสิงที่สะท้อนความรุ่งเรืองและโหดร้ายของญี่ปุ่นในอดีต
เกาะฮาชิมะ เป็นเกาะที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ถูกสร้างขึ้นในปี 1887 โดยบริษัทมิตซูบิชิ ตัวเกาะฮาชิมะมีความยาวประมาณ 500 เมตร ตั้งอยู่ห่างจากเมืองนางาซากิ ประมาณ 15 กิโลเมตร ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยของคนงานเหมืองถ่านหิน
ในอดีตเกาะฮาชิมะเคยเป็นเกาะที่โด่งดัง และเจริญรุ่งเรืองสุดขีด จากอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้น มีการบันทึกว่าเกาะแห่งนี้เคยมีผู้คนหนาแน่นมากที่สุดประมาณ 5,000 คน แถมมีห้างสรรพสินค้า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
แต่แล้วเมื่อความต้องการถ่านหินลดน้อยลง จนไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป สุดท้ายทางมิตซูบิชิก็ตัดสินใจปิดเหมืองทันที ก่อนจะอพยพผู้คนออกจากพื้นที่ทั้งหมด ในช่วงเวลานั้นมีคนจำนวนมากที่เลือกทิ้งสิ่งของเครื่องใช้ของตัวเอง และเดินทางออกจากเกาะตัวเปล่า ทำให้ทุกวันนี้บนเกาะฮาชิมะก็ยังคงเต็มไปด้วยสิ่งของที่ถูกทิ้งไว้
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาะแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษจีนและเกาหลีใต้ ที่ถูกนำมาเป็นเชลยสงครามเพื่อทำงานในเหมืองถ่านหิน ซึ่งว่ากันว่ามีเชลยล้มตายจำนวนมากจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
นอกจากนี้เกาะฮาชิมะ ยังถูกเรียกในชื่อว่า ‘เกาะผีสิง’ อีกด้วย ซึ่งที่มาของชื่อนี้ก็มาจากเรื่องราวเล่าขานของคนที่เคยไปเยือนเกาะนี้ ที่มักจะเจอเรื่องราวเหนือธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้เกาะแห่งนี้ถูกยกให้เป็นสถานที่ผีสิงที่น่ากลัวอันดับ 2 ของโลก รองจากหอคอยลอนดอนเลยทีเดียว
ในปัจจุบันเกาะฮาชิมะ ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น 007 ภาค Skyfall หรือหนังญี่ปุ่นเรื่อง Battle Royale อีกทั้งทางการญี่ปุ่นพยายามที่จะผลักดันให้เกาะฮาชิมะเป็นมรดกโลกแต่ยังคงถูกจีนและเกาหลีใต้คัดค้าน เพราะมองว่าสถานที่แห่งนี้คือหลักฐานความโหดร้ายของญี่ปุ่นในอดีต
เมืองโคลมานสค็อพ ประเทศนามีเบีย: เมืองใต้ทะเลทรายที่เคยเป็นเหมืองเพชรขนาดใหญ่
ก่อนจะกลายเป็นเมืองที่ปกคลุมไปด้วยทะเลทราย โคลมานสค็อพ เคยเป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองสุด ๆ ในนามีเบีย เพราะหลายปีก่อนเมืองแห่งนี้เคยมีเหมืองเพชรขนาดใหญ่อยู่ใต้ล่าง
ในช่วงเวลานั้นผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างเดินทางมาที่โคลมานสค็อพ เพื่อจะขุดหาเพชร ทำให้เมืองแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยความมั่งคั่งอย่างแท้จริง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านในวันที่โคลมานสค็อพไร้ซึ่งเพชรให้ขุดอีกต่อไป ผู้คนก็ต่างพากันย้ายออกจากเมืองไปจนหมด โดยในปี 1956 หลังจากที่เมืองโคลมานสค็อพถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิง เนินทรายที่เคยห้อมล้อมเมืองเอาไว้ก็ได้เข้ามาภายในตัวบ้านเรือนต่าง ๆ จนสุดท้ายเมืองแห่งนี้ได้อยู่ใต้กองทรายอย่างสมบูรณ์นับตั้งแต่นั้นมา
ในปี 2002 บริษัทท่องเที่ยวท้องถิ่นแห่งหนึ่งได้สัมปทานในการเข้าพลิกฟื้นเมืองโคลมานสค็อพอีกครั้ง จนวันนี้มันได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว ที่รองรับคนมากกว่า 35,000 คนต่อปี
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ประเทศยูเครน: ความผิดพลาดของมนุษย์ที่นำไปสู่หายนะ
ย้อนกลับไปในวันที่ 26 เมษายน 1986 เมื่อแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์เชอร์ที่นครปริปยัต สหภาพโซเวียต (ทางตอนเหนือของยูเครนในปัจจุบัน) เกิดระเบิด นั่นถือเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดของโลก ที่สร้างความเสียหายอย่างมากต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม
อุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อวิศวกรได้ทำการทดสอบการทำงานของระบบหล่อเย็น และระบบทำความเย็นฉุกเฉินของแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่การทดสอบระบบได้ล่าช้ากว่ากำหนดจนต้องทำการทดสอบโดยวิศวกรกะกลางคืน ได้เกิดแรงดันไอน้ำสูงขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ระบบตัดการทำงานอัตโนมัติไม่ทำงาน ส่งผลให้เกิดความร้อนสูงขึ้นจนทำให้แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 หลอมละลาย และเกิดระเบิดขึ้น ผลจากการระเบิดทำให้เกิดขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ ปกคลุมทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ และทำให้มีการต้องอพยพพลเมืองที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รอบ ๆ กว่า 5 ล้านชีวิต ในทันที
คาดว่าปริมาณของรังสีที่ปล่อยออกมาในเหตุการณ์ครั้งนั้น มีอานุภาพมากกว่า 100 เท่าเมื่อเทียบกับปริมาณรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมา และ นางาซากิ
ถึงแม้วันนี้จะผ่านมาแล้วกว่า 30 ปี แต่กัมมันตภาพรังสีที่หลุดรั่วออกมา ก็ยังคงตกค้างอยู่และส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์กว่า 1 ล้านคน แม้ปัจจุบันพื้นที่โดยรอบยังคงถูกทิ้งร้าง ไร้ผู้อยู่อาศัย แต่บ่อยครั้งก็มีบริษัททัวร์หลายที่ พยายามนำพาคนจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาสัมผัสบริเวณพื้นที่แห่งนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของนิวเคลียร์ และนับเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า ความผิดพลาดของมนุษย์เพียงไม่กี่คนนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่ได้อย่างไร
รีสอร์ตโพรคา ประเทศเยอรมนี: รีสอร์ตนาซี ความยาว 4 กิโลเมตร ที่ฮิตเลอร์สร้างทิ้งไว้
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 1939 ช่วงเวลาที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) พาทหารเยอรมันรุกคืบเข้าไปในโปแลนด์ ฮิตเลอร์ได้สั่งให้ก่อสร้างรีสอร์ตสำหรับท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริเวณริมชายหาดบนเกาะรูเก็น ในประเทศเยอรมนี โดยต่อมาพวกเขาตั้งชื่อรีสอร์ตนี้ว่า ‘โพรคา’
ความยิ่งใหญ่อลังการของรีสอร์ตเลียบชายหาดแห่งนี้ คือเรื่องของความยาวของตัวรีสอร์ตที่ยาวถึง 4 กิโลเมตร อีกทั้งยังสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากถึง 20,000 คน
แต่ความฝันที่จะมีรีสอร์ตที่ยาวที่สุดในโลกของฮิตเลอร์ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเยอรมนีเดินหน้าเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้การก่อสร้างรีสอร์ตแห่งนี้ต้องยุติลง แม้จะสร้างเสร็จไปแล้วเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์
ในปี 2013 บริษัทด้านการตลาดในเยอรมันอย่างเมโทรโพล ได้รับสิทธิในการเข้ามาบูรณะรีสอร์ตแห่งนี้อีกครั้ง ซึ่งมีคาดการณ์ว่าโครงการนี้จะแล้วเสร็จในปี 2022
สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ ประเทศไทย: ตึกร้างระฟ้าที่ถูกเทเพราะวิกฤตต้มยำกุ้ง
มาถึงประเทศไทยของเรากันบ้าง หากพูดถึงสถานที่หรือตึกร้างของไทยที่มีชื่อเสียงไปไกลทั่วโลก คงต้องยกให้กับ สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ ตึกระฟ้าร้างสูง 185 เมตร ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าพะยา บนถนนสาทร
แต่เดิมทีสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ ถูกวางแผนจะสร้างให้เป็นคอมเพล็กซ์คอนโดมิเนียมระดับหรู โดยให้ทุกห้องของอาคารสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้ทั้งหมด แต่ในระหว่างที่โครงการเสร็จสิ้นไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จนเหลือแต่เพียงการตกแต่งภายในและภายนอกอีกเล็กน้อย การก่อสร้างก็ต้องยุติลงเพราะผลกระทบจาก ‘วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540’
รูปแบบอาคารสาธร ยูนีค ทาวเวอร์ มีความคล้ายคลึงกับสเตท ทาวเวอร์ ซึ่งก่อสร้างในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ตัวอาคารใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมโพสต์โมเดิร์นแบบคลาสสิกในการออกแบบ
ปัจจุบันอาคาร สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ ถือเป็นหนึ่งในอาคารร้างที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในกรุงเทพฯ และแห่งหนึ่งของโลก เป็นตึกร้างที่สูงที่สุดในประเทศไทย และจากการจัดอันดับอาคารร้างระฟ้าสูงที่สุดในโลก เมื่อปี 2017 ปรากฎว่า สาธร ยูนีค ทาวเวอร์ ติดอยู่อันดับที่ 4 ของโลกอีกด้วย
ด้วยความเป็นที่เป็นอาคารสูงบนทำเลทองโดยรอบ จึงกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ unseen ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวในอดีต ที่มีคนแอบขึ้นไปถ่ายรูปด้านบนซึ่งสามารถดูบรรยากาศโดยรอบกรุงเทพมหานครได้รอบ 360 องศา
เครดิตภาพและอ้างอิง:
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส