หลังจากที่ ‘ซาร์โก’ (Sarco Suicide Pods) หรือ ‘แคปซูลฆ่าตัวตาย’ ที่มีรูปทรงคล้ายกับฝักถั่วหน้าตาทันสมัย ขนาดพอดีตัวคน และสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อสนับสนุนแนวคิดที่ว่าการเปิดโอกาสให้คนเราสามารถเลือกที่จะจบชีวิตได้ด้วยตัวเองเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ได้พัฒนาจนเสร็จสมบูรณ์แล้วในปี 2017 และได้มีโอกาสไปจัดแสดงในงานนิทรรศการหลายครั้ง เช่น ในงานนิทรรศการเกี่ยวกับพิธีศพ ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ พิพิธภัณฑ์สุสาน (Museum for Sepulchral Culture) ในประเทศเยอรมนี รวมทั้งงานแสดงนิทรรศการศิลปะเวนิส อาร์ต เบียนนาเล (Venice Art Biennale) ณ ประเทศอิตาลี เมื่อปี 2019
ความเคลื่อนไหวล่าสุดคือ แคปซูลฆ่าตัวตาย ‘ซาร์โก’ นั้นได้รับการรับรองให้ใช้สำหรับการทำ ‘การุณยฆาต’ (Euthanasia) อย่างถูกต้องแล้วในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกฏหมายการุณยฆาต (End of Life Choice Act) ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์สามารถนำซาร์โกมาใช้สำหรับการทำการุณยฆาตได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย
‘ดร. ฟิลิป นิตสช์’ (Dr. Philip Nitschke) ผู้ก่อตั้ง ‘Exit International’ องค์กรไม่แสวงหากำไรที่สนับสนุนแนวคิดการการุณยฆาตในประเทศเนเธอร์แลนด์ ผู้เรียกตัวเองว่าเป็น ‘นักเคลื่อนไหวเพื่อการทำการการุณยฆาตโดยสมัครใจและการฆ่าตัวตายอย่างมีเหตุผล’ และ ‘อเล็กซานเดอร์ แบนนิงก์’ (Alexander Bannink) นักออกแบบชาวดัตช์ ได้ร่วมกันออกแบบ ‘ซาร์โก’ ขึ้นมาจากเครื่องพิมพ์สามมิติ ซึ่งตัวเครื่องจะมีแคปซูลด้านบนที่มีรูปร่างคล้ายฝักถั่วขนาดเท่าตัวคน และมีฐานด้านล่างที่สามารถลากไปไหนก็ได้ ซึ่งผู้ที่ใช้บริการสามารถเลือกสถานที่ที่โปรดปรานสำหรับ ‘วินาทีสุดท้ายของชีวิต’ ได้ด้วย
การใช้ ‘ซาร์โก’ หรือแคปซูลฆ่าตัวตายนี้ ผู้ใช้งานจะต้องผ่านการทดสอบด้านจิตวิทยา เพื่อยืนยันว่าผู้ใช้งานมีสติสัมปชัญญะในขณะที่ตัดสินใจ หลังจากผ่านการทดสอบแล้ว ผู้ใช้จะได้รับรหัสในการเปิดเข้าไปนอนในแคปซูลที่ถูกตั้งเวลาไว้และจะเป็นผู้กดปุ่มเดินเครื่องด้วยตัวเอง เมื่อกดปุ่มแล้ว ก๊าซไนโตรเจนจะถูกฉีดเข้าไปในแคปซูล จนทำให้ระดับออกซิเจนค่อย ๆ ลดลงภายในลงจาก 21% ลงเหลือต่ำกว่า 1% ภายใน 30 นาที อากาศภายในแคปซูลจะเหลือเพียงคาร์บอนไดออกไซด์และไนโตรเจน
ผู้ใช้งานจะค่อย ๆ รู้สึกขาดอากาศ มึนงงสับสน และอาจรู้สึกร่าเริงเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หมดสติ ก่อนจะเสียชีวิตหลังอย่างสงบ หลังจากหมดสติประมาณ 5-10 นาที โดยที่ผู้ตายจะไม่รู้สึกตื่นตระหนกหรือสำลักจากการขาดอากาศหายใจ ส่วนแคปซูลรูปฝักถั่วด้านบน ทำจากวัสดุชีวภาพที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ จึงสามารถถอดออกจากฐานเพื่อทำหน้าที่เป็นโลงศพได้อีกด้วย
แม้ว่าตัวแคปซูลฆ่าตัวตายเองจะเสร็จสมบูรณ์และพร้อมใช้แล้ว โดย ดร. นิตสช์ กล่าวว่า ขณะนี้มีต้นแบบแคปซูลอยู่เพียง 2 เครื่อง และในขณะนี้กำลังผลิตเครื่องต้นแบบเครื่องที่ 3 ด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติอยู่ เนื่องจากว่าการผลิตตัวแคปซูลเองก็ยังมีต้นทุนการผลิตที่แพงมาก ราว ๆ 4,000 – 8,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 135,000 – 270,000 บาท) รวมทั้งโครงการที่หยุดชะงักชั่วคราวเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
โดย ดร. นิตสช์เองได้ยืนยันว่า ทางผู้ผลิตได้เข้าขอคำแนะนำด้านกฏหมายเกี่ยวกับการใช้แคปซูลนี้ในสวิตเซอร์แลนด์แล้ว และไม่มีปัญหาใด ๆ ด้านกฏหมายอย่างแน่นอน ซึ่งเครื่องต้นแบบของแคปซูลนี้น่าจะพร้อมใช้งานในสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งในการทำการุณยฆาตได้ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป
ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ การสนับสนุนและการดำเนินการทำการุณฆาต ให้กับผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่เจ็บปวดทรมานจากโรคเรื้อรัง (ที่ไม่สามารถเยียวยาให้หายได้อีกต่อไป) ทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ถูกกฏหมาย ซึ่งโดยปกติแล้ว การทำการุณยฆาต จะต้องมีขั้นตอนมากมาย ใช้เวลานาน และมีค่าใช้จ่ายมหาศาล เช่น การพูดคุยสัมภาษณ์กับผู้เข้ารับบริการและครอบครัวอย่างละเอียด การเก็บข้อมูลทางการแพทย์ของผู้ป่วย ก่อนที่แพทย์จะกระทำการการุณยฆาตด้วยสารเคมีเพื่อให้จากไปอย่างสงบ โดยในปี 2020 ที่ผ่านมา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีผู้ที่เข้ารับการการุณยฆาตจำนวน 1,300 คน
แต่แม้การการุณยฆาตนั้นจะถูกต้องตามกฏหมาย แต่ก็ต้องแยกให้ชัดเจนว่า การจัดหาหรือสนับสนุนให้เกิดการฆ่าตัวตาย แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะมีความปรารถนาอย่างแน่วแน่ก็ตาม ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฏหมายทั้งในสวิตเซอร์แลนด์ และในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก
อ้างอิง | อ้างอิง | อ้างอิง | อ้างอิง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส