ภาค 3 ของ ซีรี่ส์ Divergent ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสุดท้าย แต่ถูกซอยแบ่งออกเป็นหนัง 2 ภาค ตามสูตรของหนังที่สร้างจากนิยายเยาวชน อย่างเช่น Harry Potter , Twilight และ The Hunger Games ที่ทำให้ค่ายได้มีช่องทางกอบโกยกำไรมากขึ้นอีก 1 ภาค แต่ตัวเลขของ Divergent แต่ละภาคยังห่างจาก 3 เรื่องข้างต้นกันครึ่งหนึ่งเลย เพราะแต่ละเรื่องทำตัวเลขกันในระดับ 600 ล้านเหรียญขึ้น แต่ Divergent จะอยู่ในระดับ 200 กว่าล้านปลาย ๆ ใกล้เคียงกับ 2 ภาคของ Maze Runner
ภาคนี้เริ่มเรื่องในยุคที่ เอเวอลีน ขึ้นครองอำนาจแทน เจนีน และมีทีท่าว่าการปกครองของเอเวอลีนจะโหดร้ายป่าเถื่อนไม่ต่างกัน ทริซ และ โฟร์ จึงตัดสินใจหนีข้ามกำแพงออกสู่โลกภายนอกมีเคเล็บ คริสติน่า และปีเตอร์ตามออกมาด้วย เขาได้พบกับองค์กรใหม่ที่เรียกตัวเองว่า กระทรวงสวัสดิการทางพันธุกรรม (ในหนังเรียกอีกอย่างยาวกว่านี้) เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่มีทั้งกองทหารและทีมนักวิทยาศาสตร์ คนในกระทรวง รู้จัก ทริซ และ โฟร์ เป็นอย่างดีและรู้ถึงการมาของพวกเขา ยิ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจ กระทรวงแบ่งจ่ายหน้าที่รับผิดชอบให้กับทริซ และพรรคพวกให้ทำงานแตกต่างกันไป มีเพียงทริซ ที่ได้พบกับ เดวิด หัวหน้า ใหญ่ของกระทรวง ที่ดูจะมีเจตนาเคลือบแคลงน่าสงสัย ภายใต้การต้อนรับที่ดูเป็นมิตร
ภาคนี้ โฟร์ ได้มีเวลาบนจอมากขึ้น ถูกยกบทบาทให้มีความสำคัญพอ ๆ กับทริซ , ทริซ โดนจับซอยผมให้สั้นขึ้น ตรงตามที่หนังสือบรรยายไว้ ไชลีน ยังคงเสน่ห์บนจอไว้ได้เสมอด้วยตาโต ๆ ขนตายาวเป็นเอกลักษณ์ หนังมีตัวละครใหม่ ๆ หลายตัว เวลาส่วนหนึ่งจึงต้องถูกใช้ไปกับการแนะนำตัวละครใหม่ ๆ บทสนทนามีศัพท์ยาก ๆ เยอะมาก ยิ่งตอนเดวิด อธิบายเรื่องยีนส์พันธุกรรมนี่สมองทำความเข้าใจตามไม่ทัน ฉากแอ็คชั่นของ Divergent ก็ยังไม่ใช่จุดขายของหนัง ฉากที่สนุกตื่นเต้นสุด คือฉากที่หนีข้ามกำแพง ถึงแม้ในเรื่องจะมีฉากรบให้ดูอีกบ้าง รวมถึงฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่อง แต่ก็ไม่ได้เป็นฉากที่มีอะไรชวนตื่นตา ไม่มีเรื่องราวหักมุมให้ชวนตื่นเต้น ยิ่งช่วงกลางเรื่องในกระทรวงฯ นี่สถานการณ์ราบเรียบชวนง่วงมาก จุดที่โดดเด่นมากที่สุดในภาคนี้คือ งานโปรดัคชั่นดีไซน์ ที่ออกแบบอาคารกระทรวงออกมาได้ดูล้ำมาก มีรูปทรงที่แปลกตาไม่ใกล้เคียงกับหนังอนาคตเรื่องไหน ๆ เลย งานออกแบบเป็นภาระหนักมาก ที่ต้องออกแบบทุกอย่างใหม่หมดในภาคนี้ เพราะเรื่องส่วนใหญ่อยู่ในกระทรวงสวัสดิการทางพันธุกรรม ต้องมีชุดทหาร ยานพาหนะที่มีทั้งยานบินโดยสาร และ ยานรบ ที่ชอบมากคือชุดโดรนติดตาม เป็นโดรนขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับหน่วยรบ คอยบินไปสอดส่องแล้วส่งสัญญาณภาพมาให้ทหารที่ควบคุมมัน
Allegiant ถือว่าเป็นหนังภาคแบ่งซอย ที่ยังพอมีเนื้อหาอะไรให้น่าติดตาม ไม่กลวงโบ๋ เหมือน Mocking Jay ภาค 1 ที่มีแต่คนด่า และสำหรับคนที่รู้สึกผิดหวังกับภาค 2 ภาคนี้สนุกกว่าภาค 2 ครับ เนื้อหาถูกขยายวงกว้างขึ้น มีฉากแอ็คชั่นมากขึ้น แล้วก็จบแบบทิ้งค้างให้คอยติดตามภาคจบที่จะมา มิถุนายน ปีหน้าเลย