ย้อนกลับไปในปี 2012 ทันทีที่เสียงของมาร์ติน ไทเลอร์ (Martin Tyler) นักพากษ์ระดับตำนานของวงการฟุตบอลส่งเสียงกรีดร้องขึ้นว่า “อเกวโร…!” นอกจากมันจะเป็นเสียงแห่งชัยชนะของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ส่งให้พวกเขาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกแล้ว นี่ยังเป็นเสียงที่บอกให้โลกได้รู้จักกับคำว่า ‘ไม่ยอมแพ้’…

หนึ่งในข่าวใหญ่แห่งวงการกีฬาปี 2021 คือข่าวของ เซร์คิโอ อเกวโร (Sergio Agüero) ศูนย์หน้าทีมชาติอาร์เจนตินา วัย 33 ปี ที่ตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ดทั้งน้ำตาตามคำแนะนำของแพทย์ จากปัญหาด้านหัวใจ ถือเป็นการสิ้นสุดอาชีพค้าแข้งของตัวเองไว้ที่ 427 ประตู จากการลงเล่น 786 นัด

แขวนสตั๊ดทั้งน้ำตา

ถ้าให้พูดถึงโมเมนต์สำคัญที่สุดในอาชีพนักฟุตบอลของอเกวโร แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นจังหวะการทำประตูในวินาทีสุดท้ายที่ส่งให้แมนฯ ซิตี้เป็นแชมป์ลีกสูงสุดในรอบ 44 ปี เหนือทีมเพื่อนบ้านน่ารำคาญอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2011-2012 ศึกพรีเมียร์ลีกในปีนั้นเป็นการขับเคี่ยวของ 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ ทีมหนึ่งสีแดงเป็นแชมป์มาแล้ว 19 สมัย และกำลังเข้าใกล้สมัยที่ 20 อยู่รอมร่อ ส่วนอีกทีมเป็นม้ามืดเงินหนา ห่างเหินจากแชมป์มาหลายทศวรรษแต่ก็กำลังมาถูกทางหลังถูกเทคโอเวอร์โดย ชีค มนซูร์ (Sheikh Mansour) มหาเศรษฐีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 

แชมป์พรีเมียร์ลีกในปีนั้นต้องมาตัดสินกันในเกมสุดท้าย หลังยูไนเต็ดกับซิตี้ดันมีคะแนนเท่ากัน ต่างกันเพียงประตูได้เสียที่ซิตี้มีมากกว่า โดยในเกมสุดท้ายซิตี้ ต้องเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของควีนปาร์ค เรนเจอร์ส ทีมในโซนท้ายตาราง ส่วนยูไนเต็ดต้องบุกไปที่สเตเดียมออฟไลท์ ของซันเดอร์แลนด์ ที่แทบจะไม่ต้องลุ้นอะไรแล้ว

ซิตี้กุมความได้เปรียบของตัวเองไว้ 100% ขอเพียงชนะทุกอย่างก็จะจบ… แต่หนึ่งในเสน่ห์ของกีฬาลูกหนังชนิดนี้ก็คือความไม่แน่นอน โดยเฉพาะลีกอย่างพรีเมียร์ลีกที่ทีมใหญ่พร้อมจะแพ้ให้กับทีมท้ายตารางได้ทุกเมื่อ ในวันนั้นโอกาสที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกของซิตี้ดูเหมือนกำลังจะหลุดลอยไปหลังพวกเขาต้องไล่ตามควีนปาร์กอยู่ 1-2 โดยเหลือเวลาแค่ช่วงทดเจ็บ 5 นาที เท่านั้น ในขณะที่อีกคู่ห่างออกไป 220 กิโลเมตร ยูไนเต็ดก็เตรียมเข้าพิธีฉลองแชมป์หลังสามารถเอาชนะซันเดอร์แลนด์ได้ จากประตูของ เวย์น รูนีย์ (Wayne Rooney) ในช่วงครึ่งแรก 

พลพรรคแมนฯ ยูไนเต็ด กำลังรอลุ้นผลอีกคู่

ประตูปลุกฝันซิตี้เกิดขึ้นในนาทีที่ 92 หลัง เอดิน เซโก (Edin Dzeko) โหม่งประตูตีเสมอเข้าไป แม้โอกาสของซิตี้จะดูริบหรี่ แถมเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่สำหรับกีฬาอย่างฟุตบอล…บอลลูกกลม ๆ ก็สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้เสมอ

ในนาทีที่ 93 อเกวโรเก็บบอลได้จากกลางสนาม เขาชิ่งหนึ่ง-สอง กับ มาริโอ บาโลเตลลี (Mario Balotelli) ก่อนที่อเกวโรจะได้บอลกลับมา เขาแตะหนี เนดุม โอนูโอฮา (Nedum Onuoha) และยิงผ่าน แพดดี้ เคนนี (Paddy Kenny) เข้าไปส่งผลให้ซิตี้ชนะเกมนั้นและคว้าแชมป์ไปครอง

จังหวะที่อเกวโรแตะหนี เนดุม โอนูโอฮา ก่อนจะยิงประตูเข้าไป

“นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่ผมอยู่ในตำแหน่งที่ดีมาก เพราะตลอดทั้งเกมผมโดนประกบติด แต่ตอนนั้นผมสามารถถอยตัวออกมาห่างเพื่อรับบอล จริง ๆ ความคิดแรกของผมคือถ้าผมแหย่เท้าออกสักหน่อย บางทีกองหลังอาจจะพลาดจนเราได้จุดโทษก็ได้ แต่ผมก็คิดว่าผู้ตัดสินอาจจะไม่ให้ก็ได้!” อเกวโร แชร์โมเมนต์ของประตูดังกล่าว

“จังหวะนั้นคุณจะเห็นว่าผมเงยหน้าขึ้นมองตอนได้บอล ตอนนั้นผมเห็นว่ามาริโอว่าง ผมจ่ายบอลให้เขา จริง ๆ จังหวะนั้นเขาก็ทำท่าเหมือนจะล้มอยู่แล้ว แต่ด้วยทักษะที่ยอดเยี่ยมเขาสามารถส่งบอลกลับมา จนผมเข้าไปทำประตูได้ ผมไม่ได้ถูกถามเรื่องประตูนี้ทุกวันหรอก แต่ก็มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง! โดยเฉพาะเวลาที่คนกำลังพูดถึงประตูในวินาทีสุดท้าย หรือตอนมีข่าวของควีนส์ปาร์ก เรนเจอร์ส ขึ้นมา”

ประตูของอเกวโร ถูกยกให้เป็นอีกหนึ่งประตูคลาสสิกตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก แม้มันจะไม่ใช่ประตูที่ดีที่สุด หรือสวยที่สุด แต่นั่นถือเป็นอีกหนึ่งประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และดราม่าที่สุดไม่แพ้ลูกยิงของโอเล กุนนาร์ โซลชา (Ole Gunnar Solskjaer) ที่คัมป์นูเลยทีเดียว นี่แหละหนอ…คือเสน่ห์ของลูกกลม ๆ ที่ชื่อ ‘ฟุตบอล’

“คุณต้องไปคุยกับแฟน ๆ ของซิตี้ นั่นเป็นเกมที่พวกเขาพูดถึงอยู่เสมอ มันเป็นความจริงนะที่ว่าเกมนั้นจะคงอยู่ในความทรงจำของพวกเขาตลอดไป ผมเองก็จะไม่มีวันลืมมันเช่นกัน” อเกวโร ทิ้งท้าย

เครดิตภาพและอ้างอิง

https://bit.ly/3EbejsQ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส