‘ปก’ ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการทำ ‘อัลบั้ม’ เพราะนอกจากศิลปินจะแข่งขันกันที่ความไพเราะของท่วงทำนองแล้ว งานศิลป์ในอัลบั้มก็ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน นั่นก็เพราะงานภาพเหล่านี้คือสื่อที่จะสร้างความจดจำให้คนฟังได้ดี อีกทั้งยังเป็นตัวสะท้อนภาพรวมของสิ่งที่ศิลปินอยากจะถ่ายทอดออกมาอีกด้วย
เราต่างเคยเห็นการออกแบบปกที่อาจจะล้ำสุด ไปจนถึงเรียบง่ายที่สุดกันมาแล้ว ซึ่งหนึ่งในรูปแบบที่ศิลปินหลายเบอร์มักจะหยิบมาใช้สำหรับอัลบั้มของตัวเอง ก็คือการนำ ‘เด็ก’ มาเล่าเรื่องผ่านปกนั่นเอง
ในอดีตจนถึงปัจจุบันมีอัลบั้มจำนวนมากที่ใช้นางแบบ นายแบบเป็นเด็กตัวน้อยมากระโดดโลดเต้นอยู่หน้าปก ซึ่งวันนี้เราจะขอพาทุกคนไปพบกับ 7 อัลบั้มระดับตำนานที่ใช้ ‘เด็ก’ มาเป็นปก จะมีผลงานไหนกันบ้างไปชมกัน
‘BOY’ – U2
เด็กชายที่ได้ขึ้นปกอัลบั้มของ U2 ถึง 3 ชุด มีนามว่า ปีเตอร์ โรเวน (Peter Rowen) เขาปรากฏตัวครั้งแรกบนปก EP อัลบั้มของวงอย่าง ‘Three’ ในปี 1979 จากนั้น 1 ปีให้หลัง เขาก็ถูกขอให้มาขึ้นปกอัลบั้มเดบิวต์ของวงอย่าง ‘BOY’ ซึ่งว่ากันว่าในครั้งนั้นเขาได้รับเงินค่าถ่ายแบบเป็นขนมช็อกโกแลตแท่งมาร์ส
โรเวนเป็นน้องชายของ เดเร็ค โรเวน (Derek Rowen) หรือที่รู้จักในชื่อ ‘Guggi’ (กุกกี) นักร้องนำแห่งวง Virgin Prunes ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของโบโน (Bono) นักร้องนำ U2
ในปี 1983 ปีเตอร์ได้กลับมาขึ้นหน้าปกของ U2 อีกครั้งในอัลบั้มชุดที่ 3 อย่าง ‘WAR’ ซึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขาจำการถ่ายทำในวันนั้นได้แม่น เพราะว่าเขาไม่ชอบซุปที่เสิร์ฟช่วงอาหารว่างเอาซะเลย
“สิ่งสำคัญเกี่ยวกับภาพทั้ง 2 อัลบั้ม คือบรรยากาศและความรู้สึกที่แตกต่างกัน ‘BOY’ บอกเล่าถึงคือความไร้เดียงสาของวัยเยาว์ ส่วน ‘WAR’ แสดงให้เห็นถึงเด็กที่เปลี่ยนไป ซึ่งเหมือนเป็นการบอกว่าโลกใบนี้สามารถทำลายความไร้เดียงสาของเด็กคนหนึ่งได้อย่างไร” ปีเตอร์พูดถึงแนวคิดของปกอัลบั้มทั้งสอง
หลายปีต่อมาปีเตอร์ได้กลายมาเป็นช่างภาพและเคยถ่ายภาพทัวร์ ‘360’ ของ U2 ในปี 2009 อีกด้วย ซึ่งเขาเคยกล่าวติดตลกว่า “ตอนที่ผมถ่ายรูปพวกเขา มีอยู่ช่วงหนึ่งโบโนกำลังนอนอยู่บนเวทีตรงหน้าผมเลย พวกเขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำ ซึ่งมันตลกดีนะ”
‘Nevermind’ – Nirvana
ปกอัลบั้ม ‘Nevermind’ ของ Nirvana ที่เป็นรูปเด็กทารกกำลังดำน้ำไปหาธนบัตร 1 ดอลลาร์ ถือเป็นผลงานการออกแบบที่โด่งดังไม่แพ้กับเพลงดังในอัลบั้มอย่าง “Smells Like Teen Spirit” ผลงานชุดนี้วางจำหน่ายในปี 1991 มียอดขายถึง 30 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก และถูกยกให้เป็นอัลบั้มระดับตำนานชุดหนึ่งของโลกดนตรี
ไอเดียของปกอัลบั้มชิ้นนี้ เริ่มมาจากที่เคิร์ต โคเบน (Kurt Cobain) นักร้องนำ และเดฟ โกห์ล (Dave Grohl) มือกลอง กำลังชมรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการคลอดลูกในน้ำ ต่อมาโคเบนจึงนำไอเดียนี้ไปเล่าให้โรเบิร์ต ฟิชเชอร์ (Robert Fisher) ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของค่ายเกฟเฟน ซึ่งทางฟิชเชอร์ชอบในไอเดียนี้ จึงตัดสินใจไปรื้อภาพฟุตเทจต่าง ๆ หวังจะนำมาสนองความต้องการของวง แต่สุดท้ายรูปเหล่านั้นก็ติดปัญหาทั้งเรื่องลิขสิทธิ์และความสวยงาม
พอไม่ได้เสียที ฟิชเชอร์ จึงตัดสินใจโทรหาช่างภาพ เคิร์ก วัดเดิล (Kirk Weddle) ให้มาช่วยถ่ายภาพในอุดมคติของโคเบน ด้านวัดเดิลพอได้รับบรีฟจากทางค่ายเขาก็ตัดสินใจไปที่สระน้ำในแคลิฟอร์เนียที่ชื่อ Rose Bowl เพื่อถ่ายภาพทารกที่กำลังฝึกว่ายน้ำอยู่ แต่พอถ่ายออกมายังไงก็ไม่ถูกใจวงเสียที วัดเดิลจึงขอกลับไปถ่ายซ่อมอีกครั้ง คราวนี้ วัดเดิลได้คัดเลือกเด็กมา 5 คน โดยให้พ่อแม่ของเด็กยืนอยู่ในสระ ก่อนจะปล่อยเด็กลงน้ำให้เด็กว่ายผ่านกล้องไปหาพ่อแม่ สุดท้ายได้ภาพออกมาทั้งหมด 40-50 ภาพ แต่มีภาพเดียวเท่านั้นที่โคเบนถูกใจ นั่นก็คือรูปของของทารกวัย 4 เดือนอย่าง สเปนเซอร์ เอลเดน (Spencer Elden) ซึ่งรูปที่โคเบนชอบนี้ ใช้เวลาเบ็ดเสร็จไปเพียง 15 วินาที เท่านั้น ส่วนภาพธนบัตร 1 ดอลลาร์ที่เกี่ยวอยู่บนเบ็ดตกปลานั้นก็เป็นส่วนที่ตัดต่อเข้ามาทีหลัง
ว่ากันว่าพ่อแม่ของเอลเดนได้รับค่าตอบแทนไปเพียง 200-250 เหรียญ ซึ่งย้อนกลับไปตอนนั้นทางครอบครัวเอนเดน รวมถึงตัววงเองก็ไม่มีใครคิดว่า อัลบั้ม ‘Nevermind‘ จะโด่งดังขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นแทบไม่มีใครคิดว่าภาพเด็กทารกเปลือยกายว่ายเข้าหาแบงก์ จะไปเทียบชั้นปกเดินข้ามถนนแอบบี้โรดส์ ของ The Beatles ได้
ในปี 2021 เอลเดน ได้ยื่นฟ้องสมาชิกวง Nirvana ที่เหลือ รวมถึงตัวช่างภาพอย่างวัดเดิล ในข้อหาปล่อยภาพอนาจารเด็ก และแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศจากเด็กเพื่อการค้า ซึ่งตัวเอลเดนก็ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่ตัดสินใจยื่นฟ้องหลังผ่านมา 30 ปี ว่า เขาได้รับความเสียหายและทรมานมาตลอดชีวิต มันคล้ายกับการค้าขายทางเพศที่เขาเหมือนถูกบังคับให้ค้าประเวณีในขณะที่อายุต่ำกว่า 18 ปี
‘Siamese Dream’ – Smashing Pumpkins
‘Siamese Dream’ ถือเป็นอัลบั้มชุดที่ 2 ของ Smashing Pumpkins ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มอัลเทอร์เนทีพ ร็อก ที่ดีที่สุดตลอดกาล และนอกจากตัวผลงานเพลงแล้ว การออกแบบปกอัลบั้มชุดนี้ก็ยังถูกพูดถึงไม่แพ้กัน
ภาพเด็กสาว 2 คน กำลังกอดคอกัน พร้อมรอยยิ้มที่ไร้เดียงสานี้ เป็นผลงานการถ่ายของช่างภาพที่ชื่อ เมโลดี แม็กแดเนียล (Melodie McDaniel) ซึ่ง บิลลี คอร์แกน (Billy Corgan) หัวเรือใหญ่ของ Smashing Pumpkins เคยเล่าว่า ภาพนี้ถ่ายขึ้นที่สถานที่แห่งหนึ่งในลอสแอนเจลิส เมื่อปี 1993 ซึ่งพวกเขาได้เด็กทั้ง 2 มาถ่ายปกให้แบบบังเอิญสุด ๆ
หลังอัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จ ผ่านไปหลายปีคอร์แกนพยายามตามหาทั้งคู่ผ่านการโพสต์หาทางบล็อก ซึ่งกว่าจะหาพวกเธอเจออีกครั้ง ก็ปาเข้าไปปี 2018 หลังคอร์แกน ได้ทวีตภาพบนอินสตาแกรมของวง เป็นภาพของทั้งคู่ในอิริยาบถเดียวกันกับตัวปกเมื่อปี 1993 โดย 2 สาวนั้นมีชื่อว่า อาลี ลาเอ็นเกอร์ (Ali Laenger) และ ไลแซนดรา โรเบิร์ตส์ (Lysandra Roberts)
“สิ่งที่น่าทึ่งคือเคมีที่เข้ากันของทั้งคู่ ทุกวันนี้พวกเธอยังคงกระโดดเข้าหากันเหมือนในรูปอยู่เลย ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อปี 1993 ตอนนั้นพวกเธอไม่เคยพบกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ความเยาว์วัยและความไร้เดียงสาในวันนั้น เหมือนเป็นดาวนำโชคส่วนตัวของวงเลย” คอร์แกนเล่า
‘1984’ – Van Halen
‘1984’ ถือเป็นปกอัลบั้มของ Van Halen ที่ได้กระแสตอบรับทั้งแง่บวกและลบในเวลาเดียวกัน ผลงานปกรูปเทวดาน้อยกำลังสูบบุหรี่ชิ้นนี้สร้างขึ้นโดย มาร์โก ซี. นาฮาส (Margo Z. Nahas) ช่วงแรกแฟนเพลงต่างเข้าใจว่าเด็กในรูปคือนักร้องนำ เดวิด ลี ร็อธ (David Lee Roth) ในวัยเด็ก แต่ต่อมามีการเปิดเผยว่า ผลงานชิ้นนี้ถูกร่างมาจากรูปถ่ายเด็กวัย 4 ขวบ ที่ชื่อ คาร์เตอร์ เฮม (Carter Helm) ซึ่งเป็นลูกชายแท้ ๆ ของนาฮาสเอง
ที่มาของปกชิ้นนี้เกิดขึ้นจากความบังเอิญล้วน ๆ ย้อนกลับไปเมื่อปี 1984 ในเวลานั้น เจย์ วีกอน (Jay Vigon) สามีของนาฮาส ทำงานเป็นนักออกแบบและผู้กำกับศิลป์อยู่ที่ค่ายวอร์เนอร์ มิวสิก ช่วงเวลาเดียวกันกับที่ Van Halen กำลังเตรียมจะเปิดตัวอัลบั้มชุดนี้
แรกเริ่มเดิมที Van Halen มีไอเดียว่าจะใช้ภาพปกเป็น ผู้หญิงเต้นระบำ 4 คนชุบทั้งตัวด้วยโครเมียม แต่ต่อมาไอเดียดังกล่าวก็ถูกปัดตกเพราะทีมงานมองว่ากระบวนการค่อนข้างซับซ้อนเกินไป สุดท้ายอย่างที่บอกด้วยความบังเอิญสุด ๆ หนึ่งใน 4 สมาชิกดันเหลือบไปเห็นรูปถ่ายลูกชายของนาฮาสในแฟ้มผลงานของเธอ ซึ่งพวกเขาก็เกิดชอบ ก่อนจะตัดสินใจใช้รูปของเด็กคนนี้เป็นตัวแทนของอัลบั้มชุดนี้ทันที
ปัจจุบันเฮมอาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโก และทำงานเป็นนักเขียนด้านการขนส่งสินค้าทางทะเลและประกันภัยทางทะเลภายในประเทศ
‘Houses Of The Holy’ – Led Zeppelin
สเปนเซอร์ เอลเดน ไม่ใช่เด็กคนแรกที่ได้เห็นภาพเปลือยในวัยเด็กของตัวเอง บนปกอัลบั้มระดับตำนาน เพราะย้อนกลับไปเมื่อปี 1973 สเตฟาน และ ซาแมนธา เกตส์ (Stefan – Samantha Gates) ต่างก็เคยเปลือยกายขึ้นปกมาก่อนแล้ว
สเตฟาน และ ซาแมนธาใช้เวลา 10 วัน เพื่อเป็นแบบถ่ายภาพเปลือยกายของตัวเองบนพื้นที่หินปูนรูปทรงหกเหลี่ยมในไอร์แลนด์เหนือ หรือที่เรียกว่า ‘Giant’s Causeway’
ภาพนี้ถ่ายโดย อูเบลย์ พาวล์ (Aubrey Powell) โดยมีสตูดิโอออกแบบอย่าง ‘Hipgnosis’ ที่เคยทำปกอัลบั้มขึ้นหิ้งของ Pink Floyd อย่าง ‘Dark Side Of The Moon’ มารับหน้าที่ออกแบบปกนี้
แรงบันดาลใจในการออกแบบปกอัลบั้มมาจากตอนจบนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง ‘Childhood’s End’ ของนักเขียน อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก (Arthur C. Clarke) ที่บอกเล่าเรื่องราวของเด็กรุ่นสุดท้ายของโลกในร่างเปลือยกายที่กำลังคลานเข้าไปสู่หอคอยแห่งเปลวไฟ
ซึ่งไอเดียตั้งต้นของ Hipgnosis พวกเขาตั้งใจว่าจะเป็นภาพของสมาชิกในครอบครัว แต่ก็เปลี่ยนใจมาใช้เป็นภาพของเด็ก ๆ แทน โดยให้เหตุผลว่ามันจะสร้างอิมแพ็กที่ใหญ่กว่านั่นเอง
ผลงานปกอัลบั้มชิ้นนี้ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง หลังแฟนคลับของ Led Zeppelin คนหนึ่งได้ทำการโพสต์ภาพปกอัลบัั้มบนเพจเพื่อเป็นการระลึกถึงวันครบรอบการออกอัลบั้ม แต่หลังจากโพสต์ภาพดังกล่าวเพียงไม่กี่วัน บัญชีของเธอก็ถูกทางเฟซบุ๊กแบน โดยโซเชียลมีเดียดังให้เหตุผลว่าภาพดังกล่าวนั้นเข้าข่ายเป็นสื่ออนาจาร
‘Korn’ – Korn
อัลบั้มเซลฟ์ไตเติลของ ‘Korn’ วงนูเมทัลชื่อก้องที่ออกวางจำหน่ายในปี 1994 มาพร้อมกับปกที่เหมือนจะไม่มีอะไรแต่กลับชวนขนลุกอย่างน่าสยองและชี้ชวนให้คิดไปถึงการล่วงละเมิดทางเพศที่ทั้งน่ากลัวและดูจริงเหลือเกิน
บนปกอัลบั้มชุดนี้เราจะเห็นภาพเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่นั่งหวาดกลัวอยู่บนชิงช้ามองขึ้นมายังร่างของชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างน่ากลัวราวกับตัวละคร เฟรดดี ครูเกอร์ (Freddy Krueger) ที่มีกรงเล็บอันแหลมคมพร้อมขย้ำเหยื่อตัวน้อยและเงาของชิงช้าก็พาดผ่านทับกันเป็นรูปไม้กางเขน
สำหรับในเรื่องราวบนปกอัลบั้มเราคงมิอาจรู้ได้ แต่สำหรับเรื่องราวของสาวน้อยในชีวิตจริงแล้วล่ะก็เธอคือ จัสติน เฟอร์รารา (Justine Ferrara) วัย 8 ขวบ ซึ่งเป็นหลานสาวของตัวแทนค่ายอิมมอร์ทัล เรคคอร์ดส์ พอล พอนติอุส (Paul Pontius)
ด้วยความไร้เดียงสาเฟอร์ราราไม่รู้เลยว่าเธอกำกับถ่ายอะไรอยู่ แต่จำได้แค่ว่าวันนั้นเธออยู่ที่สนามเด็กเล่นกับ ดันเต้ อาริโอลา (Dante Ariola) ผู้กำกับศิลป์และเจ้าของเงาอันตรายซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นคนที่น่ารักมาก ๆ ในวันนั้นคุณแม่ของลุงพอลและแม่ของเฟอร์ราราก็อยู่ที่สนามเด็กเล่นเวสต์ฮอลลีวูดหลังสำนักงานเก่าของค่ายอิมมอร์ทัล เรคคอร์ดส์ สตีเฟน สติกเลอร์ (Stephen Stickler) ตากล้องสั่งให้สาวน้อยแกว่งชิงช้าไปมาซึ่งแค่นี้มันก็ดูน่ากลัวมากแล้ว
หลังจากนั้นพวกเขาก็มาทำมันให้หลอนมากยิ่งขึ้นด้วยการวางโลโก้วง Korn ทับไว้เหนือเงาของสาวน้อยจนดูเหมือนกับว่าร่างของเธอถูกห้อยแขวนลงมาจากโลโก้ นอกจากนี้ยังมีการลดความอิ่มของสีลงให้มันดูซีดจางเหมือนเป็นภาพเก่า ส่วนกรงเล็บยาวแหลมนั้นก็ไม่ได้ใช้พรอปเสริมอะไรดันเต้แค่ขยับนิ้วไปมาจนได้รูปร่างแบบนั้น ส่วนเงาที่ยาวยืดนั้นก็เกิดจากการที่ตอนถ่ายนั้นเย็นย่ำมากแล้วเงาก็เลยทอดยาวไปแบบนั้นเอง
เฟอร์ราราได้รับค่าจ้าง 300 เหรียญสำหรับการแกว่งชิงช้าของเธอ และไม่ได้รับอนุญาตให้ดูปกที่เธอถ่ายจนกว่าเธอจะอยู่เกรด 8 ตอนแรกแม่ของเธอไม่ค่อยพอใจกับบทบาทนี้ของเธอมากนัก เพราะเธอคิดว่ามันอาจทำให้ ‘พวกเด็กพังก์’ บนท้องถนนจำลูกสาวของเธอได้ แต่อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาจัสตินก็ยังคงมีความสุข สุขภาพแข็งแรง และไม่เคยโดนทำร้ายใด ๆ จากพวกเด็กพังก์ ถึงแม้เธอจะไม่ใช่แฟนเพลงของ Korn แต่เธอก็ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ดนตรี
‘Ready to Die’ – The Notorious B.I.G.
อัลบั้มเปิดตัวของแรปเปอร์ผู้ล่วงลับอย่าง The Notorious B.I.G. หรือ ‘บิ๊กกี้’ (Biggie) นับเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มแรปยอดเยี่ยมที่มียอดขายมากกว่า 14 ล้านชุดทั่วโลก ตัวปกอัลบั้มถูกออกแบบโดยเป็นการจำลองภาพของบิ๊กกี้ในวัยเด็ก ซึ่งต่อมามันได้กลายเป็นหนึ่งในปกอัลบั้มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์ดนตรีฮิปฮอป
แท้จริงแล้วเด็กที่ขึ้นปกอัลบั้มชุดนี้มีชื่อว่า คีธรอย เยียร์วูด (Keithroy Yearwood) ที่ปัจจุบันมีอายุ 40 ปี ซึ่งเจ้าตัวเคยออกมาเปิดเผยว่า เขาได้ค่าตัวจากการถ่ายทำปกนี้ 150 เหรียญ สำหรับการมาเป็นแบบราว ๆ 2 ชั่วโมง
“ทุกครั้งที่มีคนรู้ว่าผมคือเด็กบนปกนั้น พวกเขามักถามว่าผมได้เงินจากการไปขึ้นปกนี้เยอะไหม ผมก็เลยบอกไปว่าไม่เลย” เยียร์วูดเล่า
แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับทีมโปรดักชันที่ถ่ายทำปกชิ้นนี้ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ย้อนกลับไปตอนนั้นพวกเขาต้องการเด็กสักคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับบิ๊กกี้ ซึ่งโชคดีที่หนึ่งในทีมงานจำได้ว่าเพื่อนของเธอมีลูกที่หน้าตาและมีผมแอฟโฟรใหญ่ ๆ คล้ายกับบิ๊กกี้ตอนเด็กเลย ต่อมาผู้ที่ดูแลโปรเจกต์จึงได้ติดต่อไปที่ เดลซีเนีย เบิร์นส์ (Delcenia Burns) ซึ่งเป็นแม่แท้ ๆ ของเยียร์วูดเพื่อทาบทามให้เขามาขึ้นปกชิ้นนี้
“เราได้รับสายจากเอเจนซีบอกว่า คีธรอย ได้งานนี้แล้ว ตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่า ผลงานชิ้นนี้มันจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้” แม่ของเยียร์วูดเล่า
ด้านเยียร์วูดเอง ก็เสริมว่าแม้เขาจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินไม่มากนัก เมื่อเทียบกับความสำเร็จของตัวอัลบั้ม แต่เขาก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานระดับตำนานชิ้นนี้
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้อยู่ในอัลบั้มนี้” เยียร์วูดบอกกับนิวยอร์ก เดลี นิวส์
อ้างอิง:
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส