นี่คือหนังที่ต้องยกความดีความชอบให้กับคนเขียนบทอย่างแท้จริง หนังที่เล่นกับพื้นที่จำกัด มีตัวละครแค่ 3 คน อยู่ในห้องแคบ ๆ แทบทั้งเรื่อง แต่สามารถสะกดผู้ชมให้อยู่กับหนังได้ตลอดเวลา จอช แคมพ์เบล และ แมทธิว สตุ๊คเคน 2 มือเขียนบทหน้าใหม่ก็สามารถใส่ปริศนาและสถานการณ์คับขันให้เรื่องราวชวนติดตามชวนลุ้นไปกับชะตากรรมตัวละคร ก่อนหน้านี้หนังที่สามารถทำแบบนี้ได้ก็ต้องย้อนไปนึกถึง Saw ปี 2004 นู่น
มิเชลล์ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฟื้นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องแคบ ๆ โฮเวิร์ด ชายร่างใหญ่บอกว่าเขาคือคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้ และเธอจะต้องอยู่ในบังเกอร์ใต้ดินนี้ไปกว่า 2 ปี เพราะข้างนอกโดนนิวเคลียร์ถล่มมีรังสีปนเปื้อนออกไปแล้วจะตาย ในบังเกอร์นี้ยังมีเอมเมตต์ ชายหนุ่มอีกคนที่ช่วยโฮเวิร์ดสร้างบังเกอร์นี้มาร่วมอาศัยอยู่ด้วย ผมชอบที่หนังใส่ปริศนาเข้ามามากมาย ทำให้หนังเดินหน้าไปด้วยความอึมครึมชวนสงสัยไปหมด เมื่อมิเชลล์อยู่ดี ๆ ต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนแปลกหน้าถึง 2 คน ดูไปด้วยความใคร่รู้คำตอบว่าแท้จริงแล้วโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้น เจตนาแท้จริงของโฮเวิร์ดคืออะไร และยังร่วมลุ้นไปกับแผนการหนีของมิเชลล์อีกด้วย
หนังเล่นกับความคิดคนดูได้ดี บางทีก็ทำให้เชื่อว่าข้างนอกมีอันตรายจริง บางทีก็ทำให้ไขว้เขวว่าเป็นแผนการร้ายของโฮเวิร์ดที่แต่งเรื่องมาหลอก ชอบการใส่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบทสนทนาที่เรานึกว่าไม่สำคัญอะไร แต่สุดท้ายก็ถูกหยิบมาใช้ได้ในฉากไคลแมกซ์ การปูพื้นเรื่องแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับความสามารถพิเศษของมิเชลล์ก็ยังถูกหยิบมาใช้เช่นกัน จอห์น กู๊ดแมน ดารารุ่นใหญ่ที่ยิ่งแก่ยิ่งมีงานชุก จากดาราสายตลก พลิกบทบาทมาเล่นเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย เดาอารมณ์ไม่ถูกว่าจะมาไม้ไหน จอห์นคุมหนังช่วงต้นไว้ได้อยู่หมัด หลาย ๆ ฉากทำให้บรรยากาศสนทนา 3 คนดำเนินไปอย่างเครียด ๆ ได้ หนังบีบอารมณ์คนดูอยู่ในบรรยากาศอึมครึมกว่าชั่วโมง ก่อนจะพาไปสู่จุดพีคในฉากไคลแมกซ์ลากยาวกว่า 20 นาที ที่ให้อารมณ์ได้แบบหนังสยองขวัญ สนุก ชวนลุ้นมาก
เรื่องราวของหนังไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนัง Cloverfield (2008) แต่อย่างใด เพียงแต่ทั้ง 2 เรื่องมี เจ.เจ. อบรามส์ อำนวยการสร้างเท่านั้น แต่ เจ.เจ. ก็ยังแอบหยอด Easter Egg (ในความหมายของวงการหนังคือ สิ่งของหรือภาพปริศนาเชื่อมโยงกับหนังเรื่องอื่น เหมือนกับการหาไข่ในเทศกาลอีสเตอร์) ที่เชื่อมโยงกับ Cloverfield (2008)ไว้บางจุด แต่ว่าภาคนี้ไม่เล่นกับภาพสั่นไหวแล้ว ทำให้ดูง่ายและสนุกกว่าภาคก่อนเยอะ แต่ต้องย้ำว่า อย่าดูตัวอย่างที่ 2 ของหนังเด็ดขาด ตัวอย่างแรกถูกปล่อยออกมาโดย Bad Robot บริษัทผู้สร้าง ที่เก็บงำปริศนานอกบังเกอร์ไว้ให้คนดูเข้าไปหาคำตอบในหนัง แต่ตัวอย่างที่ 2 ถูกทำโดยพาราเมาท์เจ้าของหนัง ที่ดันเผยปริศนาซะงั้น ฉนั้นถ้ายังไม่ได้ดูก็ไม่โดนสปอยล์จากเจ้าของหนัง ไปลุ้นในหนังได้อรรถรสกว่าเยอะ หนังจบแบบทิ้งเรื่องราวให้สร้างภาคต่อได้อีก ซึ่งก็น่าจะได้ดูแน่ละเพราะหนังทำกำไรไปมากโข จากทุนสร้างแค่ 15 ล้านเหรียญ ฟันรายได้มาแล้ว 70 ล้านเหรียญ ตอนนี้ทยอยเก็บรายได้ทั่วโลก และคำชมจากบรรดานักวิจารณ์ทุกสื่อ เชื่อว่าพ้น 100 ล้านเหรียญแน่ ๆ