ย้อนกลับไปช่วงต้นปี 2000 นั่นถือเป็นยุคทองของวงบอยแบนด์อย่างแท้จริง รูปแบบของวงที่มีนักร้องชาย 4-5 คนช่วยกันร้องประสานเสียงส่งพลังในท่อนคอรัสที่ชวนติดหู กลายเป็นสูตรสำเร็จที่ลงตัวอย่างมากของวงการดนตรีในสมัยนั้น ซึ่งหลาย ๆ วงสามารถแจ้งเกิดขึ้นมาได้หนึ่งในนั้นคือ ‘Westlife’
Westlife นำโดย นิกกี้ เบิร์น (Nicky Byrne), คีแอน อีแกน (Kian Egan), มาร์ก ฟีฮิลี (Mark Feehily) และ เชน ฟิแลน (Shane Filan) ประสบความสำเร็จและโด่งดังอย่างมากในฐานะนักร้องกลุ่ม ผู้เป็นตัวแทนของดนตรีป๊อปยุคมิลเลนเนียม บทเพลงอย่าง “My Love”, “Fool Again”, “Uptown Girl”, “If I Let You Go” และ “Swear It Again” กลายเป็นผลงานที่ครองใจแฟนเพลงทั่วโลกอย่างมากในขณะนั้น
แรกเริ่มเดิมที Westlife เริ่มต้นด้วยสมาชิก 5 คน ก่อนที่ไบรอันจะขอถอนตัวออกจากวงไปในปี 2004 ซึ่งสมาชิกที่เหลืออีก 4 คนก็เดินหน้าทำผลงานต่อไปจนถึงปี 2012 แต่สุดท้ายพวกเขาก็ประกาศพักวงพร้อมกับเหตุผลยอดนิยมที่ว่า “อิ่มตัวกับงานเพลง”
สมาชิกทั้ง 4 ต่างหันไปใช้ชีวิตส่วนตัวของตัวเอง บางคนหันไปเขียนหนังสือ ขายเครป บ้างก็ไปอยู่ในรายการเต้น แต่คนเราก็ไม่อาจทิ้งตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้ หลังทิ้งไมค์ไปนานในปี 2019 พวกเขากลับมาอีกครั้งพร้อมกับสตูดิโออัลบั้มชุดใหม่อย่าง ‘Spectrum’ และล่าสุดกับอัลบั้มชุดที่ 12 อย่าง ‘Wild Dream’ ในปี 2021
และวันนี้ เราจะขอพาทุกคนย้อนเวลาไปคุยเรื่องอดีต ปัจจุบัน อนาคต กับ Westlife ผ่านมุมมองของ 2 สมาชิกหลักอย่าง เชน และ มาร์ก
ทุกอัลบั้มที่ออกมักจะมีจุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้นเสมอ
เชน: มันยากนะที่จะบอกว่าส่วนไหนที่เราทำ เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ผมว่าสิ่งที่เราทำได้คือการรักษาสมดุล คุณรู้อะไรไหม ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเรากำลังพูดคุยเกี่ยวกับอัลบั้มใหม่ของตัวเอง แต่ผมกลับรู้สึกเฉย ๆ คือมันเป็นอัลบั้มที่ต้องใช้การรักษาสมดุลมากกว่าปกติ คุณก็รู้ว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก อย่างที่ผมบอกนั่นแหละว่า “ทุกคนอยู่บนโลกในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหดหู่” พวกเราจึงตระหนักว่า เราต้องแสดงความสามารถที่มันเป็นโดยธรรมชาติ หรือเป็นสิ่งเราก็ไม่เคยรู้มาก่อน แม้ว่าบางสิ่งเราต้องกลับไปค้นว่าจะเอามันออกมาใช้ได้อย่างไร เราอยากจะเป็นตัวของตัวเองให้มากเท่าที่จะทำได้ เราก็เลยทดลองทำบางอย่าง อาจเป็นเพราะมีโรคระบาดและมีความเป็นไปได้สูง เราเลยมีเวลาทำเพลงค่อนข้างมาก ทุกคนมีเวลาเหลือเฟือ ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่กำลังเปลี่ยนไป มันเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็ว่าได้ ถ้าคุณไม่ออกอัลบั้มตามเวลาที่วงกำหนดไว้ ก็อาจส่งเกิดผลกระทบในอนาคต
ประทับใจอะไรมากที่สุด ตั้งแต่อยู่ในวงการดนตรี
มาร์ก: ผมจำได้ว่า มีครั้งหนึ่งที่พวกเราแสดงในงานแฟชันโชว์ที่มิลานช่วง Fashion Week ตอนนั้นเราได้ย้ายไปนั่งแถวหน้า ข้างคลอเดีย ชิฟเฟอร์ (Claudia Schiffer) เลย แล้วเราก็ชวนเธอมาแสดงในเอ็มวี “Uptown Girl” ซึ่งเธอตอบตกลงที่จะมาเล่นในทันที ตอนนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เราได้เจอ มารายห์ แครี (Mariah Carey), ไดอานา รอสส์ (Diana Ross), ไลโอเนล ริชชี (Lionel Richie) และคนอื่น ๆ มันสุดยอดมาก รวมทั้งการได้เล่นคอนเสิร์ตและได้แสดงในสถานที่จัดคอนเสิร์ตดี ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างในบ้านเกิดของเราที่สไลโก ซึ่งเป็นที่ ๆ เรารวมวงกันช่วงมัธยมปลาย ตอนมัธยมปลายพวกเราอยู่ห้องเดียวกัน ตอนนั้นแค่เรามองหน้ากันก็สนุกแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรสักคำ แค่มองผมก็รู้แล้วว่าอีกคนต้องมีเรื่องอะไรมาแน่ มันคือการที่คนสองคนเชื่อมกัน สิ่งร้าย ๆ ก็หายไป ผมรู้สึกอย่างนั้น เราได้ปลดปล่อย ได้เห็นเพื่อน ๆ ได้เป็นตัวเอง บางเรื่องเราก็เหมือนคุ้นชินกับมัน แต่บ้างเรื่องก็เหมือนไม่เคย เรื่องเหล่านี้แหละครับที่ผมว่ามันน่าประทับใจ
มาประเทศไทยหลายครั้ง ชอบอะไรในประเทศแห่งนี้บ้าง
เชน: ผมว่าคงเป็นเพราะแรงสนับสนุนที่ได้จากประเทศไทย จากการฟังเพลง มีหลายคนพูดถึงสิ่งนี้ เพราะเท่าที่เราทราบ ประเทศไทยเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวส่วนมากมักมาเที่ยววันหยุดที่นี่ ไทยเป็นประเทศที่สวยงาม มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย มีชายหาดมากมาย เราได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับประเทศไทยบ่อย ๆ คือคนจากเมืองสไลโกในประเทศไอร์แลนด์มักจะมาพักผ่อนหรือไม่ก็มาฮันนีมูนที่ประเทศไทย คนที่เคยมาแล้วบังเอิญได้ยินเพลงของ Westlife ส่วนใหญ่จะพูดว่า “นี่มันคือเพลงของประเทศเรา” บางคนก็อยากจะมาตั้งต้นชีวิตที่ประเทศไทย มันก็น่ารักดีนะ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนที่คนไทยมี ยิ่งไกลบ้าน คนก็ยิ่งรักการฟังเพลง เป็นสิ่งที่อาจจะบอกว่าวงของเราได้รับการตอบสนอง เพื่อที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย มันยอดเยี่ยมมาก เราได้มีโอกาสมาที่นี่เพื่อจัดคอนเสิร์ตรอบล่าสุด พวกเราอยากเริ่มแสดงคอนเสิร์ตที่ไทยและต่อยอดไปสู่ที่อื่น ๆ คอนเสิร์ตที่จัดที่กรุงเทพฯ นับว่าเป็นโชว์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ อีกอย่างหนึ่งคือ ผมว่าคนไทยเป็นคนใจดี คนไทยมีมนุษย์สัมพันธ์ดีและสุภาพมาก พวกเขามีน้ำใจมาก และให้ความสำคัญกับผู้มาเยือนมาก คุณจะรู้สึกถึงความรักท้วมท้นที่พวกเรามีให้ ใช่ครับ พวกเรารักประเทศไทย เป็นประเทศที่งดงามจริง ๆ
ได้ข่าวว่าพวกคุณคลั่งไคล้อาหารไทยมาก
มาร์ก: ผมชอบอาหารไทยมากเลย
เชน: ผมก็ชอบครับ ส่วนมาร์กนี่เรียกว่าคลั่งเลย
มาร์ก: แต่พูดตรง ๆ นะ ตั้งแต่มากรุงเทพฯ ได้ประมาณ 2 ปี ผมชอบอาหารไทยก็จริง แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะเผลอสั่งอาหารที่มีรสเผ็ด เพราะว่าอาหารไทยส่วนใหญ่มักมีรสเผ็ด ผมมักจะต้องบอกคนทำเสมอว่า “ช่วยทำให้เผ็ดน้อยลงหน่อยได้ไหมครับ”
เชน: เผ็ดมากกก
มาร์ก: จริง ๆ สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจประเทศไทยทุกครั้ง คือ ไม่ว่าผมจะสั่งอาหารอะไรก็ตาม อาหารที่ได้จะใช้วัตถุดิบที่สดใหม่เสมอ
เชน: อร่อยสุด ๆ!
มาร์ก: ใช่เลย! เหมือนกับอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ มันไม่ใช่การหยิบอาหารออกมาจากตู้แช่ เอาเข้าไมโครเวฟแล้วก็ แถ่นแท้น! มันรู้สึกถึงความสดใหม่ รู้สึกสุขภาพดีทุกครั้งที่ได้ทานเลย
เชน: ทุกครั้งที่ผมทานอาหารไทยก็มักจะสั่งเบียร์เย็นมาดื่มเพื่อล้างปาก ไม่มีอะไรดีไปกว่าเบียร์ไทยเย็น ๆ แล้วก็มีอีกยี่ห้อหนึ่งที่เราอยากลอง คือ แสงโสม แต่เราไม่ได้อยากดื่มเยอะขนาดนั้น เรายังมีเรื่องขำ ๆ เกี่ยวกับไทยอีก เราเป็นคนไอริช คนไอริชเป็นที่เลื่องลือในเรื่องการดื่มสังสรรค์ แต่ถ้าจะบอกว่าประเทศไหนใกล้เคียงกับเรา ผมว่าประเทศไทยนี่แหละ ดื่มกันเก่งเหมือนกันนะครับ ในฐานะที่เป็นคนประเทศไอร์แลนด์ พวกเราชอบอาหาร ชอบการดื่ม และก็ชอบร้องเพลง
ความประทับใจแรกของกันและกันคืออะไร และมิตรภาพของพวกคุณสำคัญต่อการทำเพลงหรือไม่?
เชน: อย่างที่ทุกคนทราบ พวกเราเจอกันตอนอายุยังน้อย ราว ๆ อายุ 12-13 ปี เจอคีแอนเป็นคนแรก เพราะว่าจูเลียภรรยาของผมเป็นลูกพี่ลูกน้องของคีแอน จากนั้นก็เจอมาร์กซึ่งทำงานเกี่ยวกับดนตรีเช่นเดียวกัน เราเจอมาร์กในช่วง Gap year เรารู้จักกันเพราะดนตรี สุดท้ายเราเลือกที่จะใช้ช่วงเวลาที่เหลือต่อจากนี้ไปด้วยกัน เราทำเพลงที่เป็นตัวตนของเราจริง ๆ น่ารักดีนะ มันคือบางสิ่งที่พวกเราทุกคนรัก พวกเรารักการร้องเพลง พวกเรารักการแสดงโชว์ แต่บ่อยครั้งที่มันต้องพักไว้ก่อน ไม่กี่ปีต่อมา พวกเราก็กลับมารวมวงกันอีก อยู่บนเวลาทีด้วยกัน เราไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาเลย แค่ทำเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น การกลับมารวมกันของเราเป็นเรื่องที่น่าตกใจพอสมควร มันเป็นสิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันเลย แต่กระบวนการของมันเป็นธรรมชาติมาก ๆ เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องพยายาม
พวกเราดีใจที่ได้เลือกร่วมงานกับค่ายนี้ สมัยก่อนผมกับมาร์กเขียนเพลงแรกเองและเราเริ่มเขียนเพลงนี้ก่อนที่ Westlife จะรวมวงกัน อีกเพลงเป็นเพลงที่เกี่ยวกับจูเลีย ภรรยาของผม ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่กับเธอ แล้วก็เป็นความรู้สึกที่อยากจะอยู่กับผู้หญิงคนนี้ ผมจำได้ว่า มันคือเพลงที่เกี่ยวกับทองและเหล็กประสานกัน จนเกิดประกายสีเขียวและสีพีช และผมหวังว่าจะได้เห็นมันอีกในตอนเช้าในช่วงเวลาที่เหมาะสม ผมเริ่มร้องเพลงและเขียนเนื้อเพลงทันที นอกจากนี้ยังพยายามทำความเข้าใจเพลง เราใช้เวลาทำ 2 สัปดาห์ ปรับแต่งเสียงจนลงตัว เราให้เพลงนั้นกับผู้จัดการวงฟัง แล้วเขาก็เขี่ยงานเราออกหมด หลังจากนั้นเราก็ไม่เขียนเพลงอีกเลยเป็นเวลา 20 ปี
ปัจจุบันศิลปิน เค-ป๊อป ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศตะวันตก อีกทั้งยังมีการร่วมงานระหว่างศิลปินฝั่งอเมริกาและอังกฤษกับศิลปิน เค-ป๊อป เร็ว ๆ นี้ พวกคุณมีแผนจะร่วมงานกับศิลปิน เค-ป๊อป บ้างหรือเปล่า
เชน: มีแน่นอน เป็นเรื่องที่เราปรึกษากันมาโดยตลอด คงไม่ได้มีแค่ศิลปิน เค-ป๊อป ผมคิดว่าจะมีศิลปินจากทั่วทุกมุมโลก เราอยากมีประสบการณ์กับสิ่งนี้มากขึ้น เพราะ 4-5 ปีที่ผ่านมา เราทำงานร่วมกับอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ และดูเหมือนว่าศิลปินจะแสวงหาฐานแฟนคลับอื่น ๆ BTS ก็เป็นอีกตัวอย่างของวงที่เท่และเรียบง่าย ที่นำเอาดนตรีหลากหลายประเภทมาประกอบกันและสร้างเพลงที่พิเศษขึ้นมา ผมคิดว่าในอนาคตเราคงทำอะไรทำนองนี้เหมือนกัน เราไม่ได้หมายถึงการรวมงานแค่ศิลปิน เค-ป๊อป แต่รวมไปถึงศิลปินจากประเทศจีน ศิลปินจากประเทศไทย เราอาจจะเลือกเพลงหนึ่งเพลงมาทำร่วมกับศิลปินหลายคนจากหลากหลายประเทศ เพื่อโปรโมตในประเทศนั้น ๆ มันไม่ง่ายที่จะทำให้เพลงของคุณอยู่ในประเทศนั้น ๆ การที่เราสร้างผลงานเพลงในประเทศเหล่านั้นก็เพื่อให้แฟนคลับรู้สึกพิเศษ เราอยากมอบให้คนในประเทศนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นหญิง ชาย หรือผู้ใช้แรงงาน อันที่จริงมันเป็นสิ่งที่เราอยากจะทำในระยะยาว ผมคิดว่าเราควรทำนะ เพราะว่าศิลปินคนอื่น ๆ ก็ทำแบบนี้เพื่อที่จะเข้าถึงแฟนคลับในแบบที่พิเศษออกไป
การทำงานกับ เอ็ด ชีแรน ในเพลง “My Hero” เป็นอย่างไร? เกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างนั้น
มาร์ก: เขาเป็นศิลปิน คนก็เลยคิดไปพวกเราคงได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์อะไรบางอย่าง ที่จริงแล้วการร่วมงานครั้งนี้ เขาดูเหมือนเป็นนักแต่งเพลงมากกว่า เราไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันมาก มีแค่เพียงตอนอัดเพลงเท่านั้น เราไม่ค่อยได้ใช้เวลากับนักแต่งเพลงสักเท่าไร พวกเขาส่งเพลงมาให้และมากำกับพวกเราสั้น ๆ ว่าเพลงนี้ต้องสื่อหมายความอย่างไร เราจึงไม่ได้มีโอกาสได้พบนักแต่งเพลงมากนัก แต่พวกเราก็ยังนับถือนักแต่งเพลงเหล่านั้น แต่โชคร้ายที่ไม่ค่อยได้ใช้เวลาด้วยกัน
‘Wild Dreams’ กับความหมายที่แฝงเอาไว้
มาร์ก: จริง ๆ ทั้งอัลบั้ม เราต้องการใช้เป็นเพลงสำหรับเล่นคอนเสิร์ต อยากให้มันเป็นเพลงที่ใช้ในตอนที่เรากลับมาเจอกับแฟนคลับในรูปแบบ Live Concert ส่วนคำว่า ‘Dreams’ ผมรู้สึกว่ามันคือการที่พวกเราอยากย้อนคืนช่วงเวลาในคอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย นึกถึงบรรยากาศแบบนั้น เพลงเหล่านั้น อยากให้ แฟน ๆ ได้ฟังถ้อยคำที่เราต้องการสื่อสารออกไป ช่วงเวลาตอนนั้นมันสุดยอดจริง ๆ ผมเฝ้ารอที่จะกลับไปอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นอีก ดังนั้น เพลงที่ปล่อยออกมาในอัลบั้มนี้ จึงเป็นเพลงที่สามารถใช้แสดงคอนเสิร์ตได้ เป็นเพลงที่เราอยากเล่นไปพร้อมกับแฟน ๆ นอกจากนี้ ผมคิดว่าสภาพจิตใจของทุกคนอาจจะย่ำแย่ในช่วงที่มีโรคระบาด ผมได้ยินมาว่าบางคนก็อยากทำสิ่งแปลกประหลาด อย่าง ‘Wild Dreams’ ผมเรียบเรียงเพลงตอนที่มีความคิดเหล่านี้ ความฝันบ้า ๆ มันเกิดขึ้นได้เสมอ อาจจะเป็นเพราะสมองผมมันฟุ้งซ่านในช่วงนี้ ผมจึงคิดว่าสิ่งนี้น่าสนใจ คุณมีความฝันและไม่อาจเก็บมันไว้ได้อีกต่อไป สิ่งนี้คือแนวคิดของเรา เมื่อคุณหลับคุณจะไม่สามารถควบคุมความปรารถนาหรือควบคุมความคิดภายในได้ เราจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ
ความฝันในวันนี้ ต่างจากฝันในวันแรกที่เข้ามาเป็นศิลปินไหม
เชน: มันไม่ต่างไปจากเดิมเลย สิ่งที่เราชอบคือการมีวงดนตรี เราอยากทำให้แฟนคลับมีความสุข อยากสร้างบทเพลงดี ๆ อยากทัวร์คอนเสิร์ตเพื่อจะได้เจอแฟน ๆ ทั่วโลก เรายังคงฝันแบบนั้น เราเปลี่ยนแปลงและพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชีวิตต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอ ยิ่งเราทุ่มเทมากเท่าไร ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น การเขียนเพลงในอัลบั้มนี้ จึงเป็นการทดลองครั้งใหญ่ที่สุดของวงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มีสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยแต่เราก็ลอง เพื่อทำให้แฟน ๆ รู้สึกตื่นเต้นไปกับอัลบั้มนี้ เราอยากรู้ว่าแฟน ๆ คิดเห็นกับเพลงใหม่และอัลบั้มใหม่ของเราอย่างไร ผมแทบจะอดใจไม่ไหว เราใช้เวลากับมันมาร่วมปี ทีมงานของเราทุกคนอยากมอบเพลงที่ไม่ว่าคุณจะฟังตอนไหนมันก็ยังทำให้คุณชอบได้เสมอ แฟนคลับยังไม่เคยฟังเพลงแบบนี้มาก่อน มันยังคงเป็นวันที่เราตื่นเต้นกับการเช็กโซเชียลมีเดีย เช็ก Spotify เช็กสตรีมมิงบนที่ต่าง ๆ ผมเทียบดูทุกวันว่าเป็นอย่างไรบ้าง รวมทั้งผลการขายแผ่นซีดี มีหลายช่องทางให้เราใช้ปล่อยเพลง ความฝันของเรายังเหมือนเดิม เราอยากจะเป็นวงที่ดี อยากให้ดีกว่านี้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป พวกเรารักการร้องเพลงทุกวันเรามักจะร้องเพลง ก็มันเป็นสิ่งที่เรารักที่สุด ตอนนี้วงของเรามีอายุ 22 ปีแล้ว พอมองย้อนกลับไป มันก็มีเพลงที่แฟน ๆ ปลื้มและยังจำได้เยอะเหมือนกัน เราภาคภูมิใจในสิ่งเหล่านั้น เราก็ยังได้ทำตามฝันถึงจะใช้เวลานานก็ตาม
ฝากถึงแฟนเพลงชาวไทย
เชน: พวกเราจะกลับไปที่นั่นอีก ขอบคุณแฟน ๆ ชาวไทยมาก ๆ พวกเรารักคุณและรอที่จะกลับมาขึ้นคอนเสิร์ตอีกครั้ง อย่าลืมฟังเพลงใหม่ล่าสุดของพวกเรา ‘Wild Dream’ ขอให้ฟังเพลงอย่างมีความสุขครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส