‘Love and Leashes’ ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเกาหลีใต้ที่กำลังมาแรงอย่างมากบน Netflix โดยเนื้อเรื่องได้อ้างอิงเนื้อหาจาก Webtoon ในชื่อเดียวกันหรือบางคนอาจจะรู้กันในชื่อ ‘Moral Sense’ และหนึ่งในเนื้อหาจากภาพยนตร์ที่กำลังถูกพูดถึงไม่น้อยคือ ความสัมพันธ์แบบ ‘BDSM’ ซึ่งเป็นรสนิยมทางเพศอย่างหนึ่ง หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักว่า ‘BDSM’ คืออะไร วันนี้เราจะพาทุกคนไปย้อนอดีตกันว่า รสนิยมทางเพศแบบนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่
ก่อนจะไปรู้จัก BDSM เราไปรู้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นใน ‘Love and Leashes’ กันก่อนดีกว่า โดยตัวภาพยนตร์เริ่มเรื่องจากรองผู้จัดการแผนกที่เข้ามาใหม่มีชื่อคล้ายกับพนักงานสาวจองจีอู ที่รับบทโดย ซอฮยอน (Seohyun) ทำให้เธอเข้าใจผิดว่าพัสดุของรองผู้จัดการจองจีฮู รับบทโดย อีจุนยอง (Lee Jun-Young) คือของเธอ แต่เธอต้องยิ่งประหลาดใจกว่าเดิมเมื่อเห็นของในกล่องคือ ปลอกคอที่มีหนามพร้อมสายจูงหรือ Pet Play ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมเพลย์อย่างหนึ่ง เขากลัวที่เธอจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นเพราะเขาเคยมีปมถูกแฟนเก่าบอกเลิกเพียงเพราะว่าเขามีรสนิยมทางเพศที่แปลกและเคยถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘โรคจิต’
ในตอนท้ายของเรื่องเขาถูกคณะกรรมการบริษัทจับได้เกี่ยวกับตัวตนของเขาและถูกมองว่ามีรสนิยมทางเพศที่เพี้ยนแปลกประหลาด จองจีฮูต้องทนทุกข์ทรมานเพียงเพราะเขามีรสนิยมทางเพศที่แปลกจากคนอื่น ทำให้เขากลัวการคบใครสักคนและกลัวว่าจะถูกจับได้ เขาจึงต้องทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากนาน
BDSM เป็นคำที่ใช้อธิบายกิจกรรมหรือรสนิยมทางเพศอย่างหนึ่ง โดย B ย่อมาจาก Bondage (การพันธนาการ) D ย่อมาจาก Discipline (การลงโทษ) ในบางครั้งอาจหมายถึง Dominance (การควบคุม) S ย่อมาจาก Submission (การยอมจำนน) หรือ Sadism (ความสุขจากการสร้างความรุนแรง) และ M ย่อมาจาก Masochism (ความสุขจากการได้รับความรุนแรง) โดย BDSM มักจะใช้กับคู่รักที่ต้องการสวมบทบาทขณะมีเพศสัมพันธ์กันหรือไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กันก็ได้ โดยทั้งสองฝ่ายจะสวมบทบาทเป็นผู้ควบคุมและผู้ยอมจำนน สิ่งสำคัญของการมีเพศสัมพันธ์แบบ BDSM คือ การยินยอม สติ และความปลอดภัยของทั้งสองฝ่าย โดยจะมีการตั้ง Safe Word ที่ใช้สำหรับคู่ของตนเองเพื่อแสดงความต้องการให้หยุดหรือทำกิจกรรมต่อ
จากหลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่า BDSM มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล หลังนักโบราณคดีพบภาพบนผนังปูนในสุสาน Etruscan Tomb of the Whipping เมืองทาร์ควิเนีย ประเทศอิตาลี ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ของชาย 2 หญิง 1 โดยชายคนหนึ่งใช้มือตี ส่วนอีกคนหนึ่งใช้แส้ตีไปที่ร่างของผู้หญิง
หลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่สามารถบอกได้ว่า BDSM ยังคงมีอยู่มาเรื่อย ๆ คือ เหตุการณ์ชายรักชายของชาวอเมริกันหลังกลับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเกิดกระแสต่อต้านคนกลุ่มนี้ขึ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงทางเพศนี้ได้แพร่ไปยังวงการถ่ายภาพและวงการภาพยนตร์ ในปี 1950 – 1960 หลังมีการผลิตภาพยนต์และภาพถ่ายเชิงพาณิชย์ในธีม BDSM ขึ้นเป็นครั้งแรกและหากพูดถึงผลงานที่โดดเด่นที่สุด ก็ต้องยกให้ เบตตี้ เพจ (Bettie Page) ที่สร้างกระแสความนิยม BDSM ให้แพร่หลายไปทั่วอเมริกา และถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความเท่าเทียมทางเพศเลยทีเดียว
ถึงความสัมพันธ์แบบ BDSM จะมีมาตั้งแต่อดีตอันเนินนาน แต่คนบางกลุ่มก็ไม่สามารถยอมรับกับความแปลกแยกนี้ได้ จนถึงขั้นมองคนกลุ่มนี้ในเชิงลบว่าคนพวกนี้เป็นพวกวิปริตทางเพศหรือมีความผิดปกติทางจิต บางครั้งคนที่ไม่เข้าใจรสนิยม BDSM หากมีเพศสัมพันธ์กับอีกฝ่ายที่ต้องการความสัมพันธ์ที่รุนแรงมากขึ้น ก็อาจนำไปสู่ปัญหามากมายตามมาในภายหลัง จนอาจเกิดการขึ้นโรงขึ้นศาลกันเลยทีเดียว ดังเหตุการณ์ต่อไปนี้
ในปี 2014 จีอัน โกเมชี (Jian Ghomeshi) นักดนตรีชาวแคนาดา และอดีตนักจัดรายการวิทยุ ถูกยกฟ้องในหลายข้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ หลังจากที่อดีตแฟนสาวของเขาอ้างว่า เธอถูกเขาบีบคอ ตบหน้า และกัดเธอ โดยที่ไม่มีการเตือนหรือการยินยอมใด ๆ
ในปี 2018 เอริก ชไนเดอร์แมน (Eric Schneiderman) อดีตอัยการสูงสุดของนิวยอร์กถูกกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายผู้หญิงหลายคนขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่เขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยระบุว่า การเข้าไปข้องเกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศแบบที่ไม่มีการสมยอม เป็นเรื่องที่เขาไม่มีวันข้ามเส้น ในเรื่องความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกัน เป็นเรื่องส่วนบุคคล
เอริกเคยออกมายอมรับว่าตนนิยมกิจกรรมทางเพศที่มีการสวมบทบาท หรือกิจกรรมทางเพศรูปแบบอื่นที่ต่างฝ่ายยินยอมกัน เขาบอกว่าตนเองไม่ได้ทำร้ายใคร โดยผู้หญิง 4 คนที่เคยหลับนอนกับเอริกกล่าวว่า เขาตบพวกเธอหลายครั้ง หนึ่งในนั้นบอกว่าเขาพยายามให้เธอเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ ในขณะที่พวกเธอไม่ได้ยินยอมด้วยซ้ำ อดีตแฟนสาวของเอริกคนหนึ่งบอกว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง เธอจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายร่างกายเธอเด็ดขาด
นี่เป็นเหตุการณ์ตัวอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบ BDSM ที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม จนเกิดการฟ้องร้องกันในต่างประเทศ แต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์แบบ BDSM ได้ถูกนำมาสร้างภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Fifty Shade of Grey ซึ่งในหนังคริสเตียน เกรย์ รับบทโดย เจมี ดอร์แนน (Jamie Dornan) มีรสนิยมทางเพศ BDSM โดยเขาจะสวมบทบาทเป็นนายท่านเสมอ และจะบังคับหญิงทุกคนที่เขาเล่นด้วยเซ็นสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยความลับเรื่องเพศของเขาให้ใครรู้เป็นอันขาด ซึ่งสาเหตุของรสนิยมทางเพศ BDSM ของคริสเตียน เกรย์ ก็มาจากปมในวัยเด็กที่เขาถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายร่างกายตนเองและแม่ของเขา
ความสัมพันธ์แบบ BDSM เป็นรสนิยมทางเพศอย่างหนึ่งที่อาจเกิดจากเรื่องราวที่ฝังใจจนนำมาสู่การชอบใช้ความรุนแรง อย่างเช่น คริสเตียน เกย์ ในทางกลับกัน จองจีฮูที่เราไม่รู้ว่าเขามีปมอะไรที่ทำให้เขากลายมาเป็นแบบนี้ แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้ผิดที่มีรสนิยมแบบนี้ เพราะอย่างนั้นเราถึงไม่ควรมองว่าคนกลุ่มนี้แปลกประหลาด เพี้ยน วิปริตหรือเป็นไอโรคจิตเพียงเพราะเขาชอบรสนิยมทางเพศแบบ BDSM และในทางการแพทย์ยังระบุว่ารสนิยมนี้ไม่ใช่ความผิดปกติของร่างกายและจิตใจ ไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ต้องอาศัยความพยายามที่เข้าใจอีกฝ่ายให้มากขึ้น เช่นเดียวกับจองจีอูที่พยายามเข้าใจจองจีฮูมากขึ้น
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส