จากวัยรุ่นขบถผู้เก็บกด นักเขียนคลั่งรัก บาทหลวงผู้ทะเยอทะยาน นายทาสโรคจิต สู่การเป็นตัวร้ายผู้ลึกลับในเมืองแห่งเงามืด นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลงานการแสดงของนักแสดงหนุ่มติ๋มชาวอเมริกันวัย 37 ปีที่มีชื่อว่า ‘พอล ดาโน’ (Paul Dano) ที่เติบโตจากการแสดงละครเวที และละครโทรทัศน์ในฐานะนักแสดงสมทบ จนกระทั่งฝีมือของเขากลายเป็นที่เตะตา จนเริ่มเข้าสู่วงการภาพยนตร์นอกกระแสฟอร์มเล็ก และทะลุเข้ามาสู่ฮอลลีวูดในฐานะหนึ่งในนักแสดงที่น่าจับตา และในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ เขียนบท และโปรดิวเซอร์
ณ ตอนนี้ แทบไม่มีใครกังขาในฝีมือของเขาในฐานะนักแสดงที่ได้รับการยอมรับฝีมือมายาวนานกว่า 22 ปี แม้ว่าจะไม่ได้มีรางวัลการันตีมากมายล้นตู้ แต่ฝีมือการแสดงของเขาก็ได้รับการยอมรับในวงการ ชนิดที่มีคนนิยามว่า “Underrated” (ของดีที่ไม่ค่อยดัง) จากความเป็นธรรมชาติ และเป็นเนื้อเดียวกับบทบาท โดยเฉพาะในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง ยิ่งเป็นบทบาทหนุ่มติ๋ม เนิร์ด อ่อนแอ เป็นผู้ถูกกระทำ (ผู้ถูกกระทืบ) หรือแนวจิต ๆ คลั่ง ๆ สังคมรังเกียจ นี่เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เข้ามือเขามาก ๆ เพียงแต่ว่าเขาอาจจะยังอยู่ในวงของหนังนอกกระแส และหนังในกระแสบ้างเป็นครั้งคราว
ในปี 2022 นี้ เขากลับมาอีกครั้งกับการรับบท ‘ริดเลอร์’ (Riddler) วายร้ายแห่งเมืองก็อตแธมใน ‘The Batman’ ที่กำลังจะฉายในอีกไม่นานนี้ ซึ่งถือว่าเป็นผลงานหนังซูเปอร์ฮีโรเรื่องแรกบนเส้นทางการแสดงภาพยนตร์ของเขา ก่อนที่เราจะได้ไปสัมผัสกับฝีไม้ลายมือการแสดงของเขา เราขอพาไปรู้จักกับนักแสดงยอดฝีมือ พร้อมพาย้อนกับไปดูผลงาน การแสดงที่เขาได้ฝากเอาไว้ตลอด 20 กว่าปี ที่พิสูจน์แล้วว่า การแสดงของหนุ่มติ๋มคนนี้มีอะไรที่เกินกว่าคำว่า “Underrated” ไปเยอะมาก
⦿ จุดหล่อหลอม
“แม่ของผมมีส่วนมากในการปล่อยให้ผมทำอย่างที่ผมอยากจะทำ (อาชีพนักแสดง) ดูเป็นอาชีพที่บ้ามากถ้าจะแนะนำให้ใครสักคนลองไปทำ ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่รู้อะไรเท่าไหร่ โชคดีที่พ่อกับแม่ของผมยืนอยู่ฝั่งสนับสนุนมาตลอด”
‘พอล แฟรงคลิน ดาโน’ (Paul Franklin Dano) เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 1984 ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นลูกชายของ ‘พอล เอ. ดาโน’ (Paul A. Dano) ผู้เป็นพ่อ และ ‘เกลดี ดาโน’ (Gladys Dano) ผู้เป็นแม่ และมีน้องสาว 1 คนคือ ‘ซาราห์ ดาโน’ (Sarah Dano) ปู่ย่าตายายของเขาเป็นชาวสโลวาเกียที่อพยพมาอยู่ในอเมริกา ทำให้เขามีเชื้อสายผสมผสานทั้งอเมริกัน สโลวัก สวีเดน ออสเตรีย และโบฮีเมียน ส่วนผสมเหล่านี้ทำให้เขามีผิวขาว สูง 184 เซนติเมตร ผมสีน้ำตาลอ่อน และมีดวงตาสีเขียวมรกต
พอลเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางที่พ่อกับแม่ของเขาทำงานอยู่ในวงธุรกิจ พ่อของเขาเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ส่วนแม่ของเขาเป็นแม่บ้านที่เลี้ยงทั้งเขาและน้องสาวในอะพาร์ตเมนต์ย่านแมนฮัตตันฝั่งตะวันออก และย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองนิวคานาอัน (New Canaan) รัฐคอนเน็กติกัต (Connecticut) เมื่อตอนเรียนมัธยม เขาเติบโตมากับการอ่านหนังสือ เขาชอบอ่านหนังสือบนรถไฟฟ้าใต้ดิน และดูการถ่ายทอดสดกีฬาหลายชนิด เช่น เบสบอล บาสเก็ตบอล ฮอกกีน้ำแข็ง และชอบเล่นบาสเก็ตบอล
“ตอนเด็ก ๆ ผมไปดูหนังในโรงหนังบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร จนกระทั่งผมได้ไปที่เทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ตอนผมอายุ 16 ปี ในใจผมคิดว่า โห ยังมีหนังแบบอื่น ๆ เยอะแยะขนาดนี้เลยเหรอ เหมือนเป็นการเปิดโลกเลย”
⦿ นักร้องนำและมีอกีตาร์วง ‘Mook’
ในช่วงมัธยม เขายังเป็นนักดนตรี แถมมีวงดนตรีเป็นของตัวเองที่ประกอบไปด้วยเขากับเพื่อนสมัยมัธยมปลายอีก 3 คนในชื่อวงว่า ‘Mook’ โดยพอลรับหน้าที่เป็นทั้งฟรอนต์แมน ร้องนำ และมือกีตาร์
พอลในฐานะหัวหน้าวง ไม่ได้นิยามแนวเพลงของวงดนตรีวงนี้เอาไว้ชัดเจน เพียงแต่เขาเรียกมันว่าเป็นแนวร็อกแบบหนึ่ง เป็นร็อกจังหวะกลาง ๆ ที่ผสมผสานดนตรีหลากหลายแบบเข้าด้วยกัน วง ‘Mook’ มีอัลบั้มเต็มออกมา 1 อัลบั้มชื่อเดียวกันกับวง ประกอบไปด้วยเพลงทั้งหมด 11 เพลง สนใจอยากลองฟัง สามารถคลิกไปฟังได้ที่ Bandcamp
⦿ ก้าวสู่การแสดงเป็นครั้งแรก
สมัยมัธยม ณ ตอนนั้น เขาเองยังไม่ได้จริงจังอะไรกับการเป็นนักแสดงมากนัก แต่พอลก็ได้มีโอกาสเริ่มต้นอาชีพนักแสดงละครเวทีเป็นครั้งแรกในโรงละครของชุมชนบ้างเป็นครั้งคราว และเมื่อเขาอายุได้ 12 ปี เขาจึงตัดสินใจไปออดิชันเป็นนักแสดงละครเวทีที่นิวยอร์ก และในที่สุด เขาก็ได้เป็นนักแสดงสมทบในละครเวทีบรอดเวย์ ‘Inherit the Wind’ ก่อนจะได้ได้เป็นนักแสดงประกอบในละครทีวียุค 90’s เช่น ‘Smart Guy’ และอีกหลาย ๆ เรื่อง
ในเวลานั้น เขาเองก็ยังไม่ได้จริงจังในการแสดงมากนัก เขาจึงเลือกที่จะทำเป็นงานอดิเรกหลังเลิกเรียนเสียเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งอายุ 16 ปี เขาจึงได้ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ด้วยการรับบทเล็ก ๆ เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์แนวครอบครัวเรื่อง ‘The Newcomers’ (2000) และได้รับบทบาทหลักเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ดราม่า ‘L.I.E.’ (2001) ตอนอายุ 17 ปี
การแสดงของเขาเป็นที่จับตามองจนในที่สุดเขาก็คว้ารางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม (Best Debut Performance) จากเวที ‘Independent Spirit Award’ ได้เป็นรางวัลแรกในชีวิต นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เอกภาษาอังกฤษ แม้ว่าเขาจะยังคงเชื่อในเส้นทางของการเรียนว่าจะเป็นหนทางที่รองรับเขาไม่ให้ก้าวสู่ชีวิตการทำงานเร็วเกินไป
แน่นอนว่าพ่อกับแม่ของพอลเองก็มีความกังวลอยู่บ้าง แม้พอลเองจะเคยลงทะเบียนเรียนในชั้นเรียนการแสดงมาบ้าง แต่ก็เป็นเพียงการลงทะเบียนเพื่อเข้าไปเจอผู้หญิงที่เขาอยากเจอ พ่อกับแม่จึงอยากให้เขามีอาชีพหรือวิชาชีพเอาไว้เป็นวิชาสำรอง แต่ในที่สุด แม่ของเขาเองก็เป็นคนสนับสนุนให้เขาเดินตามเส้นทางการแสดงได้อย่างเต็มที่
⦿ ‘Little Miss Sunshine’
ในวัยเริ่มหนุ่ม เขาเริ่มได้รับบทบาทเด่นขึ้นมาอีกขั้น ยกตัวอย่างเช่น บทบาทหนุ่มเนิร์ดเพื่อนพระเอกในหนังวัยรุ่น ‘The Girl Next Door’ (2004) และอีกบทบาทหนึ่งที่สำคัญในเส้นทางการแสดงของเขานั่นก็คือ บทบาทลูกติดผู้หยาบคายในหนังดราม่าอื้อฉาว ‘The Ballad of Jack and Rose’ (2005) แม้ว่าจะเป็นเพียงบทบาทรองที่อาจจะไม่ได้โดดเด่นนัก แต่วิธีการแสดงของเขาก็เตะตา นักแสดงนำในเรื่องอย่าง ‘แดเนียล เดย์-ลูอิส’ (Daniel Day-Lewis) เข้าให้
แต่ที่เรียกได้ว่าเป็นผลงานแจ้งเกิดอย่างแท้จริง น่าจะเป็นบทบาท ‘ดเวย์น ฮูเวอร์’ (Dwayne Hoover) วัยรุ่นผู้เก็บกดและเย็นชาในหนังครอบครัวฟีลกู้ด ‘Little Miss Sunshine’ (2006) คงไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่า ฉากระเบิดอารมณ์ของพอลฉากนั้น ถือเป็นฉากไคลแม็กซ์ที่ทรงพลังและสะเทือนอารมณ์ที่สุดในหนังจริง ๆ ส่งผลให้เขาได้รับรางวัล ‘การแสดงอันโดดเด่นจากบทบาทในภาพยนตร์’ (Outstanding Performance by a Cast in a Motion Picture) จากเวที ‘SAG Awards’ (Screen Actors Guild Awards) ในปี 2007
⦿ ‘There Will Be Blood’
จากความประทับใจในการแสดง และแรงส่งจากชื่อเสียงที่เริ่มจะมา ทำให้เขากับแดเนียล เดย์-ลูอิส กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในหนังดราม่าพีเรียด ‘There Will Be Blood’ (2007) ซึ่งเบื้องหลังก็คือ แดเนียลนี่แหละที่เป็นคนชักนำให้ผู้กำกับ ‘พอล โธมัส แอนเดอร์สัน’ (Paul Thomas Anderson) รู้จักกับพอล และชักชวนเขามาแสดงในบทบาทที่โคตรท้าทายอย่างคู่แฝด ‘พอล ซันเดย์’ เจ้าของที่ดินที่มีบ่อน้ำมันอยู่ใต้ดิน และ ‘อีไล ซันเดย์’ บาทหลวงผู้เป็นน้องชาย
ซึ่งก็ดูเหมือนว่าแดเนียลจะอ่านเกมขาดเสียด้วย เพราะแม้พอล ดาโนในบทอีไล จะถูกกระทำอย่างโหดร้าย แต่การเป็นผู้ถูกกระทำของเขาก็ดูจะ “สู้มือ” และโดดเด่นสูสีกับการแสดงบทแสนทารุณของแดเนียล เดย์-ลูอิสอยู่ไม่น้อย ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบาฟตา (BAFTA Awards) สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และยิ่งทำให้ชื่อของพอล ดาโนยิ่งชัดแจ้งยิ่งขึ้นในวงรอบของภาพยนตร์นอกกระแส
“ทุกเทก ผมโดนตบหน้าจริง ๆ ทุกครั้ง ตอนที่ผมโดนตบทีแรก ทำให้ผมรู้สึกยิ่งมีพลัง แล้วหลังจากนั้นอีก 2-3 เทก ผมก็โดนเขาดึงเส้นผม แล้วโคลนก็กระเด็นเข้าปาก ก่อนที่แดเนียลจะเอาโคลนยัดใส่ปากผม มันเป็นฉากที่โคตรเหนื่อย แต่พอผมนึกย้อนกลับไป มันก็เป็นอะไรที่สนุกมาก ๆ “
(อ่านเรื่องราวของ Paul Dano ต่อได้ที่หน้า 2)
⦿ จากคู่รักแฟนตาซี สู่คู่รักนักทำหนังในชีวิตจริง
แม้พอลและนักแสดงสาวและนักเขียนบทภาพยนตร์อย่าง ‘โซอี คาซาน’ (Zoe Kazan) จะเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์ดราม่าแฟนตาซี ‘Ruby Sparks’ (2012) แต่จริง ๆ แล้วทั้งคู่เจอกันมาตั้งแต่ปี 2007 ในละครเวที โซอีนั้นโตมาในบรรยากาศของภาพยนตร์อย่างแท้จริง เพราะเธอมีพ่อและแม่เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ และเธอยังเป็นหลานปู่ของผู้กำกับภาพยนตร์ในอดีตอย่าง ‘เอเลีย คาซาน’ (Elia Kazan) อีกด้วย
จนกระทั่งเมื่อทั้งคู่ได้สานสัมพันธ์กัน พอลและโซอีจึงได้ร่วมงานกันเป็นครั้งแรกใน ‘Ruby Sparks’ (2012) ซึ่งพอลเล่นเป็นคาลวิน นักเขียนหนุ่มผู้มีปัญหาในการสานสัมพันธ์กับคน ส่วนโซอี เล่นเป็น รูบี สปาร์ก ตัวละครในนิยายที่คาลวินเขียนขึ้น และทะลุมิติกลายมาเป็นคนรักของคาลวินในโลกแห่งความเป็นจริง เรื่องราวอันเข้มข้นและสะท้อนปัญหาของความสัมพันธ์ที่เข้มข้นและเห็นภาพนั้นก็เป็นฝีมือการเขียนบทของโซอีเอง แถมทั้งคู่ยังดึง ‘โจนาธาน เดย์ตัน’ (Jonathan Dayton) และ ‘วาเลอรี ฟาริส’ (Valerie Faris) ที่เคยร่วมกำกับ ‘Little Miss Sunshine’ (2006) กลับมารับหน้าที่กำกับหนังเรื่องนี้อีกครั้ง
ปัจจุบันทั้งคู่อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวในบ้านย่านบรูกลิน นิวยอร์ก และให้กำเนิด ‘อัลมา เบย์ ดาโน’ (Alma Bay Dano) ลูกสาวคนแรกในเดือนสิงหาคม ปี 2018
⦿ ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก ‘Wildlife’
ช่วงปี 2018 พอลกำลังโดดเด่นในด้านการแสดง ส่วนโซอี แม้จะมีผลงานการแสดงไม่เยอะ แต่ก็ยังคงเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ที่มีฝีมือ ด้วยความที่คู่รักคู่นี้สะสมต้นทุนและความรู้ในวงการภาพยนตร์เอาไว้ไม่ใช่น้อย ในที่สุด ทั้งคู่ก็ได้มีโอกาสจับมือกันทำงานเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ดราม่าครอบครัวเรื่อง ‘Wildlife’ (2018) ที่สร้างขึ้นจากนิยายที่เขียนโดย ‘ริชาร์ด ฟอร์ด’ (Richard Ford) ที่พอลอ่านแล้วประทับใจจนอยากเอามาสร้างเป็นภาพยนตร์
โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้ พอลในฐานะผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และผู้เขียนบทร่วม ผู้อ่านหนังสือเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ใช้วิธีการเล่าเรื่องที่อยู่ในหัวของเขาออกมา ก่อนจะให้โซอี รับหน้าที่แปลงทุกอย่างให้กลายเป็นบทภาพยนตร์และไดอะล็อกขึ้นมา นำแสดงโดย ‘เจก จิลเลนฮาล’ (Jake Gyllenhaal) และ ‘แครี มัลลิแกน’ (Carey Mulligan) ซึ่งต่อมา ‘Wildlife’ ก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ได้เสียงตอบรับและคำวิจารณ์ที่ดี ในฐานะภาพยนตร์ที่ตีแผ่ความล่มสลายของระบบครอบครัวอเมริกันได้อย่างเข้าถึง
⦿ ก้าวสู่การเป็นนักแสดงระดับแถวหน้า
พอลยังคงโลดแล่นในการแสดง ทั้งภาพยนตร์ ทีวีซีรีส์ และละครเวทีที่ยังคงกลับไปเล่นบ้างนาน ๆ ครั้ง แต่ในส่วนของภาพยนตร์ เขาเองขึ้นชื่อเรื่องของการรับแสดงในบทบาทที่หลากหลาย โดยเฉพาะบทผู้ถูกกระทำ หรือบทเครียด ๆ จิต ๆ ได้อย่างเข้าถึง โดยเฉพาะในพาร์ตหนังนอกกระแสที่โดดเด่นเป็นพิเศษ จนในปี 2008 เขาก็ติดอยู่ในอันดับที่ 5 จาก 50 รายชื่อนักแสดงชายอายุต่ำกว่า 30 ปีที่เก่งกาจที่สุดในฮอลลีวูด จากการจัดอันดับของ สื่อบันเทิง ‘Entertainment Weekly’
แม้ว่าเขามักไม่ค่อยได้รับการโปรโมตในฐานะนักแสดงดาวเด่นของวงการมากนัก แต่ด้วยฝีมือการแสดงที่เข้าถึง และพร้อมรับทุกบทบาทแบบไม่เกี่ยงงอน ก็ทำให้เขาได้รับบทบาทในภาพยนตร์เด่น ๆ อีกหลายต่อหลายเรื่อง (ที่ขอคัดผลงานเด่น ๆ ให้ตามไปหามาชม) ตัวอย่างเช่น บทนายทาสจอมหาเรื่องใน ’12 Years a Slave’ (2013), ผู้ต้องสงสัยคดีลักพาตัวเด็กใน ‘Prisoners’ (2013) เป็นนักประดิษฐ์อัจฉริยะในหนังแอ็กชันคอเมดี ‘Knight and Day’ (2010) ร่วมกับ ‘ทอม ครูซ’ (Tom Cruise) และ ‘คาเมรอน ดิแอซ’ (Cameron Diaz)
รับบท ‘ไบรอัน วิลสัน’ (Brian Wilson) นักร้องนำแห่งวง ‘เดอะ บีช บอย’ (The Beach Boys) วัยหนุ่มใน ‘Love & Mercy’ (2014) ที่ส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก หนุ่มติดเกาะที่มีศพเป็นเพื่อนในหนังพล็อตเพี้ยน ‘Swiss Army Man’ (2016) และ ‘Okja’ (2017) ภาพยนตร์สะท้อนเรื่องราวเกี่ยวกับทุนนิยม ผลงานของผู้กำกับออสการ์ ‘บงจุนโฮ’ (Bong Joon-ho)
และในที่สุด เขาก็ได้มีโอกาสก้าวขึ้นมาเล่นหนังซูเปอร์ฮีโรระดับบล็อกบัสเตอร์ ใน ‘The Batman’ ที่เรียกได้ว่าน่าจะเป็นผลงานที่แมสที่สุดของเขาแล้ว เขาได้รับบทบาทเป็น ‘ริดเลอร์’ (Riddler) วายร้ายจอมปริศนาผู้โด่งดังแห่งเมืองก็อตแธม ที่ครั้งหนึ่ง ‘จิม แครี’ (Jim Carrey) ก็เคยสร้างชื่อบทริดเลอร์เอาไว้อย่างน่าจดจำใน ‘Batman Forever’ (1995) โดยเขาได้รับบทบาทนี้แทนนักแสดงอีกคนอย่าง ‘โจนาห์ ฮิล’ (Jonah Hill) ที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับ Warner Bros. ได้สำเร็จ
⦿ ‘The Batman’ หนังฮีโรเรื่องแรก
ใน ‘The Batman’ เขาต้องแสดงเป็น 2 บทบาท ทั้งหนุ่มติ๋ม ‘เอ็ดเวิร์ด แนชตัน’ (Edward Nashton) ที่ดูไร้พิษสง และ ‘ริดเลอร์’ อาชญากรแถวหน้าแห่งเมืองก็อตแธม ผู้เล็งเป้าหมายจัดการบุคคลระดับสูงด้วยวิธีซาดิสม์ และท้าทายให้อัศวินรัตติกาลในวัยหนุ่มที่เพิ่งจะเริ่มเป็นแบตแมนในช่วงเริ่มแรก ออกจากความมืดหม่นและจัดการอธรรมก่อนที่เมืองก็อตแธมจะพินาศย่อยยับ
ในการรับบทบาท ‘ริดเลอร์’ พอลได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขาเองไม่ได้แค่รับบทบาทเท่านั้น แต่ยังร่วมออกไอเดียต่าง ๆ เพื่อให้แสดงในบทบาทนี้ได้อย่างเข้าถึงแก่น ทั้งการร่วมออกแบบชุดหนังที่เน้นการทำด้วยมือ รวมทั้งการออกไอเดียสุดบ้าบิ่นด้วยการใช้แรปพลาสติกห่อหุ้มร่างกายของเขาเอง เพราะเขามองว่า ริดเลอร์ในฐานะอาชญากร ย่อมไม่ต้องการทิ้งร่องรอยหรือ DNA ใด ๆ ไว้ในที่เกิดเหตุอย่างแน่นอน แต่เขาก็ต้องยอมถอย เพราะมันทำให้เขาร้อนจนหัวแทบจะระเบิด
“มันทำให้ผมหัวร้อนตุบ ๆ เลยครับ คืนนั้นหลังถ่ายจบ หลังจากที่แต่งตัวแบบนั้นทั้งวันเป็นวันแรก ผมถึงกับนอนไม่ได้เลย ผมไม่รู้ว่าหัวผมเป็นอะไร มันเหมือนหัวผมถูกอัดภายใต้เหงื่อและความร้อน และก็ขาดออกซิเจนด้วย ผลก็คือ ผมนี่แทบจะบ้าไปเลย”
นอกจากนั้น เขาก็ยังเล่าว่า การสวมบทบาทเป็นอาชญากรอย่างริดเลอร์ ทำให้เขานอนแทบไม่หลับ เพราะเขาไม่สามารถสลัดเอาตัวละครอาชญากรจิตคลั่งผู้นี้ออกไปได้ง่าย ๆ ดังใจคิด
“ช่วงที่ผมถ่ายแรก ๆ บางคืน ผมนอนแทบไม่หลับ และทำให้ผมนอนไม่อิ่มอย่างที่ต้องการ เพราะการเข้าถึงตัวละคร ต้องใช้พลังงานมากมายมหาศาลในการไปให้ถึงจุดนั้น ผมจึงต้องรักษามันเอาไว้เพื่อไม่ให้มันมา ๆ หาย ๆ มันจึงทำให้ผมสลัดตัวละครออกไปได้ยากมาก ๆ “
อ้างอิง | อ้างอิง | อ้างอิง | อ้างอิง | อ้างอิง | อ้างอิง อ้างอิง | อ้างอิง | อ้างอิง | อ้างอิง | อ้างอิง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส