หนังโลกอนาคตหลังมนุษย์ทำสงครามกันจนเหลือผู้รอดชีวิตเพียงน้อยนิดก่อตั้งนิคมขึ้นมาชื่อว่า คอลเลคทีฟ มนุษย์รุ่นใหม่จึงถูกปรับแต่งยีนตั้งแต่อยู่ในครรภ์ให้ไร้ความรู้สึก หากใครเกิดมีความรู้สึกขึ้นมา จะถูกเรียกว่าเป็นโรค SOS (Switched On Syndrome ผมชอบคำแปลของคุณศักดิ์สิทธิ์ แสงพรายนะที่บัญญัติคำว่า “สภาวะรู้ตื่น”) จะได้รับการรักษาแต่ถ้าอาการรุนแรงจะถูกส่งไปบำบัดที่ The Den ที่ไม่เคยมีใครได้กลับออกมา ไซลาส และ นีอา เป็นคู่หนุ่มสาวที่รักกันและต้องการหาทางหนีพ้นออกจากกฎระเบียบของคอลเลคทีฟไปเผชิญโลกภายนอกกันเอง
จุดที่โดดเด่นมากคืองานกำกับศิลป์ที่ถ่ายทอดออกมาให้เห็นในงานภาพอย่างเด่นชัด ทีมงานออกแบบเมืองคอลเลคทีฟออกมาได้เรียบง่ายแต่สวยงามทั้งเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกจัดเก็บอย่างระเบียบและดูเป็นไปได้จริง รวมไปถึงอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ และระบบปฎิบัติการบนหน้าจอก็ดูมีเอกลักษณ์น่าใช้ การจัดองค์ประกอบภาพสื่อบรรยากาศหนังได้ดี หลาย ๆ ครั้งที่จับภาพไซลาสแล้วทิ้งเนื้อที่ว่างในฉากหลังเยอะ ๆ สื่อได้ถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยวของตัวละคร ครึ่งแรกของหนังออกตัวค่อนข้างช้าเพราะต้องแนะนำให้คนดูรู้จักเมืองคอลเลคทีฟและกฎระเบียบของเมืองก่อนจะแนะนำให้คนดูรู้จักไซลาส และ นีอา และกว่าที่ทั้งคู่จะเปิดใจถึงความรู้สึกที่มีต่อกัน
ตลอดเวลาหนังคุมโทนภาพให้มีแต่สีขาว เทา และฟ้า เพื่อให้รู้สึกถึงชีวิตที่จำเจขาดสีสัน แต่พอเข้าครึ่งหลังเมื่อทั้งคู่รักกันแล้วตั้งใจหันหลังให้กับระบบของคอลเลคทีฟหนังเริ่มใส่สีโทนร้อนเข้ามาเพื่อแสดงถึงความรู้สึกปรารถนาอันร้อนแรงที่ทั้งคู่มีต่อกัน บรรยากาศหนังถูกเร่งเร้าให้น่าติดตามมากขึ้นในครึ่งหลัง บทหนังใจร้ายมากระดมอุปสรรคต่าง ๆ นา ๆ เข้าใส่คู่รักให้ต้องดิ้นรนหาทางออก หลาย ๆ สถานการณ์ก็เซอร์ไพรซ์ทั้งตัวละครทั้งคนดู ดนตรีประกอบก็ทำหน้าที่กระตุ้นอารมณ์ได้ดี สถานะของทั้งคู่เป็นความรักที่อยู่ในเมืองต้องห้ามชวนให้นึกถึงโรมีโอ-จูเลียต ดูไปก็ต้องลุ้นเอาใจช่วยกับความรักของทั้งคู่ไปให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ตลอดรอดฝั่ง ฉากจบหนังอาจจะขัดใจหลาย ๆ คน แต่ผมก็ชอบนะจบแบบนี้
เนื่องจากเป็นหนังรัก ที่เนื้อหาพูดถึงอารมณ์ความรู้สึกมนุษย์ จึงน่าจะเป็นงานยากที่สุดที่ทั้ง นิโคลาส ฮอลต์ และ คริสเต็น สจ๊วต เผชิญมา ครึ่งเรื่องต้องเล่นหน้านิ่งไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ พอรักกันก็ต้องเล่นแบบสะกดอารมณ์ รู้สึกพิศวาส ตระหนก ตกใจ ก็ต้องเก็บสีหน้าอาการ แต่ความรู้สึกก็ยังเล็ดรอดออกทางสายตา หลาย ๆ ช็อตที่หนังโคลสอัพหน้าแบบล้น ๆ จอ เน้นจ่อใบหน้าไซลาสและนีอาที่กลายเป็นมนุษย์มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นคนปรกติ คริสเต็น เรื่องนี้มาแบบเกือบหน้าสดแทบไม่เห็นเมคอัพ เลยมองเห็นชัดเจนว่าทำไมเธอถึงได้ฉายา “หน้าง่วง” ครึ่งหลังคริสเต็นเจอฉากเล่นกับอารมณ์ยาก ๆ ต้องใช้สายตามองคนรักสื่อความหมายมากมาย อ้อนวอน เสียใจ ระคนสงสัย ถือว่าเป็นงานที่เธอโชว์ฝีมือการแสดงให้ได้เห็นจริง ๆ หนังมีกาย เพียซ ดาราขาประจำของผู้กำกับ เดรค โดเรมัส มาเล่นบทสมทบ หนังใช้ดารานำน้อยคนแต่ตัวประกอบเป็นชาวเมืองคอลเลคทีฟเยอะอยู่ เป็นหนังน้อยเรื่องที่มาถ่ายทำในสิงคโปร์ ใกล้ ๆ บ้านเรานี่
Equals เป็นหนังรักโรแมนติกที่มีฉากหลังเป็นหนังไซไฟแซมอารมณ์ลุ้นระทึก เหมาะสำหรับคนที่ชอบดูหนังรักจริง ๆ ที่นาน ๆ ฮอลลีวู้ดจะทำออกมาสักเรื่อง หนังไม่มีฉากเรียกน้ำตา แต่คนบ่อน้ำตาตื้นอินจัด ๆ อาจจะร้องไห้ก็ได้มั้ง