แม้ว่า ‘นิโคลัส เคจ’ (Nicolas Cage) นักแสดงรุ่นใหญ่วัย 58 ปี จะเป็นนักแสดงภาพยนตร์ระดับแถวหน้าของโลก หรือจะเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานของฮอลลีวูดเลยก็ว่าได้ เพราะเขาก็เป็นหนึ่งในนักแสดงที่เคยคว้ารางวัลออสการ์จากภาพยนตร์ ‘Leaving Las Vegas’ (1995) มาแล้ว และแสดงในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ชื่อดังหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น ‘The Rock’ (1996), ‘Con Air’ (1997), ‘Face/Off’ (1997), ‘Gone in 60 Seconds’ (2000) และ ‘National Treasure’ (2004) แถมยังเคยเป็นหนึ่งในนักแสดงฮอลลีวูดที่ได้รับเงินค่าตัวมากที่สุดในโลก

Nicolas Cage
‘นิโคลัส เคจ’ (Nicolas Cage)

แต่อย่างที่ทราบกันดีว่า ช่วง 10 ปีหลัง ๆ ในอาชีพนักแสดงของเขา กลับห่างหายจากภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ และหันไปรับบทในภาพยนตร์นอกกระแสฟอร์มเล็ก หนังหนังเกรดบีทุนต่ำ โดยเฉพาะภาพยนตร์ใน VOD (Video On Demand) เสียเป็นส่วนมาก ซึ่งหลายเรื่องก็ได้รับคำวิจารณ์ในทางลบ จำนวนเกินครึ่งของภาพยนตร์ที่เขาแสดง มักจะได้รับคะแนนบนเว็บไซต์ ‘Rotten Tomatoes’ ไม่ถึง 50% และมีหนังบางเรื่องเช่น ‘Grand Isle’ (2019) ที่ได้ 0 คะแนนไปแบบฉ่ำ ๆ จนหลายครั้งชาวเน็ตก็หยิบไปแซวกันว่า ที่เขารับเล่นหนังแบบไม่สนสี่สนแปดขนาดนี้ เป็นเพราะว่าเขาเล่นใช้หนี้หรือเปล่า

ซึ่งล่าสุด ลุงนิกได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิต ทั้งเรื่องของภาพยนตร์ที่เป็นแรงบันดาลใจ เบื้องหลังการแสดงภาพยนตร์ดังของเขา และรวมถึงเหตุผลที่เป็นเบื้องหลังของคำถามที่ว่า ทำไมเขาต้องรับแสดงภาพยนตร์ทุนต่ำอยู่ได้ตั้งนาน คำตอบก็คือ เขารับเล่นหนังเหล่านั้นเพื่อหาเงินปลดหนี้จริง ๆ นั่นแหละ

Nicolas Cage
‘นิโคลัส เคจ’ (Nicolas Cage)

อย่างที่ทราบกันว่า เขาเองเคยมีรายได้สุทธิประมาณ 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มาก่อน แต่ด้วยหนี้จำนวนมหาศาลที่เขาต้องรับมือ รวมทั้งกระแสของหนังบ็อกซ์ออฟฟิศบางเรื่องที่เขาแสดงในช่วงนั้นต่างก็ได้รับเสียงวิจารณ์ในทางที่ไม่ค่อยจะดี ตั้งแต่ ‘The Sorcerer’s Apprentice’ (2010) และ ‘Ghost Rider: Spirit of Vengeance’ (2011) ส่งผลให้รายได้มหาศาลที่เขาเคยมีค่อย ๆ ร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ

Nicolas Cage
‘นิโคลัส เคจ’ (Nicolas Cage)

ประกอบกับช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาก็เริ่มมีหนี้สินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งหนี้ต่าง ๆ รวมทั้งยังต้องจ่ายหนี้ที่เกิดจากภาษีย้อนหลังของกรมสรรพากรจำนวน 6,300,000 เหรียญ และค่าใช้จ่ายในการดูแลแม่ที่มีอาการป่วยทางจิต “ตอนนั้นมันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในคราวเดียว ผมมีหนี้กับกรมสรรพากร และเจ้าหนี้หลาย ๆ ราย ผมมีค่าใช้จ่าย 20,000 เหรียญต่อเดือน เพื่อพยายามพาแม่ที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชออกมา ซึ่งผมก็ทำไม่ได้”

Nicolas Cage
‘นิโคลัส เคจ’ (Nicolas Cage) ในภาพยนตร์ ‘Mandy’ (2018)

วงจรชีวิตอาชีพนักแสดงของเขาในตอนนั้นกำลังก้าวสู่ขาลง จนทำให้สตูดิโอใหญ่ ๆ เริ่มปฏิเสธที่จะให้โอกาสเขาในการแสดงหนังบล็อกบัสเตอร์ นำไปสู่การเป็นหนี้สินจำนวนมหาศาล แถมยังต้องดูแลแม่ที่ป่วย รวมทั้งการเสียชีวิตของพ่อที่เขารัก ทำให้ชีวิตของเขาเริ่มมีรอยร้าว จนกลายเป็นข่าวฉาว ตั้งแต่ถูกจับข้อหาเมาและวิวาทกลางถนน และหย่ากับภรรยาคนที่ 4 ที่อายุน้อยกว่าเขา 20 ปี หลังจากใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันเพียงแค่ 4 วัน เพราะเผลอจดทะเบียนสมรสในขณะที่เขากำลังมึนเมา

หลังจากที่เขาเริ่มมีหนี้สิน เขาฟ้องอดีตผู้จัดการส่วนตัวในปี 2009 เนื่องจากถูกเขากล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของการหมดเนื้อหมดตัวของเขา จนกระทั่งผู้จัดการเองก็ยังต้องฟ้องกลับด้วยข้อหาว่า เขาไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมฟุ่มเฟือยของเคจได้ เขาจึงต้องพยายามดิ้นรนหาเงินใช้หนี้

Nicolas Cage
‘นิโคลัส เคจ’ (Nicolas Cage) ในภาพยนตร์ ‘Pig’ (2021)

ตั้งแต่การขายทรัพย์สมบัติสุดหวง นั่นก็คือ หนังสือการ์ตูนคอมิกซูเปอร์ฮีโร ‘Action Comics #1’ ที่ปรากฏเรื่องราวของซูเปอร์แมนเป็นครั้งแรก ที่เขายอมนำเอาออกมาขายได้ในราคา 2,161,000 เหรียญ จนกลายเป็นหนังสือคอมิกที่มีราคาแพงที่สุดในโลก แต่ก็ยังเอามาโปะหนี้ได้ไม่หมด คนรอบข้างของเขาต่างแนะนำเขาให้ยื่นฟ้องล้มละลายเพื่อหาทางออก

แต่ด้วยความที่เขารักในอาชีพนักแสดง เขาจึงปฏิเสธที่จะยื่นฟ้องล้มละลาย และเปิดรับการแสดงภาพยนตร์แบบไม่ปิดกั้น ทั้งหนังนอกกระแส หนังทุนต่ำ หนังเกรดบี แบบเต็มใจและไม่มีเกี่ยงงอน และเขายืนยันว่า ทุกบทที่เขาเลือกรับ เขาไม่เคยมองว่าเป็นเพียงทางผ่านในอาชีพการแสดง แต่รับแสดงเพราะความเชื่อมั่นและใส่ใจในทุกบทบาทของเขาอย่างเต็มใจต่างหาก

“ตอนที่ผมแสดงหนังปีละ 4 เรื่องแบบปีต่อปี ผมยังจำเป็นต้องค้นหาเป้าหมาย เพื่อที่ผมจะทุ่มเททุกอย่างในการแสดง แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ผลในหนังบางเรื่อง บางเรื่องอย่างเช่น ‘Mandy’ (2018) นั้นออกมายอดเยี่ยมมาก แต่บางเรื่องก็ไม่ได้ผลจริง ๆ แต่ผมก็ไม่เคยเกี่ยงงอนเลยนะครับ ผมเองก็แคร์เหมือนกันว่าใครจะเข้าใจแบบผิด ๆ ว่าผมทำไปแบบไม่สนใจอะไร”

Nicolas Cage
‘นิโคลัส เคจ’ (Nicolas Cage)

ด้วยการรับแสดงแบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำให้ในช่วง 10 ปี ในช่วงเวลาแห่งการเล่นหนังใช้หนี้ ตั้งแต่ปี 2010-2021 ทำให้เขารับงานแสดงภาพยนตร์ ทั้งภาพยนตร์ฟอร์มเล็ก ภาพยนตร์นอกกระแส ภาพยนตร์ใน VOB หรือสตรีมมิง และภาพยนตร์เกรดบีไปมากถึง 47 เรื่อง และโดดไปแสดงละครทีวี และเป็นโฮสต์ให้กับสารคดีที่ว่าด้วยที่มาของคำหยาบคายใน ‘History of Swear Words‘ (2021) ที่ฉายบน Netflix อีกด้วย

แม้เขามักจะได้รับแสดงภาพยนตร์ที่มักจะได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่ลบเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ปรากฏว่า ในหลาย ๆ ครั้ง เสียงวิจารณ์จากนักวิจารณ์หลายคนกลับเห็นตรงกันว่า แม้ภาพยนตร์หลายเรื่องที่เขารับแสดงจะดูคุณภาพต่ำไปสักหน่อย แต่ฝีไม้ลายมือในการแสดงของเขา กลับไม่ลดลงไปตามเกรดของหนังเลยแม้แต่น้อย และด้วยความทุ่มเทและใส่ใจในทุกบทบาท ทำให้เขาเปิดเผยกับ GQ อย่างเป็นทางการว่า เขาได้ปลดหนี้ไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา

Nicolas Cage
‘นิโคลัส เคจ’ (Nicolas Cage) และ ‘เปโดร ปาสกาล’ (Pedro Pascal)
ในภาพยนตร์ ‘The Unbearable Weight of Massive Talent’

แม้ว่าเขาจะสามารถปลดหนี้ได้แล้ว แต่เขาเองเผยว่า กลับเริ่มหลงใหลในการแสดงภาพยนตร์นอกกระแสมากกว่าภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เสียแล้ว “ผมสนุกกับการเล่นภาพยนตร์อย่างเช่น ‘Leaving Las Vegas’ (1995) และ ‘Pig’ (2021) มากกว่า ‘National Treasure’ (2004) เสียอีก”

นอกจากนี้ เขายังแอบพาดพิง Disney ที่เขาเรียกว่าเป็น “เพื่อนกิน” เพราะเป็นหนึ่งในผู้ที่ปฏิเสธเขาในช่วงขาลงอีกด้วย “เมื่อผมพูดถึงเพื่อนกินในฮอลลีวูด ผมไม่ได้หมายถึง เจอรี บรักไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ ‘National Treasure’) แต่ผมหมายถึงดิสนีย์ ซึ่งเปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ เมื่อมันเดินทางไปในทิศทางที่แน่นอน คุณก็ต้องหาเรือลากจูงประมาณล้านลำเพื่อเปลี่ยนทิศทาง อะไรทำนองนั้น”

Nicolas Cage
‘นิโคลัส เคจ’ (Nicolas Cage) ในกองถ่ายภาพยนตร์ ‘Renfield’

หลังจากที่เขาจำต้องเล่นหนังใช้หนี้มานาน ในปีนี้เขาจึงได้มีโอกาสรับเล่นภาพยนตร์ฟอร์มปานกลาง (แต่กระแสแรง) กับเขาบ้าง ยกตัวอย่างเช่น ‘The Unbearable Weight of Massive Talent’ ภาพยนตร์คอมเมดี้ที่เขียนบทขึ้นจากชีวิตหนี้จริง ๆ ของเขาเอง และนั่นหมายความว่า เขาเองก็ต้องแสดงเป็น ‘นิโคลัส เคจ’ ดาราชื่อดังผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ที่ต้องรับงานเอ็นฯ ในปาร์ตี้ของเจ้าพ่อยาเสพติด (แสดงโดย ‘เปโดร ปาสกาล’ (Pedro Pascal)) ผู้เป็นแฟนพันธ์ุแท้ของนิโคลัส เคจ เพื่อแลกกับค่าตัวไปปลดหนี้ ซึ่งจะเข้าฉายในวันที่ 21 เมษายนนี้ และเป็นหนังไม่กี่เรื่องของเขา ที่สามารถทำคะแนนมะเขือสดบนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ได้เต็ม 100%

รวมทั้งภาพยนตร์ ‘Renfield’ ภาพยนตร์คอมเมดี้สยองขวัญของค่ายยูนิเวอร์แซล (Universal Pictures) ที่เขาต้องรับบทเป็นแดร็กคูลาในโลกปัจจุบัน ซึ่งจะเข้าฉายในปี 2023


อ้างอิง | อ้างอิง | อ้างอิง | อ้างอิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส