เมื่อพูดถึงเรื่องราวในอนิเมะที่ถ้าคิดในมุมของเนื้อหาเรื่องราวต่าง ๆ อนิเมะก็เหมือนสื่ออย่างภาพยนตร์นิยายที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่มีทั้งปริศนาให้คนดูสงสัยก่อนจะเฉลยออกมาให้เราได้รับรู้ในตอนจบ หรืออนิเมะบางเรื่องที่ยังไม่จบบางเรื่องก็เพิ่งเริ่มเรื่องราวก็มีปริศนาที่น่าสนใจ จนทำให้เหล่าแฟน ๆ คนดูต่างพากันคิดทฤษฎีต่าง ๆ ออกมาอย่างจริงจัง ที่บางคนก็คิดไปว่าเรื่องราวต้องเป็นอย่างนั้นแบบนี้ จนมีการถกเถียงกันอย่างจริงจังของเหล่าคนดู ซึ่งสำหรับอนิเมะที่ยังไม่จบการถกเถียงนั้นยังมีการเฉลยในภายหลังว่ามันคืออะไร แต่สำหรับอนิเมะที่จบไปแล้วและเรื่องราวไม่ได้เฉลยออกมา อันนี้ก็ยิ่งทำให้หลายคนเริ่มคิดทฤษฎีต่าง ๆ ออกมา จนบางทีเราก็เริ่มคิดตามและสนใจว่าไม่แน่ทฤษฎีเหล่านี้อาจจะเป็นจริงก็ได้ แต่ตราบเท่าที่ทางทีมพัฒนาผู้สร้างคนเขียนเรื่องไม่ออกมายืนยัน เราก็ไม่มีทางรู้ว่าทฤษฎีเหล่านั้นจะเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เมื่อเป็นอย่างนั้นเราเลยไปรวบรวมทฤษฎีต่าง ๆ จากอนิเมะหลาย ๆ เรื่องที่แฟน ๆ เอามาคิดและถกเถียงกันว่าเรื่องเหล่านี้มีความจริงหรือเป็นไปได้มากขนาดไหน โดยต้องบอกก่อนว่าเนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงการรวบรวมทฤษฎีจากแฟน ๆ อนิเมะเหล่านี้มาพูดคุยกัน ที่บางอันก็เป็นแค่ทฤษฎีกาว ๆ ขำ ๆ ที่อ่านกันสนุก ๆ ไม่ต้องไปจริงจังมาก จะมีเรื่องราวทฤษฎีอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้นมาดูไปพร้อมกันเลย
พ่อของ Satoshi อาจจะเป็น Dr. Oak หรือ Barrierd จาก Pokemon
เริ่มต้นแนวคิดแรกเกี่ยวกับทฤษฎีความเป็นไปได้สุดกาวเกี่ยวกับพ่อของ ซาโตชิ (Satoshi) พระเอกจากซีรีส์ ‘Pokemon’ ว่าอาจจะเป็น ดร.โอ๊ก (Dr. Oak) หรือที่เรารู้จักในชื่อ ดร.โอคิโด (Dr. Ohkido) ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน ‘Pokemon’ ผู้สั่งให้ซาโตชิออกเดินทางในโลกภายนอก กับ บาเรียด (Barrierd) ‘Pokemon’ คนรับใช้ในบ้านของซาโตชิที่ใครคนใดคนหนึ่งจากสองคนนี้อาจจะเป็นพ่อของซาโตชิก็ได้ เพราะในอนิเมะไม่เคยพูดถึงพ่อของซาโตชิจริง ๆ จัง ๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งในตอนแรกหลายคนที่ได้อ่านเกี่ยวกับแนวคิดนี้ต่างก็คงคิดว่าเรื่องนี้มันดูตลกและไม่น่าเป็นไปได้ เพราะถ้าเป็นจริงคุณแม่คงจะบอกตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วคงไม่ปิดบังมาจนถึงตอนนี้ แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไปในทุกภาคเมื่อคุณแม่ของซาโตชิปรากฏตัวออกมา ต้องมีหนึ่งในสองคนนี้ปรากฏร่วมฉากด้วยเกือบทุกครั้ง จนตอนแรกที่หลายคนขำกับแนวคิดนี้เริ่มเชื่อจริงจัง เพราะยิ่งเราได้ดูอนิเมะ ‘Pokemon’ ไปเรื่อย ๆ เราจะยิ่งเห็นความใกล้ชิดของทั้งสองคนนี้กับคุณแม่ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ที่จนถึงตอนนี้เหล่าผู้คนก็ยังคงถกเถียงกันแบบจริงจังว่ามันเป็นจริงไหม แล้วคุณละคิดยังไงกับเรื่องนี้
Suletta คือร่างโคลนส่วนตัวจริงคือ Aerial จาก Mobile Suit Gundam The Witch from Mercury
คราวนี้มาดูอนิเมะที่กำลังฉายอยู่กันบ้าง กับทฤษฎีที่แฟน ๆ สงสัยเกี่ยวกับอายุของตัวละครใน ‘Mobile Suit Gundam The Witch from Mercury’ ซึ่งใครที่เคยดูอนิเมะเรื่องนี้ในตอน 0 หรือตอนก่อนเริ่มเรื่องราวหลัก เราจะได้เห็นตัวละครหลายคนในอนิเมะที่ยังเป็นหนุ่มสาวกัน แต่พอมาในตอนที่ 1 ของซีรีส์ตัวละครหลายคนดูแก่เกินกว่าความจริง จนแฟน ๆ ในตอนนั้นต่างคิดกันไปว่าช่วงเวลาจากภาค 0 มาจนถึงตอนที่ 1 ไม่น่าจะแค่ 13 ปีถ้านับตามอายุของน้องดาวพุธ ซูเล็ตต้า เมอร์คิวรี่ (Suletta Mercury) ที่ในตอน 0 นั้นซูเล็ตต้ามีอายุ 4 ขวบแต่ในตอนที่ 1 น้องดาวพุธมีอายุ 17 ปี ตัวละครไม่น่าจะแก่ลงเร็วแบบนี้จนทำให้แฟน ๆ คิดไปว่าหรือนี่จะเป็นซูเล็ตต้าตัวปลอมไม่ก็ร่างโคลน เพราะในตอนที่ 5 ของซีรีส์มีการทำนายดวงชะตาของซูเล็ตต้าก็บอกว่าเธอมีพี่น้องอีกคน แต่ซูเล็ตต้าบอกว่าเธอมีคนเดียวไม่มีพี่น้อง และพอมาในตอนที่ 6 ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำเข้าไปอีกว่าเรื่องราวจากตอน 0 มาถึงตอนที่ 1 ผ่านมา 21 ปีแล้ว นั่นก็หมายความว่าซูเล็ตต้าในตอนนั้นที่อายุ 4 ขวบต้องมีอายุ 25 ปีแล้ว แต่นี่ยังแค่ 17 นั่นเลยทำให้แนวคิดของแฟน ๆ เริ่มจริงจังขึ้นมาว่า ไม่แน่ซูเล็ตต้าตัวจริงอาจจะถูกจับใส่ใน ‘Gundam Aerial’ ก็ได้ ส่วนซูเล็ตต้าคนนี้คือร่างโคลนไม่ใช่ตัวจริงก็มีความเป็นไปได้สูง คงต้องมารอดูต่อไปที่ถ้าเป็นจริงและทฤษฎีของแฟน ๆ คิดถูก เรื่องราวมันคงจะไม่สดใสแบบที่หลายคนบ่นในตอนแรก ๆ แน่นอน เพราะคนที่เป็นแฟน ‘Gundam’ ต่างรู้กันดีว่าการ์ตูนซีรีส์นี้โหดดิบเถื่อนขนาดไหน
แท้จริงแล้ว Kyon เป็นพระเจ้าไม่ใช่ Haruhi จาก The Melancholy of Haruhi Suzumiya
อีกหนึ่งอนิเมะที่จบไปแล้วแต่หลายคนยังคิดถึงและอยากให้มีการสร้างต่อ กับเรื่องราวสุดป่วนของพระเจ้าในรูปร่างของสาวน้อยจากเรื่อง ‘The Melancholy of Haruhi Suzumiya’ หรือในชื่อไทยอย่าง “เรียกเธอว่าพระเจ้า สึซึมิยะ ฮารุฮิ” ที่บอกเล่าเรื่องราวของ สึซึมิยะ ฮารุฮิ (Suzumiya Haruhi) สาวน้อยผู้ตั้งชมรม ‘SOS’ ขึ้นมาเพื่อค้นหามนุษย์ต่างดาว ผู้มาจากอนาคต และคนที่มีพลังจิต ที่พอเอาเข้าจริง ๆ คนในชมรมที่มาสมัครก็เป็นคนพวกนี้ ซึ่งทั้งหมดนั้นมีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือการตรวจสอบฮารุฮิที่เธอนั้นมีพลังระดับพระเจ้า ที่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขโลกใบนี้ได้แต่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องนี้ จะมีเพียง เคียวน์ (Kyon) หรือชื่อจริงคือ อิโนะสุเกะ ซูโดะ (Kyonosuke Sudo) ที่รับรู้เรื่องนี้จากเพื่อน ๆ ในชมรม ที่บอกพี่แกว่าตัวเองคือใครมีเป้าหมายอะไรกับฮารุฮิ ซึ่งใครที่ได้ดูอนิเมะมาแล้วคงจะทราบดีว่าตัวของฮารุฮินั้นมีพลังขนาดไหน จนทำให้แฟน ๆ ในอนิเมะเริ่มคิดย้อนกลับว่า ถ้าความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเรื่องไม่ใช่ฝีมือฮารุฮิ แต่เป็นเคียวน์เองต่างหากที่เป็นพระเจ้า แต่ทุกคนในชมรมต่างพากันโกหกเขาเพราะไม่อยากให้เจ้าตัวทราบความจริง โดยตัวฮารุฮิก็เป็นแค่ตัวกระตุ้นให้เคียวน์ใช้พลังเท่านั้น ซึ่งในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นคนที่แก้ไขจนเรื่องวุ่นกลับมาเป็นปกติก็คือเคียวน์ นั่นจึงอาจจะเป็นไปได้ว่าพระเจ้าตัวจริงก็คือเคียวน์ไม่ใช่ฮารุฮิ ซึ่งตราบเท่าที่คนเขียนไม่ออกมาเฉลยเราก็คงจะคิดกันต่อไปเพราะไม่มีอะไรมายืนยันเรื่องนี้
ที่มาของพลัง Saitama จาก One Punch Man
เมื่อพูดถึงอนิเมะ ‘One Punch Man’ เชื่อว่าหลายคนที่ได้ดูอนิเมะหรืออ่านมังงะมาแล้ว สิ่งแรกที่หลายคนคงอยากรู้เป็นอย่างแรก ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นคือที่มาของพลังอันมหาศาลของ ไซตามะ (Saitama) ว่ามาจากไหน เพราะเมื่อมีคนถามพี่แกว่าไปเอาพลังนี้มาจากไหน ไซตามะก็จะบอกว่าเขาวิดพื้น 100 ครั้ง ซิตอัป 100 ครั้ง ลุกนั่ง 100 ครั้ง และวิ่ง 10 กิโลเมตร นั่นคือที่มาของพลังของเขา หรือจะพูดง่าย ๆ คือเจ้าตัวไม่รู้ว่าพลังนี้มาจากไหนแต่พี่แกคิดว่าพลังมาจากสิ่งนี้ จนมาถึงเรื่องราวในมังงะ (เนื้อหาตรงนี้มีการเปิดเผยเนื้อเรื่องบางส่วนที่ไม่มีในอนิเมะ) ที่จะพูดถึงพลังของตัวละคร กาโร่ (Garo) ที่ได้รับเศษเสี้ยวพลังจากสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า (แค่โดนตัวพระเจ้านิดเดียว) ก็ทำให้เขามีพลังมหาศาล ที่แค่การมีตัวตนของเขาก็แพร่รังสีอำมหิตจนสามารถฆ่าผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ให้ขาดใจตายได้แล้ว (แต่ก็สู้ไซตามะไม่ได้อยู่ดี) และด้วยรูปแบบพลังที่คล้าย ๆ กันเลยทำให้หลายคนคิดว่า ไม่แน่พลังที่ไซตามะได้มานั้นอาจจะเป็นพลังของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพระเจ้าพวกนี้ก็ได้ คงต้องรอติดตามไปว่าสิ่งที่แฟน ๆ คิดเรื่องนี้จะเป็นจริงไหม
หรือ All Might คือพ่อของ Midoriya Izuku จาก My Hero Academia
กลับมาที่ประเด็นพ่อลูกกันอีกครั้งกับการ์ตูนที่ยังไม่จบและกำลังถึงช่วงสนุกที่น่าติดตามทุกตอน กับ ‘My Hero Academia’ ที่เมื่อพูดถึงอนิเมะเรื่องนี้ สิ่งที่แฟน ๆ จะคิดถึงเป็นเรื่องแรกก็คือตัวละครฮีโรขวัญใจแฟนการ์ตูนเรื่องนี้อย่าง ‘All Might’ ที่ถ้าใครได้ดูอนิเมะในตอนเก่า ๆ จะทราบดีว่าตัวของ ‘All Might’ ในอดีตก่อนที่เขาได้พลัง ‘One For All’ มาจากอาจารย์ของเขา ตัวของ ‘All Might’ ก็เป็นคนที่ไร้อัตลักษณ์เหมือน มิโดริยะ อิซึคุ (Midoriya Izuku) ที่เปิดเรื่องมาทุกคนก็จะทราบดีว่าตัวของมิโดริยะก็ไม่มีพลังแต่เขาชื่นชมและอยากเป็นแบบ ‘All Might’ มาก ๆ จนวันหนึ่งเมื่อ ‘All Might’ จะหาผู้สืบทอดพลัง ‘One For All’ เขาก็เลือกมิโดริยะท่ามกลางเสียงคัดค้านของทุกคนที่รู้เรื่องนี้ จนทำให้แฟน ๆ ต่างทฤษฎีไปว่า หรือแท้จริงแล้ว ‘All Might’ คือพ่อของมิโดริยะ ทั้งท่าทางการพูดแนวคิดไปจนถึงการไร้อัตลักษณ์ ที่ขนาดทำหน้าเลียนแบบ ‘All Might’ ได้เหมือนสุด ๆ ซึ่งเอาจริง ๆ แนวคิดนี้ก็ออกไปทางกาว ๆ ที่คนดูอนิเมะปั่นขึ้นมาสนุก ๆ มากกว่า แต่ลองคิดถึงภาพ ‘All Might’ กำลังพูดกับมิโดริยะว่า “หนุ่มน้อยมิโดริยะ ฉันคือพ่อของเธอ” ที่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ขึ้นมาคงจะน่าสนใจไม่น้อยเลย
Yagami Light จะเป็นยมทูต จาก Death Note
คราวนี้มาดูความกำกวมที่ตัวละครในการ์ตูนบางเรื่องพูดเอาไว้แบบไม่ยอมอธิบายว่ามันคืออะไร จนคนอ่านคนดูอนิเมะในตอนนั้นต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะเอาเองว่าสุดท้ายแล้วมันหมายถึงอะไร หนึ่งในนั้นคือคำพูดของ ลุค (Ryuk) ยมทูตที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง ‘Death Note’ ที่มีครั้งหนึ่งลุคเคยบอกเอาไว้ว่า “คนใช้ ‘Death Note’ อย่าคิดว่าจะได้ไปสวรรค์หรือลงนรก” ที่พอตัวละครพูดมาแบบนี้ก็ทำเอาหลายคนเริ่มคิดไปต่าง ๆ นานา ว่าถ้าไม่ได้ไปทั้งสวรรค์และนรก ถ้าอย่างนั้นก็อาจจะได้เป็นยมทูตซิ นั่นคือสิ่งที่แฟน ๆ คิดกัน ซึ่งสิ่งนี้ก็ไม่ใช่แค่คนอ่านที่คิดแต่คนสร้างอนิเมะก็คิดแบบนั้น เพราะในฉบับอนิเมะก็มีตอนจบที่ ยางามิ ไลท์ (Yagami Light) ได้กลายเป็นยมทูต ซึ่งในอนิเมะอาจจะไม่ได้บอกเราตรง ๆ แต่เมื่อแฟน ๆ มาดูชื่อของยมทูตที่ชื่อ ชินิกามิ (Shinigami) ที่ถ้าอ่านดี ๆ ก็จะได้คำว่า ‘Shining’ ที่แปลว่า “ส่องแสง” ซึ่งคล้องกับชื่อ ‘Light’ ที่แปลว่า “แสงสว่าง” ที่คล้องจองกันพอดี บวกกับการแต่งตัวท่าทางการพูดไปจนถึงเสียงพากย์ที่ใช้คนเดียวกับที่ให้เสียง ยางามิ ไลท์ เลยทำให้ทุกคนเดาว่าการไม่ได้ไปทั้งสวรรค์และนรกก็คือการได้เป็นยมทูตนั่นเอง แต่สิ่งนี้ก็ถูกทางต้นสังกัดกับคนวาดออกมาบอกว่าเรื่องราวในอนิเมะมันไม่ใช่เนื้อเรื่องหลัก แต่เป็นเพียงเรื่องแยกในอีกความเป็นไปได้เท่านั้น ที่จนถึงตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว ยางามิ ไลท์ กับผู้ใช้ ‘Death Note’ ทุกคนไปอยู่ที่ไหนกันแน่
One Piece คืออะไร จาก One Piece
“สมบัติของฉันน่ะเหรอ ถ้าอยากได้ก็เอาไปสิไปหาเอาเลยฉันเอาทุกอย่างบนโลกไปไว้ที่นั้นหมดแล้ว” นั่นคือประโยคที่โจรสลัดในตำนานอย่าง โกล ดี. โรเจอร์ (Gol D. Roger) พูดเอาไว้ในตอนเริ่มเรื่องราวใน ‘One Piece’ จนกลายเป็นการตามหาสมบัติของ โกล ดี. โรเจอร์ ที่ชื่อว่า ‘One Piece’ ที่ตั้งแต่ตอนแรกที่มังงะเรื่องนี้ปล่อยออกมาสู่สายตาแฟน ๆ ทุกคนต่างก็ตั้งทฤษฎีแนวคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับ ‘One Piece’ เอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธในตำนานที่สามารถทำลายโลกหรือกองทัพทหารลงได้ ไปจนถึงการตีความว่า ‘One Piece’ อาจจะหมายถึงมิตรภาพความพยายามของคนที่มีเป้าหมายเดียวกันมาร่วมกันเพื่อไปหาสิ่งนั้นซึ่งมันก็คือ ‘One Piece’ หรือที่มีคนคิดไปว่าแท้จริงแล้ว ‘One Piece’ คือหมวกฟางที่สืบทอดกันมาก็เป็นไปได้ เรียกว่ามีทฤษฎีออกมามากมายซึ่งคงจะมีแต่อาจารย์ โอดะ เออิจิโร (Oda Eiichiro) และ โกล ดี. โรเจอร์ เท่านั้นที่รู้ว่า ‘One Piece’ อยู่ที่ไหนและมันคืออะไรกันแน่ คงต้องมารอติดตามดูเพราะอาจารย์โอดะบอกว่าตอนนี้ซีรีส์ ‘One Piece’ กำลังดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว คงต้องมารอลุ้นว่าสิ่งที่ทุกคนตามหาคืออะไรกันแน่
หรือ Yamcha คือพ่อที่แท้จริงของ Gohan จาก Dragon Ball
ปิดท้ายกับทฤษฎีสุดกาวที่ดูจะมีความเป็นไปไม่ได้มากที่สุด แต่แฟน ๆ ซีรีส์ ‘Dragon Ball’ ต่างคิดและหาเหตุผลมารองรับกันมาอย่างมากมาย แถมพยายามหาความเชื่อมโยงกับสิ่งนี้ นั่นคือความเป็นไปได้ที่ หยำฉา (Yamcha) ตัวประกอบประจำเรื่องจะเป็นพ่อที่แท้ ๆ ของ ซง โกฮัง (Son Gohan) โดยทฤษฎีเกิดขึ้นมาเมื่อตอนที่เราเห็นการเติบโตของโกฮัง ที่ยิ่งโตก็ยิ่งมีรูปร่างหน้าตาทรงผมเหมือนหยำฉามากกว่า ซง โกคู (Son Goku) ผู้เป็นพ่อแท้ ๆ เสียอีก แต่เรื่องนี้ก็ถูกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยค้านว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะหยำฉาคือมนุษย์โลกไม่ใช่ชาวไซย่าแล้วเขาจะมาเป็นพ่อโกฮังได้อย่างไร แต่เรื่องนี้ก็ถูกแฟน ๆ ที่สนับสนุนค้านพร้อมกับอธิบายถึงทฤษฎีของพวกเขาว่า ไม่แน่ตัวของหยำฉาอาจจะเป็นชาวไซย่าหรือมีเชื้อสายเป็นลูกครึ่งลูกเสี้ยวชาวไซย่าในอดีตแต่ตัวเองไม่รู้ตัว หรืออีกความเป็นไปได้คือตัว จีจี้ (Gygee) ผู้เป็นแม่อาจจะเป็นลูกครึ่งลูกเสี้ยวของชาวไซย่าก็ได้ และเมื่อได้กับหยำฉาโกฮังเลยเป็น ‘Super Saiyan’ ได้นั่นคือทฤษฎีที่แฟน ๆ ‘Dragon Ball’ คิดแบบจริงจังกันมาก ๆ ส่วนความจริงแล้วที่ตัวโกฮังมีทรงผมเหมือนหยำฉานั้น อาจารย์คนวาดแกก็เคยออกมาบอกแล้วว่ามันคือความบังเอิญ เพราะแกจำตัวละครที่วาดไปแล้วไม่ได้เลยใช้ทรงผมซ้ำ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้อาจารย์พูดมาจริง ๆ หรือเป็นการปกป้องโกฮังกันแน่ ซึ่งตอนนี้ได้มีทฤษฎีเกิดขึ้นมาอีกว่า หรือความจริงแล้วพ่อของโกฮังคือ พิคโกโร่ (Piccolo) ที่ยิ่งคิดยิ่งไปไกลเรื่อย ๆ คงต้องรออาจารย์ผู้วาดมาบอกทุกคนถึงจะเลิกคิดกัน
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 8 ทฤษฎีสุดกาวที่แฟน ๆ อนิเมะหลายคนคิดแบบจริงจังไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ที่หลายเรื่องก็เริ่มมาจากความสงสัยจากเนื้อเรื่องของอนิเมะมังงะเหล่านี้ ที่อธิบายเนื้อเรื่องไม่หมดหรืออธิบายแบบคลุมเครือจนคนดูคนอ่านต้องคิดกันเอาเอง ซึ่งหลายเรื่องดูยังไงมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่หลายเรื่องก็ดูแล้วมีความเป็นไปได้สูงและเราคงจะได้คำตอบเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปจนจบ แต่เรื่องที่จบไปแล้วและคนสร้างไม่ออกมาอธิบายอันนี้ก็คงจะเป็นปริศนาให้แฟน ๆ คิดกันต่อไป เอาเป็นว่าอ่านกันสนุก ๆ ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าคุณจะเชื่อก็ไม่ผิดอะไรขอแค่อย่าใช้คำที่หยาบคายหรือต่อว่าอีกฝ่ายแต่ใช้เหตุผลมาคุยกัน ถ้าเป็นการอย่างนั้นการสนทนาก็จะสนุกและน่าสนใจขึ้นอย่างแน่นอน และถ้าใครมีทฤษฎีเรื่องไหนที่น่าสนใจอีกก็เอามาพูดคุยกันได้ ส่วนคราวหน้าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรก็ติดตามกันได้ที่แบไต๋ หรือจะย้อนไปอ่านบทความเก่าก็สามารถทำได้ เพราะที่แบไต๋มีครบทุกความบันเทิงเพื่อคุณ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส