วันฉาย
26 / 1 / 2023
แนว
ดราม่า, แอ็กชัน, แฟนตาซี
ความยาวต่อตอน
25 นาที
ผู้แต่ง
ชินยะ อูเมมูระ, ทากูมิ ฟูกูอิ
เรตผู้ชม
PG-13
OUR SCORE
6.9
Our score
6.9[รีวิว] Record of Ragnarok ซีซัน 2 – สังเวียนแห่งการยำใหญ่ปกรณัมและประวัติศาสตร์
จุดเด่น
- ไอเดียดี จับปกรณัมและประวัติศาสตร์ มาตีความใหม่ได้อย่างฉลาด
- ตัวละครมีความน่าสนใจ ทำให้ชวนอยากดูต่อไปเรื่อย ๆ
จุดสังเกต
- งานภาพที่ไม่มีมาตรฐาน บางตอนก็ดี บางตอนก็งานเผา
- บทที่เป็นแพทเทิร์นเดิมจนเริ่มเดาทางได้ถูก
- การกระจายบทที่ไม่ดี จนทำให้ตัวละครหลายตัวขาดมิติ
-
คุณภาพด้านเสียงพากย์
7.0
-
คุณภาพโปรดักชัน
7.0
-
คุณภาพของบท
7.2
-
คุณภาพของความบันเทิง
6.7
-
ความคุ้มเวลาในการชม
6.8
หากกล่าวถึงตำนานแห่ง Ragnarok นั้น ผมเชื่อเลยว่า แต่ละคนก็จะรู้สึกกับคำนี้ต่างกันไป เพราะ Ragnarok เป็นหนึ่งในคำที่ถูกนำมาใช้ในสื่อบันเทิงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งไม่ว่าจะเรื่องไหน Ragnarok ก็มักจะถูกใช้ในฐานะ วันสำคัญที่นำมาซึ่งการตัดสินชะตาของเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นหนึ่งในต้นตอไอเดียให้ ชินยะ อูเมมูระ (Shinya Umemura) กับ ทากูมิ ฟูกูอิ (Takumi Fukui) นำแนวคิดนี้มาสร้างเป็น Record of Ragnarok บันทึกสังเวียนของเทพเจ้าและมนุษย์
โดย Record of Ragnarok หรือในชื่อไทยคือ มหาศึกคนชนเทพ เป็นการ์ตูนไอเดียแปลกใหม่ที่ถูกแต่งโดย 2 นักแต่ง ชินยะ อูเมมูระ และทากูมิ ฟูกูอิ (งานภาพโดย Ajichika) ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวสงครามแห่งปกรณัมและประวัติศาสตร์ โดยเริ่มเขียนตั้งแต่ปี 2017 และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้อ่าน ในที่สุด Record of Ragnarok ก็ได้รับการดัดแปลงเป็นอนิเมะขึ้นมา
มหาศึกคนชนเทพ จะพาคนดูไปสำรวจ เรื่องราวของเหล่าเทพปกรณัมทั้งหมดบนโลก ในจักรวาลที่เทพทุกองค์ล้วนรู้จักกัน ซึ่งพวกเขาจะร่วมกันตัดสินชะตากรรมของมนุษยชาติในทุก 1,000 ปี ว่ามนุษย์นั้นสมควรจะต้องดับสูญหรือไม่ โดยครั้งนี้ เหล่าทวยเทพได้ตัดสินใจว่า มนุษย์ไม่ควรคงอยู่และต้องถูกกำจัดไป แต่แล้ววัลคีรีนามบรุนฮิลด์ ได้ออกไอเดียเสนอให้มนุษยชาติมีโอกาสสุดท้ายเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตน ในที่สุดเหล่าทวยเทพจึงมีมติให้จัดศึกแร็กนาร็อก ซึ่งเป็นการประลองตัวต่อตัวระหว่างมนุษย์ทั้ง 13 คนในประวัติศาสตร์ กับเทพที่ทรงพลังทั้ง 13 องค์ โดยทุกคนจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก ใครแพ้คือตาย หากมนุษย์ชนะในการประลอง พวกเขาจะได้รับการละเว้นโทษทัณฑ์
ต้องย้อนความก่อนว่า ในอนิเมะซีซันแรก จะครอบคลุมการต่อสู้ถึง 3 คู่ได้แก่ ลิโป้ เฟยเสียง ปะทะ ธอร์, อาดัม ปะทะ ซูส และ คู่สุดท้ายอย่าง ซาซากิ โคจิโร่ ปะทะ โพไซดอน โดยในซีซันแรก คะแนนของเทพนำห่างนำห่างมนุษย์ไปที่สกอร์ 2 : 1 ซึ่งการพาเราไปสำรวจเรื่องราวด้านมืดของเทพ ทำให้เราเอาใจช่วยกลุ่มมนุษย์ไปโดยปริยาย และจบซีซันแบบใจหายใจคว่ำไปตาม ๆ กัน หลังจาก Record of Ragnarok ซีซัน 1 ฉายจบ ก็ได้รับเสียงวิจารณ์อย่างล้นหลาม แม้จะโดนติงเรื่องการยืดเรื่องราวและงานภาพที่ดูสุกเอาเผากินไปเสียหน่อย แต่ด้วยความสนุกของเนื้อหา ก็ทำให้เรื่องนี้ได้รับไฟเขียวภาคต่อได้อย่างไม่ยาก
ในซีซันที่ 2 นี้จะแบ่งการเนื้อหาออกเป็น 2 องก์ ซึ่งองค์แรกจะครอบคลุมการต่อสู้ของ แจ็กเดอะริปเปอร์ ปะทะ เฮอร์คิวลีส กับ ไรเด็น ทาเมเอมอน ปะทะ พระศิวะ โดยความน่าสนใจของพาร์ตนี้คือเป็นการเปิดตัว ตัวละครขวัญใจคนดูอย่าง ศากยมุนี (พระพุทธเจ้า) ซึ่งแม้พระพุทธองค์ จะไม่มีบทบาทในองก์แรก แต่การปรากฏตัวแต่ละครั้ง ก็ได้ใจคนดูเป็นอย่างมาก โดยตอนจบองก์ ที่เป็นการปิดด้วยการลงสังเวียนของศากยมุนี ก็แทบทำให้เราอยากจะดูต่อซะเดี๋ยวนั้น
เนื้อเรื่องในซีซัน 2 ได้พาเราไปสำรวจความรู้สึกนึกคิดของเทพมากกว่าซีซันแรก จากที่ซีซันแรกทำให้เราเห็นด้านมืดของเทพ จนตัดสินพวกเขาว่ามีแต่ความชั่วร้าย พอมาซีซันนี้ทำให้เราได้เห็นมุมมองด้านดีของฝั่งเทพมากขึ้น แต่ทว่าแม้จะมีทวยเทพอยู่เต็มเรื่องไปหมด เราก็ยังรู้สึกว่าเทพแต่ละองค์ดูเป็นไม้ประดับจอ มากกว่าตัวละครที่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่อง ก็ได้แต่หวังว่าในองค์ท้าย หรือซีซันต่อไป จะทำให้เราได้เห็นมิติตัวละครทางฝั่งเทพมากขึ้นนะ
อีกหนึ่งจุดที่น่าชมคือ ซีซันนี้ทำให้เส้นแบ่งศีลธรรมในใจของเราถูกสะบั้นลง เมื่อเราเริ่มมองเห็นความดีงามของเทพ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องเอาใจช่วยมนุษย์ที่มีแต่ความดำมืดในใจ จุดนี้ทำให้ช่วยยกระดับเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก จากตอนแรกที่เชียร์มนุษย์ อยู่ ๆ ก็หันไปเชียร์เทพโดยไม่รู้ตัว
หากใครรู้สึกงงกับการที่ซีซัน 1 ทิ้งปริศนาไว้เยอะ แน่นอนว่าในซีซัน 2 ก็จะมีการเฉลยปริศนาขึ้นมามากขึ้น ทั้งความลับของสังเวียน ทั้งเหล่าเทพผู้ยื่นมือมาช่วยเหลือมนุษย์ ซึ่งช่วยยกระดับมิติการดำเนินเรื่องให้เข้มข้นขึ้นไปอีก
ทว่าแม้จะยกระดับหลายอย่าง แต่จุดน่าสังเกตก็ยังมีอยู่ อาทิการดำเนินเรื่องที่คล้ายคลึงกับภาคแรก ในแบบสู้ไปด้วย ย้อนอดีตไปด้วย หากใครไม่ชอบการดำเนินเรื่องแบบภาคแรก ภาคนี้ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม โดยการเลือกเปิดซีซันด้วยแมตช์เดือดระหว่าง แจ็กเดอะริปเปอร์ ปะทะ เฮอร์คิวลีส ก็นับว่าฉลาดมาก เพราะแมตช์นี้เน้นไปที่การชิงไหวพริบในสนาม ทำให้โทนเรื่องของช่วงนี้ดูแตกต่างขึ้นมา ยิ่งงานภาพฉากเมืองลอนดอนนั้น ก็ทำออกมาได้ดี ผสมผสานเทคนิค 3 มิติ กับ 2 มิติเข้าด้วยกัน เรียกได้ว่าแมตช์นี้ งดงามแทบทุกฉาก
แต่ในขณะที่เรากำลังดีใจ คู่ถัดมาอย่าง ไรเด็น ทาเมเอมอน ปะทะ พระศิวะ กลับทำให้เราต้องลุกขึ้นมาด่าอีกแล้ว เพราะในแมตช์นี้ปัญหาเดิมก็กลับมา นั่นคือการเดินเรื่องที่ค่อนข้างจำเจ และงานภาพแบบสุกเอาเผากิน(อีกแล้ว) โดยแมตช์นี้ทำให้อนิเมะช่วงท้ายขององก์แรก ดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคู่ถัดไปอย่างศากยมุนี ปะทะ เจ็ดเทพเจ้าแห่งโชคลาภ คนดูอย่างเรา ๆ ก็ขอให้มันดีขึ้นกว่านี้ก็พอ เพราะถือเป็นแมตช์ที่แฟนการ์ตูนตั้งตารอคอยเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งสิ่งที่เราเสียดายคือมิติตัวละครของ บุรุนฮิลด์ ที่แม้ว่าจะเป็นตัวเอกของเรื่อง แต่ด้วยแอร์ไทม์และการกระจายบทของอนิเมะ ก็ทำให้มิติตัวละครดูแบนราบ ทำให้บุรุนฮิลด์เป็นตัวเอกที่มีหน้าที่เป็นโฆษกและเสริมตัวละครอื่น ๆ ให้ดูดีขึ้นเท่านั้น
โดยรวมแล้ว Record of Ragnarok เป็นอนิเมะภาคต่อที่ยกระดับความสนุกจากซีซันแรกได้ดี จุดที่ชอบก็ขยี้ได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยความที่อนิเมะนั้นผลิตโดยสตูดิโอ Graphinica เจ้าเดิม ก็ยังทำให้เราเห็นงานที่ไม่เรียบร้อยหลุดออกมา อาทิการแบ่งบทที่ไม่ดี เนื้อเรื่องที่ยืดจนรู้สึกเบื่อ ตัวละครที่ขาดมิติ ไปจนถึงงานภาพแบบสุกเอาเผากิน จนหงุดหงิดว่างานแบบนี้ปล่อยผ่านมาได้ไง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส