อนิเมะยอดฮิตประจำซีซันที่ทำเอาหลายคนโดนตกไปตาม ๆ กัน อย่างเรื่อง ‘คุณอาเรียโต๊ะข้าง ๆ พูดรัสเซียหวานใส่ซะหัวใจจะวาย’ เพราะด้วยตัวละครที่น่ารัก มีเอกลักษณ์ทุกคน จนบางตัวละครถึงขั้นกลบรัศมีนางเอกบางจังหวะเลยได้เลย แต่รู้กันมั้ยนะ ว่าเวอร์ชันอนิเมะที่พวกเราได้ดูกันนั้น แท้จริงแล้วถูกตัดเนื้อหาตรงส่วนรายละเอียดยิบย่อยออกไปค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว โดยต้นฉบับจะอ้างอิงมาจาก ‘ไลต์โนเวล’ เป็นหลัก และเนื้อหานั้นถูกดัดแปลงต่อไปเพื่อเสริมรายละเอียดในฉบับมังงะเป็นส่วนถัดมา ก่อนจะถูกนำมาดัดแปลงเป็นอนิเมะให้เราได้ดูกัน งั้นเนื้อหาตรงส่วนไหนที่จะโดนตัดออกไปบ้างล่ะ ?

แต่เนื่องจากเนื้อหาในอนิเมะซีซันแรกมี 12 ตอนจบ และดำเนินเรื่องไปไกลถึงจนจบไลต์โนเวลเล่มที่ 3 (อ่านต่อได้ที่เล่ม 4) ดังนั้นเนื้อหาที่จะยกตัวอย่างให้เห็นภาพในบทความนี้จะอยู่แค่ในอนิเมะช่วงแรก ตอนที่ 1-3 เท่านั้น เพื่อให้เห็นภาพมาเปรียบเทียบกับในมังงะเล่มที่ 1-3 ที่ถูกเพิ่มรายละเอียดขึ้นมาให้มากขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับในเวอร์ชันอนิเมะไปเลยที่เน้นตัดออก และถ้าเทียบส่วนเนื้อหากับในไลต์โนเวลต้นฉบับก็คือจะอยู่แค่ประมาณเล่มแรกนั่นเอง (ไม่งั้นยาว)


‘พูดภาษารัสเซีย’ จีบกันรัว ๆ แต่ดันตัดออกซะเยอะเลย

Милашка (น่ารักจัง)

อาเรีย

อย่างที่รู้กันอยู่แล้ว ว่าคอนเซปต์ของเรื่องนี้จะตรงตามชื่อเรื่องเลย ก็คือการที่นางเอกอย่าง ‘คุโจ อาริสะ’ คอยพูดความในใจเพื่อจีบฝ่ายชายแบบอ้อม ๆ ด้วยภาษารัสเซีย เพราะคิดว่าพระเอกอย่างมาซาจิกะที่เป็นเพียงแค่เด็กจอมอู้ ยังไงก็ไม่สามารถฟังเข้าใจได้แน่ ๆ (จริง ๆ ก็แทบทั้งโรงเรียนนะที่ฟังไม่เข้าใจ) ทว่าความจริงนั้นมาซาจิกะกลับฟังภาษารัสเซียได้คล่องแบบเจ้าของภาษา และรับรู้ได้ทุกคำที่อาเรียพูดมาหมด แต่ต้องแกล้งดึงเชิงไว้

ดังนั้นฉากสำคัญในช่วงแรก ๆ เลยก็คือการหยอดคำหวานเป็นภาษารัสเซียแบบไม่เกรงใจใคร แต่พระเอกต้องคอยเก็บความเขิน ไม่ให้หลุดไปว่าตัวเองฟังเข้าใจ ซึ่งฉากนี้ในเนื้อหาต้นฉบับอย่างไลต์โนเวลนั้นมีการใช้บรรยายในหลากหลายฉากมาก ทั้งตอนเจอกันในห้องเรียน ทั้งตอนกดกาชาสึคุโยมิ ซึ่งจะมีการแอบใส่ข้อมูลมาเพิ่มถึงฉากตอนย้อนอดีตด้วย ว่าแท้จริงนั้นทำไมอาเรียถึงสนใจมาซาจิกะ เช่นคำว่า “ถ้าเอาจริงก็ออกจะเท่แท้ ๆ” แต่ในอนิเมะนั้นตัดออกเฉย ทำให้คนดูอย่างเราก็อาจจะมองมาซาจิกะเป็นคนที่ฟังรัสเซียได้แค่นั้นแหละ

ยิ่งถ้าเป็นในเวอร์ชันมังงะที่มีการเพิ่มรายละเอียดเข้าไปเยอะยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้รับรู้ถึงความแตกต่างของฉากนี้ได้มากกว่าเดิม เพราะในมังงะนั้นเราจะเห็นทั้งสีหน้าท่าทาง พอบวกคำพูดหยอดสุดหวานภาษารัสเซียเข้าไป ยิ่งทำให้รู้ได้เลยว่าอาเรียนั้นชอบมาซาจิกะแบบจริงจังแล้วแหละ แต่พระเอกเราที่ทำตัวเหลวแหลกมานั้นไปทำอะไรมา คุณอาเรียถึงเปิดใจให้ขนาดนี้ ทั้งหมดอยู่ในฉาก ‘ย้อนอดีต’ ที่จะมีพูดถึงในบทความนี้เช่นกัน


การ ’สวมถุงเท้า’ ที่หวาดเสียวและน่าเขินอายยิ่งกว่าในอนิเมะ

‘ฉากสวมถุงเท้า’ เรียกได้ว่าเป็นฉากเซอร์วิสฉากแรกของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งฉากในอนิเมะที่เราได้เห็นนั้นก็อ้างอิงมาจากในไลต์โนเวลโดยตรง ทั้งในส่วนของสถานที่และลำดับการเล่า นั่นก็คือการนั่งสวมถุงเท้าบนเก้าอี้ที่โต๊ะของอาเรียนั่นเอง และจบฉากนี้ด้วยลูกถีบเหมือนเดิม ตรงส่วนนี้ต้องขอชมทีมงานอนิเมะที่ทำออกมาให้เราสามารถเห็นภาพจากฉากนั้นได้มากขึ้น และมองว่าเป็นฉากเซอร์วิสแบบแท้จริง

ทว่าที่ผมจะยกขึ้นมาเปรียบเทียบในฉากนี้นั้น จะเป็นฉากจากมังงะที่ถูกแต่งเติมรายละเอียดเพิ่มเข้าไปอีกขั้น จนกลายเป็นฉากเซอร์วิสแบบเกินหน้าเกินตาอนิเมะไปเยอะมาก โดยฉากนั้นจะถูกเปลี่ยนจากการนั่งเปลี่ยนถุงเท้าที่เก้าอี้ มานั่งที่ขอบหน้าต่างแทน (แอบหวาดเสียวว่าจะตกนะ) และในขณะที่มาซาจิกะกำลังสวมถุงเท้าให้อาเรียอยู่นั้น ดันมีเพื่อนร่วมห้องเดินเข้ามา ทำให้ทั้งคู่ต้องซ่อนตัวอยู่หลังม่าน

ท่าทางในขณะนั้นเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดเซอร์วิสสำหรับมาซาจิกะยิ่งกว่าอนิเมะแล้วแหละ ถึงแม้จะพยายามพยุงตัวอาเรียไม่ให้ตกหน้าต่างและรอดจากสถานการณ์คับขันนั้นไปได้ แต่ฉากสวมถุงเท้าในเวอร์ชันมังงะนั้น ได้ชนะเลิศทิ้งห่างทั้งไลต์โนเวลและอนิเมะไปซะแล้ว ตอนแรกก็แอบนึกอยู่ว่าถ้าสามารถเอาฉากนี้ไปใส่ในอนิเมะได้จะดีงามขนาดไหนกันละเนี่ย ?


‘ฉากย้อนอดีต’ ที่ทำให้อาเรียเริ่มสนใจมาซาจิกะ

เรียกได้ว่าเป็นฉากสำคัญที่สุดในเนื้อเรื่องช่วงต้นของเรื่องนี้เลย เพราะในการ ‘ย้อนอดีต’ ไปในสมัยที่อาเรียเพิ่งย้ายเข้ามาในโรงเรียนเซเร ช่วงสมัยมัธยมต้นที่ 3 นั้น เธอไม่มีเพื่อนเลย อีกทั้งบุคลิกที่ดูเข้าถึงยากเพราะเป็นคนสวย แถมยังเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นรัสเซียอีก นอกจากนั้นเธอยังยึดติดในความเพอร์เฟกต์และความพยายามตั้งใจในการทำงานเป็นอย่างมาก แม้จะไม่มีใครให้ความร่วมมือเธอก็จะทำคนเดียวจนสำเร็จให้ได้ ทำให้เธอถูกตั้งฉายาเอาไว้ว่า ‘องค์หญิงสันโดษ’ นั่นเอง

ในงานโรงเรียนที่ทุกคนต้องช่วยกันทำงาน อาเรียกลับตั้งหน้าตั้งตาพยายามอยู่คนเดียว เพราะไม่มีเพื่อนคนไหนพยายามได้เท่าเธอ จนกระทั่งมาซาจิกะได้ไปเตรียมการเบื้องหลัง ทั้งการติดต่อกับชมรมหัตถกรรมเรื่องเย็บชุด ทั้งการเช่าสถานที่ให้ทำกิจกรรมนอกเวลาเรียน เพื่อให้ความพยายามของอาเรียไม่สูญเปล่า แต่ตัวเขากลับไม่ต้องการชื่อเสียงหรือคำยกยอ ตั้งใจเป็นตัวตนเบื้องหลังที่คอยผลักดันคนอื่นเท่านั้น นี่เป็นจุดที่ทำให้อาเรียเริ่มสนใจในตัวมาซาจิกะมากยิ่งขึ้น

ซึ่งในแต่ละฉากช่วงต้นนั้นทางไลต์โนเวลได้อธิบายไว้เพียงแค่คร่าว ๆ เท่านั้น แต่ถ้าเทียบกับในมังงะที่มีการลงลึกถึงในรายละเอียดที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งการกระทำของมาซาจิกะ ทั้งบรรยากาศในการทำงานร่วมกัน ทั้งการขอโทษของเพื่อนร่วมชั้นต่อคุณอาเรีย ทั้งการที่คนในชมรมหัตถกรรมชมฝีมือคุณอาเรีย ทุกสิ่งที่อย่างที่เพิ่มเข้ามาทำให้คนอ่านอย่างเราสามารถอินฉากนี้ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก (เพราะงั้นแนะนำให้อ่านมังงะเพิ่ม)

А вчера был таким милым… (เมื่อวานอุตส่าห์เท่…)

อาเรีย

แต่ฉากที่ถูกตัดออกไปในอนิเมะนั้นคือ ‘การเต้นรำ’ ในช่วงท้ายของงานโรงเรียนนั่นเอง เป็นฉากที่ดูเหมือนจะไม่สำคัญแต่จริง ๆ แล้วเป็นจุดที่ทำให้อาเรียมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของมาซาจิกะขึ้นมา เพราะในการเต้นรำนั้นอาเรียได้โชว์ฝีมือแบบจัดเต็ม ให้คนอื่นเห็นไปเลยว่าทักษะทางด้านการเต้นที่เคยเป็นนักบัลเลต์มาตั้งแต่สมัยก่อนของเธอนั้นมีมากขนาดไหน ส่วนคู่เต้นนั้นเพียงแค่เต้นตามให้ทันก็ลำบากแย่แล้ว ทว่ามาซาจิกะนอกจากเต้นตามทันแล้วยังปรับลดระดับในการเต้นของตัวเองลงเพื่อดันความเด่นของอาเรียมากยิ่งขึ้นไปอีก จนอาเรียมองทะลุในตัวตนของมาซาจิกะว่าเขาต้องการทำตัวเป็น ‘ผู้ช่วยเหลือในเงา’ เท่านั้นเอง (และแอบชมว่าเท่ในภายหลังด้วย) ซึ่งเราจะเห็นฉากการเต้นรำนี่ได้แค่ในเพลง OP เท่านั้น เพราะอนิเมะตัดออกไปแล้ว


‘การเดินมาส่งคุณอาเรีย’ ที่พระเอกได้โชว์เท่ไปรอบหนึ่ง

หลังจากที่มาซาจิกะได้ไปช่วยเหลืองานสภานักเรียนมาจากการที่ยูกิร้องขอในงานใช้แรงงาน ประธานสภานักเรียนรู้สึกเริ่มสนใจในตัวเขาและอยากจะเชิญมาซาจิกะมาเข้าสภานักเรียนด้วย จึงได้พาไปเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือในวันนี้ ซึ่งสมาชิกที่ไปกินด้วยก็จะมีอาเรียและยูกิที่ไปปะทะคารมกันอยู่ในร้านด้วยเช่นกัน

ฉากที่ถูกตัดออกไปในช่วงนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นฉากเล็กน้อยไม่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องขนาดนั้น แต่ผมกลับมองว่ามันเป็นฉากโชว์ความสามารถของมาซาจิกะในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าขึ้นมาเลยนะ โดยในระหว่างทางที่กำลังเดินไปส่งอาเรียเพราะกลับบ้านทางเดียวกัน อาเรียถูกพนักงานบริษัทที่กำลังเมาหาเรื่องใส่ ทำให้อาเรียสบถด่าไปจนเกือบจะมีเรื่องกัน และมาซาจิกะก็ได้พูดโกหกแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้านั้นได้อย่างดีเยี่ยม จนทำเอาอาเรียยังจับไม่ได้ว่าโกหก ทำให้เรามองเห็นความฉลาดที่มาซาจิกะเก็บซ่อนเอาไว้ได้มากขึ้นอีกนิด แต่ก็นะในอนิเมะไม่มีฉากนี้ให้เราดู เพราะงั้นต้องลองไปหาอ่านจากเวอร์ชันอื่นแทน


การเปิดเผยความลับ ‘ความสัมพันธ์’ ระหว่างยูกิและมาซาจิกะ

‘สุโอ ยูกิ’ อีกหนึ่งคู่แข่งทางความรักที่อาเรียไม่ค่อยชอบใจ เพราะเธอคอยมาเกาะแกะกับมาซาจิกะอยู่ตลอดเวลา และยิ่งใช้ความสัมพันธ์ของเพื่อนสมัยเด็กมาอ้าง ยิ่งทำให้อาเรียไม่สามารถก้าวก่ายความสัมพันธ์นั้นมากขึ้นได้อีก แต่ความจริงนั้นยูกิเป็น ‘น้องสาวร่วมสายเลือด’ ของมาซาจิกะที่ถูกแยกตามพ่อแม่ที่หย่าร้างกันไปนั่นเอง (ในมังงะเล่าแบบมีแผนผังชนิดเข้าใจได้ในช่องเดียว)

สิ่งที่เรียกได้ว่าพีกสุดก็คือบุคลิกของยูกินั่นเอง เพราะต่อหน้าทุกคนทั้งโรงเรียน ยูกิพยายามแสดงตัวตนให้อยู่ในสถานะของ ‘องค์หญิงตำหนักใน’ ลูกสาวคนเดียวของตระกูลสุโอ ที่แทบจะเรียกได้เป็นชนชั้นสูงของโรงเรียนนี้ แต่ตัวจริงของเธอนั้นกลับเป็นน้องสาวโอตาคุที่คุยเล่นกับมาซาจิกะแบบถึงเนื้อถึงตัวมาก ๆ (ชนิดแนบเนื้อ) ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่น้องแท้ ๆ ผมมองว่ายูกิน่าจะต้องเป็นหนึ่งในเรือที่ใครหลายคนเชียร์ยิ่งกว่าคุณอาเรียแล้วแน่นอน

ฉากการเปิดเผยความลับนี้จะอยู่ในอนิเมะตอนที่ 2 และก็เป็นฉากที่เฉลยเหมือนในไลต์โนเวลต้นฉบับเลย เพียงแต่สิ่งที่ถูกเปลี่ยนไปนั้นจะเป็นการสลับลำดับการเล่าเรื่องบางอย่างออกไป เพื่อให้ตอนที่ 2 เป็นตอนของยูกิทั้งตอนไปเลย ถ้าถามว่าส่งผลต่อเนื้อเรื่องหลักมั้ย คำตอบก็คือไม่ เพียงแต่รายละเอียดในการเล่าเรื่องจะแอบรู้สึกแตกต่างไปจากในเวอร์ชันต้นฉบับที่มีการนำเอาความฝันรักแรกของมาซาจิกะมาเล่าคั่นไว้นั่นเอง


‘ชุดใจกล้า’ ของคุณอาเรีย คือชุดนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ ?

อาเรียที่บังเอิญไปเจอมาซาจิกะกับยูกิที่กำลังเดินเที่ยวด้วยกันอยู่ เกิดสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขึ้นมา จึงได้สะกดรอยตามจนถูกจับได้ และลงเอยด้วยการไปเดินเล่นพร้อมกันทั้งสามคนอย่างสนุกสนาน (และยูกิที่คอยแกล้งอาเรียตลอด) จนถึงฉากสำคัญนั่นคือการซื้อชุดของอาเรียที่ลากมาซาจิกะมาซื้อเป็นเพื่อน เพราะเธอไม่เคยซื้อชุดกับเพื่อนมาก่อน และยิ่งเป็นมาซาจิกะด้วยเธอเลยยิ่งอยากรู้ปฏิกิริยาของเขาในตอนที่เห็นเธอใส่ชุดรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมาซะงั้น

ถึงตอนแรกจะยังมีความเขินอายในการที่ต้องมาใส่ชุดให้ผู้ชายดูอยู่บ้างก็เถอะ แต่ยิ่งพอพนักงานเชียร์บวกกับเลือกชุดมาเยอะ ยิ่งทำให้อาเรียคึกขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงชุดสุดท้ายที่เป็นสายเดี่ยวเปิดเผยเนื้อหนังออกแนวเซ็กซี่มาก ๆ ทั้งในไลต์โนเวลและมังงะมีการบรรยายเอาไว้อย่าชัดเจนว่าลักษณะของชุดนั้นเซ็กซี่ขนาดไหน แต่ระหว่างที่อาเรียกำลังเหลิงไปกับคำชมของมาซาจิกะ เธอจึงตัดสินใจใส่ชุดนั้นออกมาด้วยท่าจิ้มแก้ม ทว่าสิ่งที่เธอเจอ คือยูกิที่มาตอนไหนก็ไม่รู้ พร้อมกับเอ่ยชมแทนมาซาจิกะว่า “โห คุณอาเรียใจกล้าจังเลย”

ถ้าจากคำอธิบายในไลต์โนเวล และรูปภาพจากในมังงะแล้วนั้น สามารถเข้าใจได้เลยว่า ‘ชุดใจกล้า’ ของคุณอาเรียนั้นชวนให้เรียกแบบนั้นได้จริง ๆ แต่ในอนิเมะนั้นกลับเปลี่ยนชุดนั้นออกให้เป็นแค่ชุดสายเดี่ยวธรรมดาที่ดูไม่มีความใจกล้าสักกะนิด เหมือนกับชุดธรรมดาทั่วไปที่สาว ๆ แต่งกัน เลยแอบทำให้รู้สึกไปแวบหนึ่งเลยนะ ว่านี่เหรอที่เรียกว่าใจกล้าแล้ว


‘รักแรก’ ของพระเอกคือพี่สาวของนางเอกอะนะ ?

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มาซาจิกะเก่งภาษารัสเซียขึ้นมาได้นั้น ไม่ใช่แค่เพราะโดนคุณปู่ผู้คลั่งไคล้รัสเซียจับดูหนังแค่เพียงอย่างเดียว แต่เขามีความรักกับเด็กสาวลูกครึ่งรัสเซียที่มาเล่นด้วยกันที่สนามเด็กเล่นอีกด้วย และเธอคนนั้นเป็นกำลังใจสำคัญในการที่มาซาจิกะตั้งใจเรียนภาษารัสเซียมาก ๆ เพื่อเอาไปคุยกับเด็กสาวคนนั้นทุกวันนี่แหละ แม้ในตอนนี้เขาจะจำชื่อและหน้าตาของ ‘รักแรก’ คนนั้นไม่ได้แล้วก็ตาม

ในต้นฉบับไลต์โนเวลและมังงะนั้นจะออกแนวให้เราค้นหาว่า ‘รักแรก’ ของพระเอกที่เป็นลูกครึ่งรัสเซีย คือ อาเรีย หรือ มาช่า (พี่สาวของอาเรีย) กันแน่นะ เพราะในมุมกลับกันจากทางฝั่งมาช่า ก็มีการเอ่ยถึงแฟนของตัวเองอยู่แล้วที่ชื่อว่า ‘ซาคุง’ เป็นชายหนุ่มในล็อกเกตที่ไม่มีใครเห็นหน้า รวมถึงในมังงะก็มีการปิดบังหน้าตาค่อนข้างลึกลับอีกด้วย ทำให้เราได้ลุ้นขึ้นไปอีกว่าแฟนหนุ่มคนนั้นจะเป็นใครกันแน่นะ มาช่าคงไม่กลายมาเป็นศัตรูความรักกับน้องสาวหรอก

แต่พอมาในอนิเมะปุ๊บ ฉากนั้นเป็นการเฉลยแบบชัดเจน ยิงตรงเลยว่า ‘ซาคุง’ ก็คือมา ‘ซา’ จิกะตอนเด็กชัด ๆ ทั้งรูปร่างหน้าตาในล็อกเกตที่มีการเปิดเผยแบบปิดบังอยู่นิดเดียว ทั้งการออกอาการแบบชัดเจนของมาช่าตอนเจอมาซาจิกะครั้งแรก คือกะไม่ให้ลุ้นกันสักนิดเลยเหรอทีมงานอนิเมะ แต่ถ้าถามว่ามีผลต่อเนื้อเรื่องขนาดนั้นมั้ย ก็ไม่ขนาดนั้นเช่นเดียวกัน


จากทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเพียงแค่เนื้อหาช่วงต้นของอนิเมะตอนที่ 1-3 เท่านั้น ซึ่งก็เทียบเท่าได้กับไลต์โนเวลเล่มแรก และมังงะประมาณ 3 เล่ม โดยเนื้อหาส่วนรายละเอียดที่ถูกนำออกไปอาจจะเรียกได้ว่าค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ถึงจะไม่กระทบต่อการดำเนินเรื่องหลัก แต่ก็มีแอบส่งผลกระทบต่อความอินของคนอ่านอยู่เหมือนกันนะ ยิ่งเฉพาะคนที่อ่านหนังสือมาก่อนและมาดูอนิเมะยิ่งเกิดการเปรียบเทียบแบบชัดเจน ดังนั้นแนะนำว่าถ้าดูอนิเมะจบแล้วอยากลองอ่านเรื่องนี้ ให้เริ่มต้นอ่านใหม่ตั้งแต่แรกอีกครั้งเลยน่าจะดีกว่า ถือว่าเป็นการเก็บรายละเอียดไปด้วยเลยในตัว